ตอนที่ 150 เหม่ยเหรินหู

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 150 เหม่ยเหรินหู
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นอย่างกะทันหัน

“ไป๋ชิงเหยียน ไปหนานเจียงในครั้งนี้ หากเจ้าคิดทรยศขึ้นมากลางคัน…”

มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อของไป๋ชิงเหยียนกระชับแน่น ไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสจบหญิงสาวก็หันตัวกลับไปทำความเคารพพลางกล่าวออกมา

“การเดินทางไปหนานเจียงในครั้งนี้ หม่อมฉันทำแทนท่านปู่ในฐานะขุนนางผู้ภักดี และทำเพราะความกตัญญูในนามของไป๋ชิงเหยียนเพคะ!”

ภักดี กตัญญู…

ไป๋เวยถิงจงรักภักดีต่อเขาอย่างแท้จริง เป็นจริงดังที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าว ไป๋เวยถิงพาบุรุษทุกคนในตระกูลไป๋ไปออกรบโดยไม่เหลือทางรอดให้แก่ทายาทของตระกูลไป๋เลย

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ หากนึกถึงคนที่ล่วงลับไปแล้วที่เขาติดค้างเอาไว้ สิ่งที่นึกถึงก็มักจะมีแต่ความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น

ใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีของไป๋เวยถิงทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

เมื่อมองเห็นหลานสาวผู้นี้ของไป๋เวยถิง นางคงต้องการไปแก้แค้นแทนบุรุษตระกูลไป๋มากสินะ!

ฮ่องเต้พระทัยอ่อนลงเล็กน้อย “ไปเถิด!”

“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

องค์หญิงใหญ่ยืนรออยู่ข้างเสาเคลือบน้ำมันสีแดงหน้าตำหนัก มือที่กุมไม้เท้าหัวพยัคฆ์เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา นางกังวลใจมาก เกรงว่าไป๋ชิงเหยียนจะมีปากเสียงกับฮ่องเต้จนพระองค์คิดอยากสังหารไป๋ชิงเหยียนขึ้นมา

องค์หญิงใหญ่ว้าวุ่นใจหันกลับไปมองประตูตำหนักที่ยังคงปิดสนิท สายตาสะดุดลงที่ร่างเปื้อนเลือดของเซียวรั่วไห่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่กำลังกังวลใจหรือเพราะเซียวรั่วไห่ไม่เป็นที่สะดุดตากันแน่ องค์หญิงใหญ่ถึงเพิ่งสังเกตเห็นเซียวรั่วไห่ที่ยืนอยู่ด้านหลังตน

นางเอ่ยถาม “อาเป่ารู้เรื่องจับกุมหลิวฮ่วนจางในวันนี้หรือไม่”

เซียวรั่วไห่รีบโค้งกายลง น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งเหมือนตอนที่อยู่ในท้องพระโรง ชาวหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ

“เรียนองค์หญิงใหญ่ คุณหนูใหญ่มิใช่เทพ จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างไรขอรับ”

เซียวรั่วไห่ไม่ได้ตอบตามความจริง องค์หญิงใหญ่ต้องการสังหารจี้ถิงอวี๋เพื่อบุตรอนุผู้นั้น ตอนนี้คุณหนูใหญ่บาดหมางกับองค์หญิงใหญ่แล้ว เซียวรั่วไห่ไม่เชื่อใจองค์หญิงใหญ่ เจ้านายของเขามีเพียงคุณหนูใหญ่คนเดียวเท่านั้น

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประตูตำหนักถูกเปิดออกอีกครั้ง ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากตำหนักโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ ใจที่เป็นกังวลขององค์หญิงใหญ่ค่อยๆ คลายกังวลลง นางรีบถลาไปด้านหน้าสองก้าวแล้วจับมือของไป๋ชิงเหยียนเอาไว้ “ฝ่าบาทตรัสสิ่งใดกับเจ้าบ้าง!”

“ทรงกำชับว่าเมื่อข้าไปที่หนานเจียงต้องชนะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากพ่ายแพ้ก็มิต้องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบดังเช่นปกติ ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับตกใจจนแทบทรงตัวไม่อยู่

“ว่าอย่างไรนะ!” เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ องค์หญิงใหญ่ก็เข้าใจแผนการของฮ่องเต้ในทันที

ภายนอกแสร้งทำเป็นส่งคนไปเจรจาสงบศึก แต่กลับลอบส่งไป๋ชิงเหยียนไปโจมตีภายหลัง เผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ที่ร่วมมือกันของซีเหลียง และหนานเยี่ยน หากกองทัพแคว้นต้าจิ้นไม่ได้รับความเสียหาย บุรุษตระกูลไป๋ และกองทัพไป๋ยังอยู่สงครามครั้งนี้อาจพอมีหวัง!

ทว่า บัดนี้แม่ทัพเสียชีวิต กองทัพสูญเสียกองกำลังไปมาก จะสู้กับกองทัพใหญ่ของหนานเยี่ยนและซีเหลียงได้อย่างไรกัน!

บุรุษตระกูลไป๋ล้วนสังเวยชีวิตอยู่ที่หนานเจียงแล้ว เหตุใดฮ่องเต้จึงไม่ยอมปล่อยไป๋ชิงเหยียนไปนะ!

มือขององค์หญิงใหญ่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ หมุนตัวกลับเตรียมจะเข้าไปขอร้องฮ่องเต้

“ย่าจะเข้าไปทูลกับฮ่องเต้เอง!”

“ภายนอกมีศัตรูจ้องเราอยู่ตาเป็นมัน ภายในไร้ซึ่งทหารปกป้องบ้านเมืองนี้ ข้าจำเป็นต้องไปที่หนานเจียงเจ้าค่ะ!”

ท้องฟ้ามืดครึ้มลงแล้ว เหล่านางกำนัลกำลังไล่จุดโคมไฟดวงใหญ่ตามระเบียงทางเดินในตำหนักที่โอ่อ่าให้สว่างขึ้นทีละดวง

ร่างผอมเพรียวของไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ริบหรี่ สีหน้ายิ่งทระนง ไม่ยอมแพ้ และไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น

องค์หญิงใหญ่มองจ้องไปในดวงตาที่ดำขลับราวกับน้ำหมึกของหลานสาว ในดวงตาเย็นชาคู่นั้นส่อแววแข็งกร้าว ความทะเยอทะยานถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่สงบนิ่ง หนักแน่น มีความสง่างามและบารมีของความเป็นผู้นำอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

องค์หญิงใหญ่รู้สึกไม่สบายใจ ทว่า เมื่อนึกถึงถ้อยคำที่หลานสาวกล่าวว่าทำเพราะต้องการปกป้องชาวบ้าน ปกป้องบ้านเมืองดังที่ตระกูลไป๋ทุกรุ่นทำ นางก็ไม่อาจคัดค้านได้ นางค่อยๆ สงบสติลงและเข้าสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครั้ง

ไป๋ชิงเสวียนถูกมัด และขังไว้ในห้องเก็บฟืน เขาหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

ตกกลางคืนแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดนำอาหารหรือน้ำมาให้เขาเลยแม้แต่น้อย องครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกสงบนิ่งราวกับคนตาย

เขาเดินไปมาอยู่ในห้องเก็บฟืน เกาะอยู่ตรงประตูพลางตะโกนด่าออกไปด้านนอก

“ข้าจะบอกพวกเจ้านะ ทางที่ดีพวกเจ้ารีบปล่อยข้าออกไปดีกว่า ข้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลไป๋! พวกเจ้าบังอาจทำเช่นนี้ ข้าออกไปได้เมื่อใดจะฆ่าพวกเจ้าให้ตายทั้งหมดเลย! ข้าจะฆ่าไป๋ชิงเหยียนนั่นด้วย! พวกเจ้าคอยดูเถิด!”

องครักษ์ที่อยู่ในชุดไว้อาลัยทำราวกับไม่ได้ยิน เขายังคงยืนเฝ้าประตูอยู่นิ่งๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น

ไป๋ชิงเสวียนอยู่ไม่เป็นสุข นึกถึงท่าทีขององค์หญิงใหญ่ในวันนี้ เขาคงไม่ได้รับสืบทอดตำแหน่งแล้ว พวกนั้นจะฆ่าเขาหรือไม่นะ!

ไป๋ชิงเสวียนตัวเย็นวาบกับความคิดของตัวเอง ไม่มีทางหรอก! เขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลไป๋เชียวนะ!

ขณะคิดไป๋ชิงเสวียนได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านนอก เขารีบลุกขึ้นยืนทันที

ประตูห้องเก็บฟืนถูกเปิดออก ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงนำองครักษ์และบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งของจวนเดินเข้าไปด้านใน ไป๋ชิงเหยียนหยุดยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก ไม่ได้เดินตามเข้าไป

เดิมทีการจัดการกับบุตรอนุผู้นี้ ไป๋จิ่นซิ่วมาเพียงคนเดียว เพราะนี่คือบุตรสาวเลวที่บิดาของนางทิ้งเอาไว้

ทว่า ท่านย่าเรียกทุกคนไปที่เรือนฉางโซ่ว ระหว่างทางนางพบกับพี่หญิงใหญ่และน้องหญิงสาม

เดิมทีนางอยากให้พี่หญิงใหญ่และน้องหญิงสามรอนางสักครู่ นึกไม่ถึงเลยว่าน้องหญิงสามไป๋จิ่นถงจะลากพี่หญิงใหญ่มากับนางด้วย

ไป๋ชิงเสวียนที่มือถูกมัดไขว้อยู่ทางด้านหลังถอยหลังหนีไปสองก้าว

“พวกเจ้าจะทำอันใด! ข้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของจวนเจิ้นกั๋วกงนะ! พวกเจ้า…กล้าฆ่าข้าหรืออย่างไร!”

ตั้งแต่พบกันครั้งแรกที่หอหม่านเจียงจนมาถึงตอนที่บุตรอนุผู้นี้บีบบังคับจนจี้หลิวซื่อฆ่าตัวตาย ชำแหละร่างของนางแล้วสั่งให้คนโยนให้สุนัขกิน! การกระทำทั้งหมดของบุตรอนุผู้นี้เกินกว่าที่ไป๋ชิงเหยียนจะรับได้แล้ว

เดิมทีนางเห็นแก่ที่บุตรอนุผู้นี้มีสายเลือดของตระกูลไป๋อยู่ในตัวจึงจะให้เขาจากไปอย่างสงบ ทว่าบัดนี้…นางจะไม่ยอมให้บุตรอนุผู้นี้ตายไปอย่างง่ายดายเช่นนั้นแล้ว

สัตว์เดรัจฉานที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ควรจะตายเพราะโดนผู้อื่นทรมาน

สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนเคร่งขรึม ถือเตาอุ่นมือยืนอยู่หน้าประตูห้องเก็บฟืน ไม่อยากเข้าไปเหยียบในห้องนั้นแม้แต้ก้าวเดียว

“ฆ่าเจ้าให้ตายมันง่ายเกินไป” ดวงตาของไป๋จิ่นซิ่วส่อแววเย็นชา “ได้ยินว่าเจ้าชอบเหม่ยเหรินหู[1] ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าก็จะทำให้เจ้ากลายเป็นเหม่ยเหรินหู!”

ใบหน้าของไป๋ชิงเสวียนซีดเผือด หวาดหวั่นเป็นอย่างมาก “เจ้ากล้าหรือ!”

ไป๋จิ่นถงกล่าวด้วยสีหน้าบึงตึง “บุรุษในเมืองหลวงที่มีรสนิยมชอบเล่นของเหล่านี้มีอยู่ไม่น้อย ข้าจะส่งเจ้าไปให้คุณชายที่ถนัดในเรื่องนี้ที่สุดในเมืองหลวง คงมีคนประทินโฉมให้เจ้าทุกวันจนเจ้ากลายเป็นเหม่ยเหรินหูที่งามที่สุด ให้คนได้เชยชม!”

“พวกเจ้ากล้าทำเช่นนั้นหรือ! ข้าเป็นบุรุษคนเดียวของตระกูลไป๋! ข้าเป็นบุรุษที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว! ข้าจะสืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วอ๋อง!”

สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนนิ่งขรึมเยือกเย็น ไม่อยากแม้กระทั่งยิ้มเย็นให้บุตรอนุผู้นี้ มองดูไป๋ชิงเสวียนก็รู้สึกเหมือนมองดูสิ่งสกปรกโสโครก นางสะบัดหิมะที่ตกลงมาบนเสื้อคลุมให้หลุดออก มองไปทางระเบียงทางเดินที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย

“ยังฝันอยู่อีกหรือ!” ดวงตาของไป๋จิ่นถงส่อแววเย้ยหยัน

“ท่านย่าไปขอสละตำแหน่งแล้ว ไม่เกินคืนวันพรุ่งนี้คงมีราชโองการลงมา! บุตรอนุที่ทำให้ผู้มีบุญคุณของตระกูลไป๋ต้องตายอย่างเจ้า คืนนี้ตระกูลไป๋จะประกาศออกไปว่าเจ้าทนโทษโบยของตระกูลไม่ไหว…เสียชีวิตลงแล้ว!”

———————————————

[1] เหม่ยเหรินหู หมายถึง การจับหญิงสาวแต่งตัวอย่างสวยงาม และใส่ลงไปในโอ่งเพื่อให้บุรุษได้เชยชม หรืออาจหมายถึงโสเภณี