มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 169 หายตัว?

เป็นในตอนที่เจียงมู่หลงนำบริษัทของท่านเจียงสามและตนเองขายประมูลออกไปแล้ว เจียงหว่านจัดเก็บเสื้อผ้าพลางบอกมู่เซิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าสองสามวันนี้เธอวางแผนที่จะกลับไปผ่อนคลายใจที่บ้านเก่า ทั้งจะเข้าร่วมงานวันเกิดของคุณตาของเธอด้วย

มู่เซิ่งพยักหน้าขึ้นลงแสดงออกว่าทราบแล้ว

แต่ตอนนี้เขายังต้องไปจัดการเรื่องราวของตระกูลเจียง ปลีกตัวไม่ได้ ดังนั้นจึงบอกกับพวกเธอไปว่าตอนนี้ตนไม่มีเวลา รออีกสองสามวันจะตามไป

เจียงหว่านทราบเรื่องที่นักพัฒนาต้องการขึ้นราคาแล้วเช่นเดียวกัน สร้างความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงทำให้มู่เซิ่งไม่ได้พักผ่อน ต่อให้ไม่ยอมเซ็นสัญญาข้อตกลง ทั้งก็ไม่สามารถทำให้ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมได้เช่นเดียวกัน

มู่เซิ่งย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

“คุณแม่คะ พวกเราไปกันก่อนเถอะค่ะ” เจียงหว่านกล่าว

จ้าวหลินไม่มีความเห็น หากเปลี่ยนเป็นในยามปกติ เธอจะไม่ยอมให้มู่เซิ่งมาที่บ้านเกิดหรอก ในทุกครั้งที่เขามาล้วนถูกคนเย้ยหยันเสมอ ทว่าสถานการณ์ ณ ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน เธอกระจ่างแจ้งแล้วว่าเดิมทีมู่เซิ่งก็ไม่ใช่ไอ้ขยะอะไรเลย ดังนั้นจ้าวหลินจึงหวังว่ามู่เซิ่งจะสามารถมาที่บ้านญาติฝ่ายแม่ให้เร็วขึ้นเสียหน่อย เพื่อช่วยให้เธอมีหน้ามีหนาต่อเครือญาติเหล่านั้น!

ทว่าตอนนี้มู่เซิ่งแสดงออกมาแล้วว่ามีธุระ จ้าวหลินเองก็ไม่กล้าถามมากเช่นเดียวกัน

ทั้งสองคนเก็บข้าวของแล้ว ตกบ่ายวันนั้นก็ไปถึงอำเภอซานเซี่ยงแล้ว

อำเภอซานเซี่ยงเป็นอำเภอที่เล็กมาก ๆ อำเภอหนึ่ง สถานที่กว้างเพียงแค่หนึ่งในสี่ของเจียงหนานเท่านั้น เศรษฐกิจเองก็ค่อนข้างล้าหลังเช่นกัน คนหนุ่มสาวจำนวนมากล้วนออกไปทำงานขายแรงที่ต่างเมือง แต่ก็มีคนไม่น้อยที่อยู่ที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน สรุปแล้ว เงินเดือนเฉลี่ยของคนในอำเภอไม่ถือว่าสูงนัก ทว่าระดับชีวิตที่นี่กลับมีจังหวะจะโคนที่เชื่องช้าเป็นอย่างมาก เหมาะแก่การพักรักษาตัว

“พี่คะ ไอ้ขยะคนนั้นของบ้านพี่ละคะ?” เมื่อเดินเข้าประตูมา จ้าวเหมยเหมยก็เอ่ยถามอย่างอดใจรอไม่ไหว

วันฉลองงานวันเกิดของคุณตาเองก็แจ้งออกไปล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ดังนั้น จ้าวเหมยเหมยเองก็ทราบว่าจ้าวหลินจะมาในวันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน จึงมารออยู่ในบ้านเป็นการเฉพาะ ทว่ารอเจียงหว่านกับจ้าวหลินทั้งสองคนมาถึงแล้ว ทว่ากลับไม่เห็นมู่เซิ่ง

นี่จึงทำให้ในใจเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ลูกเขยของบ้านเธอมีชื่อว่าเฉินเสวียลี่ เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเข้าตลาดแห่งหนึ่งในอำเภอซานเซี่ยง แม้จะเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ของเจียงหนานไม่ได้ ทว่าหากมาเทียบกับมู่เซิ่งไอ้ขยะพรรค์นี้แล้ว มันก็เพียงพอเหลือเฟือ

นึกถึงปีนั้น จ้าวหลินแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยแห่งเจียงหนาน ในตอนนั้นลำพองใจอย่างถึงที่สุด มาโอ้อวดที่บ้านเก่าเป็นว่าเล่น เย้ยหยัน จ้าวเหมยเหมยกับสามีของเธอถงมู่ในตอนนั้น จ้าวเหมยเหมยล้วนจดจำความแค้นเอาไว้ในใจมาโดยตลอด ตอนนี้จ้าวหลินมีลูกเขยที่เป็นไอ้ขยะคนหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าจะต้องเย้ยหยันถากถางกลับให้ถึงที่สุด

“เขามีธุระ อีกสองสามวันถึงจะกลับมา” จ้าวหลินกล่าวอย่างราบเรียบ

“อีกสองสามวัน?”

จ้าวเหมยเหมยพลันชะงักนิ่งไปทันที บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน

เหอะ ๆ ในใจเธอ มู่เซิ่งจะต้องมาแน่ งานวันเกิดของคุณตา เธอไม่ถึงกับว่าไม่ให้มู่เซิ่งมา ทว่าเวลาในการมานั้น อย่างมากคือวันสุดท้าย เป็นเพราะว่ารังเกียจที่เขาน่าอับอายขายหน้าคน ดังนั้นจึงให้เขามาช้าเสียหน่อย

จ้าวเหมยเหมยเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับมองคำลวงของจ้าวหลินออกได้เลยก็ไม่ปาน หัวร่อพลางกล่าว “จ้าวหลิน ฉันดูแล้วว่าพี่กังวลว่ามู่เซิ่งจะทำให้ขายหน้า ดังนั้นจึงให้เขามาช้าเสียหน่อยกระมัง? วางใจเถอะค่ะ พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่ามู่เซิ่งจะเป็นไอ้ขยะเกาะผู้หญิงกินก็ตาม เดิมก็เทียบกับเฉินเสวียลี่ของครอบครัวเราไม่ได้ แต่พวกเราก็จะไม่หัวเราะเยาะเขาหรอกนะคะ”

ในคำพูดล้วนมีความหมายของการดูแคลนมู่เซิ่งอยู่ทั้งหมด

“จ้าวเหมยเหมยใครคือไอ้ขยะ?” จ้าวหลินขมวดคิ้วแน่นทันที กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

จ้าวเหมยเหมยประหลาดใจเล็กน้อย นี่จ้าวหลินกลับช่วยลูกเขยของเธอพูดเลยเชียวหรือ? แต่เธอก็ชมชอบท่าทีไม่ยอมอ่อนของจ้าวหลินเช่นนี้ ดังนั้นจึงหัวเราะพลางกล่าวว่า “ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ กินดื่มล้วนอาศัยภรรยา หากนี่ไม่ใช่ไอ้ขยะ เช่นนั้นมันคืออะไรละคะ?”

พูดไป เธอก็สมทบขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคแล้ว “พี่คะ ฉันคนนี้เป็นคนพูดตรงคนหนึ่ง พี่อย่าเอาไปใส่ใจเลยนะคะ”

“เป็นไอ้ขยะหรือไม่ เขามาพวกเธอก็จะรู้แล้ว” จ้าวหลินส่งเสียงหึเย็นชาหนึ่งเสียง คร้านจะมากความกับน้องสาวคนนี้ของเธอ

“ฮ่า ๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะตั้งตารอเลยละค่ะ”

จ้าวเหมยเหมยป้องปากพลางหัวร่อ

ราวกับว่าเธอมองเห็นภาพมู่เซิ่งปรากฏออกมาเลยก็ไม่ปาน หลังจากนั้นก็เป็นภาพที่ถูกลูกเขยของเขาชกแรง ๆ บนใบหน้า

“ทานผลไม้เถอะครับ ข้าวเที่ยวใกล้จะเสร็จแล้ว”

ในตอนนั้น ถงมู่ยกผลไม้ถาดหนึ่งที่ปลอกเป็นอย่างดีทั้งหมดพลางเดินเข้ามากล่าว

“ทราบแล้วค่ะ พูดมาเสียจริง” จ้าวเหมยเหมยปรายตามอง ถงมู่ไปหนึ่งหน “โชคดีที่ลูกเขยของฉันยังไม่มา หากเขามาแล้วข้าวคุณยังทำไม่เสร็จ ระวังฉันจะหักค่าขนมคุณ!”

ในใจถงมู่มีความทุกข์ ก่อนหน้านี้เขาทำข้าวเช้าแล้ว ทั้งก็ถูกตำหนิไปยกหนึ่งเช่นเดียวกัน ตอนนี้ช้าไปเดี๋ยวเดียวก็จะถูกหักค่าขนมอีก ทว่าเขาไม่กล้าตอบคำกลับ กุลีกุจอพยักหน้าทันที

ไม่นานนักเฉินเสวียลี่กับถงเสว่เหมย ทั้งสองคนก็กลับเข้ามาในบ้านแล้ว

“คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผมกลับมาแล้วครับ”

เฉินเสวียลี่กลับมาถึงบ้าน หลังเห็นเจียงหว่านนั่งอยู่บนโซฟาแล้ว จู่ ๆ ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที เขาได้ยินมาตลอดว่าจ้าวหลินมีลูกเขยไอ้ขยะคนหนึ่ง ทว่าก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจียงหว่าน คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงหว่านกลับงดงามมากเช่นนี้ เทียบกับแฟนสาวของเขาแล้ว ล้วนไม่ใช่สไตล์ในระดับเดียวกันเลย

เฉินเสวียลี่มีความคิดไม่ดีขึ้นมาทันที

“ป้าจ้าว คุณหนูเจียง สวัสดีครับ ผมชื่อว่า เฉินเสวียลี่ครับ” เฉินเสวียลี่กล่าวแนะนำตนเองบนโต๊ะอาหาร

“ผมเปิดบริษัทของตัวเองที่อำเภอซานเซี่ยงแห่งหนึ่งครับ บริษัทไม่ใหญ่ หนึ่งปีมีรายได้สามสี่ล้าน ไม่ถึงกับเป็นรายรับระดับกลาง แต่ช่วงนี้ผมได้เซ็นสัญญาข้อตกลงกับบริษัทหรงเหม่ย เชื่อว่ายอดกิจการของบริษัทในปีหน้าจะสามารถพลิกโตขึ้นได้แน่ครับ”

เฉินเสวียลี่กล่าวอย่างสบาย ๆ มาก หากทว่าไม่ว่าใครก็สามารถฟังออกได้ หนึ่งปีรายรับสามสี่ล้าน เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นการโอ้อวด

“พรืด…”

จ้าวหลินอดที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

ได้ฟังคำนี้แล้ว เหตุใดมันคุ้นหูมากขนาดนั้นกันนะ ก่อนหน้านี้คำพูดของครอบครัวเหอโก๋ชินที่ถูกตบหน้าในคฤหาสน์ เหตุใดมันจึงคล้ายกันมากขนาดนั้นกันนะ?

“จ้าวหลิน พี่หัวเราะอะไรคะ?” จ้าวเหมยเหมยเปิดปากด้วยสีหน้าไม่ดี จ้องเขม็งไปยังจ้าวหลิน

“ไม่มีอะไร รายรับหนึ่งปีสามสี่ล้าน อันที่จริงก็เพียงพอต่อระดับกลางแล้ว” จ้าวหลินกล่าว

ได้ยินคำนี้แล้ว สีหน้าของ จ้าวเหมยเหมยพลันเย็นเฉียบทันที ลูกเขยของเธอก็แค่ถ่อมตัวไปหน่อยแล้ว นี่จ้าวหลินกลับเชิดหน้าเชิดตาเลยเชียวหรือ? เธอเปิดปากกล่าวอย่างดุร้ายว่า “จ้าวหลิน ลูกเขยฉันถึงแม้ว่าความสามารถจะไม่เก่งนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในหนึ่งปีก็มีสามสี่ล้านเลยนะคะ หากพี่รู้สึกว่านี่คือระดับกลาง มู่เซิ่งคืออะไรคะ? ไอ้ขยะ?”

“ไม่ว่าอย่างไรลูกเขยฉันก็เก่งกว่าลูกเขยของเธอเหมือนกัน!” จ้าวหลินตบตะเกียบทันที กล่าวขึ้นมาเสียงดัง

เห็นทั้งสองคนทำท่าว่าจะมีปากเสียงกันขึ้นมาแล้ว ถงมู่จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที กล่าวว่า “ภรรยา พวกพี่ชายเขาทำไมยังไม่มาอีกละครับ”

“จ้าวเสียเวิ่น? ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าพวกเขาอยู่ไหน? ไม่ก็ต่อสายโทรศัพท์หาสักหน่อยเถอะค่ะ” จ้าวเหมยเหมยส่ายศีรษะ

กล่าวถึงพี่ชายของเธอแล้ว เธอเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน

นับตั้งแต่หลังไปเจียงหนานมาหนึ่งหนแล้ว ครองครัวของพวกเขาทั้งสามคนจู่ ๆ ก็หายตัวไป จ้าวเสียเวิ่นครอบครัวของพวกเขาเป็นผีดูดเลือดจริง ๆ ยืมเงินพวกเขาไปก็ไม่น้อยแล้วนะ ตอนนี้หายตัวไป เครือญาติเหล่านั้นย่อมกระวนกระวายเป็นอย่างมากอยู่แล้ว

“จ้าวหลิน ตอนที่ครอบครัวพี่ชายเขาทั้งสามคนไปเจียงหนาน บอกว่าไปหาพี่ค่ะ ตอนนี้คนหายตัวไปแล้ว พี่เองก็ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกันนะคะ!” จ้าวเหมยเหมยกล่าว

จ้าวเสียเวิ่นหายตัวไป?

จ้าวหลินเองก็พึ่งจะทราบในตอนนี้เหมือนกัน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “นั่นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา? จ้าวเสียเวิ่นยังมายืมพวกเราไปห้าแสนอยู่เลยนะ ตอนนี้หายตัวไปแล้ว พวกเราเองก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบด้วยเหมือนกัน!”

เรื่องหยิบยืมเงิน คนของตระกูลจ้าวแทบทุกคนล้วนถูกครอบครัวของจ้าวเสียเวิ่นหยิบยืมกันมาหนึ่งรอบกันทั้งนั้น ดังนั้นถงมู่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรเช่นเดียวกัน ถงมู่ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจไม่อยากคืนเงิน ก็เลยหลบกันก็ได้นะครับ ภรรยาครับ หลังจากนี้หากพบเจอพวกเขาแล้ว รีบเอาหลายหมื่นนั่นกลับคืนมาให้เร็วหน่อยเถอะครับ”

“เร่งรัดอะไร ดูสารรูปยากจนนั่นของคุณสิคะ กระทั่งไม่กี่หมื่นก็ขี้เหนียว!” จ้าวเหมยเหมยใช้แรงจ้องถงมู่ไปหนึ่งหน จ้าวหลินพึ่งจะกล่าวว่าให้ครอบครัวจ้าวเสียเวิ่นหยิบยืมไปห้าแสน ตอนนี้สามีกล่าวถึงเงินไม่กี่หมื่น นี่ไม่ใช่การเผยไต๋ให้ขายหน้าหรอกหรือ?

สีหน้าถงมู่เต็มไม่ด้วยความหมดคำจะกล่าว

ในตอนแรกให้เขาไปทวงเงินให้คุณ ตอนนี้คนที่บอกว่าไม่เอาเงินก็คือคุณด้วยเหมือนกัน ความคิดความอ่านของสตรีนั้นเดายากจริง ๆ

อย่างไรเสียจ้าวหลินเองที่นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวในตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์ที่จะฟังพวกเขาโต้แย้ง

ในสมองของเธอมีเพียงความคิดหนึ่งเดียวเท่านั้น

ครอบครัวของจ้าวเสียเวิ่น หลังออกจากเจียงหนานไปก็หายตัวไปแล้ว?