สาวใช้ข้างกายคุณหนูตระกูลร่ำรวย ล้วนต้องทำสัญญาซื้อขายกับนายหญิงของที่นั่น

พวกนางจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับคุณหนูทุกวัน ดูแลชีวิตประจำวันของคุณหนู เรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูล้วนไม่สามารถเปิดเผยสู่ภายนอกได้

เมื่อสาวใช้อายุมากขึ้น หากไม่แต่งงานกับบ่าวรับใช้ชายในตระกูลก็ต้องทำงานอยู่ในตระกูลใหญ่ไปทั้งชีวิต

จุดจบอีกแบบคือการถูกขายออกไปในรูปแบบคนใบ้

อาซู่อายุยังน้อย จิตใจซื่อตรง คิดว่าอาทิงและคนอื่นไปอยู่ที่อื่น แต่พวกนางจะมีที่ใดให้ไปกัน?

แค่ตู้เหิงเกริ่นเบา ๆ ก็สามารถผลักไสพวกนางให้ตกนรกถึงสิบแปดชั้นแล้ว

แม่นมและอาซู่ล้วนจงรักภักดีไม่ระย่อท้อถอย ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร ในสายตาของพวกนางแล้ว ชีวิตของตนเองล้วนมีไว้เพื่อคุณหนู เมื่อเป็นเช่นนี้ในช่วงที่ตู้เหิงลำบากที่สุด การไม่ทอดทิ้งของทั้งสองคนจึงได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น

ในตอนที่หลินเหราและเจิ้งอันมาถึงจวนตรวจการนั้น ดวงอาทิตย์ได้ลาลับเหลี่ยมบรรพตที่ตัดสลับซับซ้อนทางทิศตะวันตกแล้ว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยมวลเมฆสีแดงฉาน ช่างสดใสและงดงามเจิดจ้ายิ่งนัก

หลินเหราเดินเข้ามาในเรือนเล็กที่ตู้เหิงอาศัยอยู่

“คุณหนูตู้” ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงในบริเวณห่างออกจากนาง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาทำความเคารพสตรีที่ปิดผ้าคลุมหน้า

ตู้เหิงหยุดอยู่บนระเบียงทางเดิน ผ้าโปร่งบางสีขาวบนแก้มของหญิงสาวพลิ้วไสวยามต้องสายลมที่โชยพัดผ่านอ่อนโยนในช่วงพลบค่ำ ทอดมองไปยังหลินเหราด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสของอาทิตย์ยามอัสดง

หญิงสาวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลินเหรา เจ้ามาแล้ว”

ตู้เหิงก้าวเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ค่อย ๆ ย่างเท้ามายืนข้างกายของหลินเหรา ในใจพลันก่อเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่าง เมื่อครั้นที่นางร่อนเร่เป็นวิญญาณในจวนท่านแม่ทัพมานานหลายปี บางครั้งก็เห็นหลินเหรามักจะเฝ้ามองแสงอาทิตย์ยามอัสดงเสมอ ใบหน้าคมคายของชายผู้นี้ยังคงไร้ความรู้สึก ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววลึกซึ้งตรึงใจ

ตอนนั้นหญิงสาวยังคิดว่าถ้าหลินเหรามองเห็นตนในสักวันหนึ่ง นางจะเดินเข้าไปใกล้เขาช้า ๆ เช่นนี้ และบอกกับเขาว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

ภาพวาดที่เปลี่ยนไป บุรุษที่ถูกเก็บซ่อนลึกอยู่ในห้วงความทรงจำกลายเป็นหลินเหราตรงหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และเย็นชายิ่งกว่าผู้นี้แทน

เขาเดินถอยหลังครึ่งก้าว พลางยกมือทำความเคารพนาง เอ่ยถามอย่างนอบน้อมและสุภาพว่า “คุณหนูมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือขอรับ?”

ตู้เหิงตื่นตกใจทันใด

หญิงสาวสังเกตเห็นหัวคิ้วของฝ่ายชายขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เป็นอาการที่ไม่มีใครสนใจ แต่นางรู้ว่าในเวลานี้เขาอารมณ์ไม่ดีนัก จึงเลือกตอบคำถามที่ไม่ทำให้เขาไม่พอใจด้วยจิตใต้สำนึก “มิบังอาจรบกวนท่านแม่ทัพหลินให้กระทำการอันใดหรอกเจ้าค่ะ ความจริงแล้วเป็นเพราะข้าขี้ขลาดเอง ครั้นเห็นไหล่ของท่านมีเลือดไหลมากมายในวันนั้น ยังคงผวาจนนอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้… แค่อยากเห็นว่าท่านไม่เป็นอะไรกับตาตัวเอง จึงวางใจได้”

เจิ้งอันเดินตามอยู่ไม่ไกลนัก ไม่ได้เข้าไปในเรือนเล็กแห่งนั้นแต่กลับได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนอย่างชัดเจน

เขาชื่นชมความสามารถในการโป้ปดด้วยแววตาใสซื่อของตู้เหิงพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “เด็กโง่ของข้า ดูสิ ดูพูดเข้า….วันข้างหน้าก่อนจะเอ่ยต้องใช้สมองคิดไตร่ตรองก่อนนะ! เทียบกับเขาแล้ว เจ้ายังห่างไกลอยู่มากโข”

กระทั่งได้ยินหลินเหราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่สนิทใจว่า “ข้าน้อยได้รับบาดเจ็บเพียงน้อยนิด คนของข้าได้พันแผลให้ข้าแล้วขอรับ”

คราวนี้เป็นตู้เหิงที่ต้องตื่นตกใจ

หญิงสาวตื่นตกใจจนไม่อาจปิดบังได้ ก่อนจะเอ่ยโดยไม่รู้ตัวว่า “คนของเจ้า?”

ภรรยาของเขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือไร?

เมื่อเจิ้งอันได้ยินประโยคนี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาอยากจะพุ่งตัวเข้าไปในเรือนเล็กเสียรู้แล้วรู้รอดและพูดกับตู้เหิงว่า ‘ก็ข้าบอกเจ้าไปแล้วก่อนหน้านั้นว่าหลินเหราช่างแสนดีกับภรรยาของตนมาก! ทีตอนนี้มาแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาสู่ขอภรรยาแล้วเนี่ยนะ?!’

สตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ เล่นละครกันเก่งยิ่งนัก!

หลินเหราเห็นความประหลาดใจในแววตาของตู้เหิง จึงขมวดคิ้วพลางถามว่า “มีอะไรแปลกงั้นหรือขอรับ?”

มือทั้งสองข้างใต้แขนเสื้อของตู้เหิงได้แต่กำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะมีผ้าคลุมหน้าปิดหน้าอยู่ เกรงว่านางก็คงจะแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไปภายใต้สายตาของอีกฝ่ายแล้ว

“ไม่มีสิ่งใดแปลกหรอกเจ้าค่ะ…” นางพยายามข่มความรู้สึกของตนเองและฝืนพูดว่า “ไม่ทราบว่าภรรยาของท่านแม่ทัพหลินสุขภาพร่างกายแข็งแรงหรือไม่? หากมีโอกาส ข้าก็หวังจะได้ไปเยี่ยมนางถึงบ้าน เพื่อกล่าวขอบคุณด้วยตัวข้าเอง”

หลินเหราเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้และพูดรวบรัดว่า “ไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมถึงบ้านหรอก ภรรยาของข้ายังอ่อนเยาว์ ร่างกายแข็งแรงดีขอรับ”

ตู้เหิงในเวลานี้ไม่มีกะจิตกะใจจะสังเกตสีหน้าของหลินเหราอีกต่อไป ในสมองของนางสับสนไปหมด

ภรรยาของหลินเหราลาจากโลกนี้ไปนับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากซีเป่ยแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่านางจำผิดไป?

หลินเหราไม่สนใจคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังปั่นป่วนราวกับคลื่นโหมกระหน่ำซัดสาดอยู่ในใจ เขาแค่อยากกลับบ้านเร็ว ๆ เท่านั้น ให้ดีคือกลับไปทันก่อนอาหารมื้อค่ำและปลอบโยนให้เหยาซูรู้สึกสบายใจ

น้ำเสียงของเขาไม่มีท่วงทำนองขึ้นลง ทันทีที่ได้ยินก็สัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจ “คุณหนูตู้มีเรื่องอะไรจะรับสั่งอีกหรือไม่? ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าน้อยทำได้ เชิญรับสั่งได้เต็มที่ขอรับ”

ตู้เหิงกำลังสับสนวุ่นวายใจคล้ายกับเส้นด้ายขดพัน แต่ก็ยังใช้ความพยายามอย่างมากในการเผชิญหน้ากับหลินเหรา ไม่อยากปล่อยเขาไปโดยง่าย

หญิงสาวออกแรงกดจุดฝังเข็มบนมือ ไม่นานสีหน้าก็ซีดเผือดลง ยืนไม่คงที่ หายใจหอบถี่ “ท่านแม่ทัพหลิน ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย…”

ขณะพูด ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของตู้เหิงก็กำลังจะล้มลงมาใส่หลินเหรา

หลินเหราหลบไปด้านข้างด้วยจิตใต้สำนึก เมื่อเห็นว่านางยืนไม่ไหวจริง ๆ อีกทั้งหน้ากำลังจะล้มคะมำลงดินโคลน จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไป คว้าคอเสื้อด้านหลังของตู้เหิงไว้

เขาตะโกนเสียงดังออกไปว่า “ทหาร!”

แม่นมและอาซู่ที่อยู่ในบ้านรู้สึกสนใจบทสนทนาของทั้งสองคนเฉกเช่นเดียวกับเจิ้งอันที่อยู่ในลานบ้านมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ตู้เหิงบอกว่าตัวเองไม่สบาย แม่นมทนไม่ไหวจึงรีบพุ่งตัวออกไปทันที

จากนั้นจึงเห็นคุณหนูของตนที่มีร่างกายอ่อนปวกเปียกยืนไม่ไหวราวกับเส้นบะหมี่ เป็นเพราะถูกหลินเหราคว้าคอเสื้อไว้ด้วยมือข้างเดียว นางจึงยังไม่ล้มลงไปบนพื้น

แม่นมไม่รู้ว่าควรขอบคุณหลินเหราที่ไม่ทำให้คุณหนูบาดเจ็บ หรือด่ากราดชายหนุ่มที่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาดี

หญิงชราย่างก้าวขึ้นหน้าประคองคุณหนูของตนไว้ จากนั้นก็ตะโกนเรียกอาซู่ “อาซู่! รีบนำผ้าเปียกมาประคบหน้าของคุณหนูเร็วเข้า!”

ตู้เหิงเรียนรู้การแกล้งเป็นลมนี้มาจากมารดาของตนเอง

มันไม่ใช่การแกล้ง เพียงแค่กดจุดฝังเข็มบนฝ่ามือก็จะเกิดอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาจริง ๆ

เวลานี้เมื่อใบหน้าสัมผัสกับน้ำเย็น จึงได้รู้สึกตัว

มารดาของตู้เหิงเป็นบุตรสาวของครอบครัวมั่งคั่งและมีชื่อเสียง ครั้นดื้อดึงจะแต่งงานเข้าตระกูลตู้ กลับคาดไม่ถึงว่าในจวนจะมีลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกับท่านพ่อตู้มาตั้งแต่เด็กผู้หนึ่ง ดำรงตำแหน่งสะใภ้รองแล้ว

แรกเริ่มนางมีนิสัยวางอำนาจ อยากจะกดขี่ข่มเหงสะใภ้รองในบ้าน แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ พบว่า ฝ่ายชายนั้นชมชอบผู้หญิงที่มีจิตใจอ่อนโยน

ท่านแม่ตู้นั้นแตกต่างจากสะใภ้รองคนอื่น ๆ นางจึงไม่ได้แกล้งเป็นลม แต่เป็นลมจริง ๆ

ท่านพ่อตู้เป็นสุภาพบุรุษที่ศึกษาร่ำเรียนตำรานักปราชญ์ ปฏิบัติต่อภรรยาด้วยความเคารพนับถือเสมอมา เมื่อเห็นตัวเองทำให้อีกคนโกรธจนเป็นลมล้มพับไป เรื่องใหญ่เพียงใดก็สามารถวางลงได้

เพียงแค่ท่านแม่ตู้ไม่ค่อยใช้กลอุบายนี้บ่อยนัก แต่จะเก็บไว้เป็นท่าไม้ตายสุดท้าย

ด้วยการเป็นลมนี้ นางจึงสามารถทำร้ายบุตรชายที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของสะใภ้รองได้สำเร็จ ทำให้บุตรชายของตัวเองกลายเป็นบุตรชายคนโต ทั้งยังได้รับการยกเว้นการไต่สวนอีกด้วย

ตู้เหิงสามารถเลียนแบบได้โดยสมบูรณ์ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลินเหราจะไม่มีหัวใจเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่โอบประคองตนแล้ว ยังหิ้วกระชากนางด้วยกิริยาที่แข็งกระด้างและน่ารังเกียจที่สุด

เมื่อเจิ้งอันได้ยินเสียงจึงรีบพรวดพราดเข้ามาด้วยความร้อนใจ ครั้นเห็นภาพนั้นก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา

เขาพยายามกลั้นหัวเราะ จากนั้นก็ตะโกนเรียกเสียงดัง “แม่นางอาซู่ เร่งมือเร็วเข้า เจ้านายของเจ้าดูท่าไม่ค่อยดีนัก!”

อาซู่เป็นคนใสซื่อ ย่อมฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยในคำพูดนี้ไม่ออก แม้แต่เรื่องที่คุณหนูตั้งใจเป็นลมนางเองก็ไม่รู้ รีบใช้กาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะราดผ้าเช็ดหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งออกไปราวกับพายุ วิ่งรวดเร็วจนเท้าแทบจะพันกันเลยทีเดียว

“แม่นม น้ำชาได้หรือไม่เจ้าคะ?” หญิงสาวไม่สนใจดินบนร่างกาย และวิ่งเข้ามาถึงข้างกายของคุณหนูโดยพลัน

แม่นมปรนนิบัติรับใช้มารดาของตู้เหิงมาเนิ่นนาน ย่อมรู้จักกลอุบายของฮูหยินดี จึงไม่ได้ร้อนใจเหมือนกับอาซู่ หญิงชรารับผ้าเช็ดหน้าจากมือของอาซู่ เช็ดหน้าผากที่เปียกชุ่มของตู้เหิง จากนั้นก็กดขมับของนางอย่างเบามือ

หญิงสาวที่มีใบหน้าซีดเผือดจึงค่อย ๆ ฟื้นขึ้น แต่กลับพบว่าตัวเองไม่ได้ล้มอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษร่างสูงและรูปงามอย่างที่คาดการณ์ไว้

ในช่วงพริบตาเดียวที่นางสัมผัสได้ถึงนิ้วมือที่เหี่ยวแห้งของแม่นมก็พลันเบิกตากว้าง กระทั่งเห็นว่าภาพตรงหน้าของตัวเองคือแม่นมที่แสดงสีหน้าปวดใจ เห็นอาซู่ที่กำลังดีอกดีใจเมื่อเห็นนางฟื้นขึ้นมา โดยไร้ซึ่งการดำรงอยู่ของชายหนุ่ม…

ตู้เหิงเริ่มมองหาเงาร่างของหลินเหรา กวาดสายตาสอดส่อง กระทั่งเห็นเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

หญิงสาวกำลังจะอ้าปาก แต่แม่นมกลับตัดบทนางด้วยการพูดใส่คนด้านหลังด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านแม่ทัพหลินไร้มารยาทสิ้นดี”

ในใจของตู้เหิงเต้นเร็วรัว… เมื่อครู่ที่นางเป็นลมไป เขาทำอะไร?

ไม่ทันรอให้หญิงสาวกระวนกระวายใจ เจิ้งอันก็ตะโกนเสียงดังอย่างหมดอารมณ์และมีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นในใจ “สหายหลินไร้มารยาทอย่างไร? ดึงคอเสื้อด้านหลังของคุณหนูไว้ นี่สิถึงเรียกว่ามีมารยาทมากแล้ว! ไม่อย่างนั้นจะให้จับตรงไหน จะให้พูดอย่างไรเล่า!”

ในคำพูดนี้ไม่มีคำหยาบคายแม้แต่เล็กน้อย แต่เจตนารมณ์อันหยาบกระด้างกลับเหมือนฝ่ามือที่ตบลงมาบนใบหน้าของนายและบ่าวทั้งสาม

ในตอนที่ชาวนาจับแมวป่า ก็กระชากขนคอด้านหลังของมันเช่นกัน การกระทำของหลินเหราเท่ากับเป็นการเหยียบหน้าของตู้เหิงโดยแท้จริง

หญิงสาวมีสีหน้าซีดเผือดลง พริบตาเดียวก็แดงก่ำขึ้น

เพราะการเกิดใหม่ นางจึงมีประสบการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ไม่เลว แต่กลับไม่เคยอับอายขายขี้หน้าเท่านี้มาก่อน เช่นนี้จะให้นางทำอย่างไร

แม่นมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ดวงตาเบิกกว้าง จากนั้นก็ตะโกนออกไป “บังอาจ! วาจาลามกบัดสี ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส!”

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น่าสงสารบรรดาสาวใช้ที่ต้องมารับใช้คุณหนูเอาแต่ใจแบบนี้จริง ๆ ค่ะ

นึกภาพพี่เหราคว้าคอเสื้อคุณหนูดอกบัวขาวผู้นี้แบบหิ้วคอแมวแล้วก็ อะฮ่าๆๆๆๆ ทำได้ดี…ทำได้ดีมากพี่เหรา

พี่เหราเขาได้ลิ้มรสหวานจากภรรยาแล้ว พอมาเจอเธอก็เลยรู้สึกจืดเป็นธรรมดาค่ะนางคุณหนู ปลอมไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะคะแม่มะม่วงแรด

ไหหม่า(海馬)