ตอนที่ 149 เสนอความคิดเห็น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 149 เสนอความคิดเห็น
องค์หญิงใหญ่จับแขนไป๋ชิงเหยียนแล้วย่อกายทำความเคารพเตรียมเดินจากไป ก็ได้ยินเสียงของถงจี๋ดังขึ้นมาเสียก่อน “ที่ชาวบ้านในเมืองหลวงรู้เรื่องนี้ก็เพราะตระกูลไป๋เอะอะโวยวายมิใช่หรือขอรับ หากคุณหนูสี่ของตระกูลไป๋ไม่เปิดอ่านจดหมายเหล่านั้นต่อหน้าชาวบ้านและขอให้ชาวบ้านมาเป็นพยานให้ตระกูลไป๋ ชาวบ้านจะมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูอู่เต๋อได้อย่างไรขอรับ…”

ได้ยินถ้อยคำนี้ ความโกรธที่ไป๋ชิงเหยียนพยายามระงับไว้หลายชั่วยามก็ปะทุขึ้นในทันที “เจ้าหมายความว่าเหลียงอ๋องต้องการสาดน้ำโคลนใส่วีรบุรุษที่สละชีพเพื่อบ้านเมืองของตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋ของข้าต้องยืนรอรับน้ำโคลนนั่นอย่างเต็มใจเช่นนั้นหรือ! เหลียงอ๋องอ้างชื่อของท่านปู่ข้าเพื่อบังคับให้ข้าแต่งงานด้วย เมื่อน้องหญิงสี่ของข้าได้จดหมายมา นางต้องนำจดหมายเหล่านั้นไปไว้ในห้องหนังสือของท่านปู่ข้าอย่างสบายใจหรืออย่างไร!”

ถงจี๋ถูกตอกกลับจนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อ เขาอดกลั้นจนสีหน้าแย่ลงทุกที

“หากน้องหญิงสี่ของข้าไม่ได้อ่านจดหมายเหล่านั้นต่อหน้าทุกคน เกรงว่าก็คงไม่มีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเหลียงอ๋องฉบับนี้และก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าเหลียงอ๋องที่มีอายุเท่าข้าผู้นี้จะโหดร้ายถึงเพียงนี้ คงไม่รู้อีกว่าเหลียงอ๋องจะแสดงละครตบตาผู้อื่นได้เก่งกาจถึงเพียงนี้! ไป๋ชิงเหยียนยอมแพ้แล้วจริงๆ !” ไป๋ชิงเหยียนยิ้มเยาะเสียงเย็น

นางพบเจอคนหน้าด้านไร้ยางอายมามากมาย แต่ไม่เคยพบเจอผู้ที่ไร้ยางอายโดยคิดว่าตัวเองทำถูกต้องจนไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้มาก่อน

เหลียงอ๋องกำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น ยังคงทำตัวโง่เขลาและขี้ขลาดตามเดิม “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเหลียงอ๋อง นึกถึงท่าทางคุกคามของเหลียงอ๋องตอนที่ตวาดสั่งให้ถงจี๋หุบปากเมื่อครู่ นึกถึงเสือขาวที่สังหารเขาในความฝันตัวนั้น เหลียงอ๋องอายุเท่ากับไป๋ชิงเหยียน เขาเกิดปีขาลเช่นเดียวกัน!

สุดท้าย สายพระเนตรของฮ่องเต้หยุดลงที่เกาเซิง เขากำนิ้วมือของตัวเองแน่นอย่างไม่รู้ตัว

หากเทียบกับไป๋ชิงเหยียนที่เป็นเพียงสตรีแล้ว เหลียงอ๋องโอรสของเขา…น่าจะอยากครอบครองบัลลังก์นี้มากกว่า

“หลายปีมานี้เจ้าอยู่ในความคุ้มครองของเหลียงอ๋องมาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้เอนกายพิงหมอน ตรัสถามเกาเซิงด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“พ่ะย่ะค่ะ!” เกาเซิงตอบ “แต่ว่าเหลียงอ๋องไม่ทรงทราบฐานะที่แท้จริงของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเหตุใดวันนี้เจ้าถึงยอมเปิดเผยฐานะของตัวเอง”

“กระหม่อมต้องตอบแทนบุญคุณที่เหลียงอ๋องช่วยชีวิตกระหม่อมไว้ในปีนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เกาเซิงสารภาพตามความจริง

เซียวรั่วไห่นึกไม่ถึงว่าเกาเซิงจะมีอีกหนึ่งตัวตนที่ปกปิดเอาไว้เช่นนี้ ได้แต่ลอบเสียดายอยู่ในใจที่ไม่อาจเกลี้ยกล่อมคนผู้นี้ให้มารับใช้คุณหนูใหญ่ได้ หากได้คนผู้นี้มาคอยปกป้องคุณหนูใหญ่ การเดินทางไปยังหนานเจียงในครั้งนี้…ความปลอดภัยของคุณหนูใหญ่จะได้แน่นหนาขึ้นอีกชั้น

หลู่จิ้นมองเห็นเถียนเหวยจวินที่คุกเข่าอยู่ข้างกายของเกาเซิงเหมือนกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่จึงเอ่ยถาม “เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวหรือไม่”

เถียนเหวยจวินมองดูเหลียงอ๋องที่ร้องไห้จนสะอื้นไปทั้งร่าง หลับตาลงพลางกล่าวขึ้น “ไม่มีขอรับ…”

“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องเชื่อลูกนะพ่ะย่ะค่ะ!” เหลียงอ๋องยังคงร้องไห้อย่างเจ็บปวด

“หลู่จิ้น เรามอบหมายให้เจ้าเป็นคนสอบสวนเกาเซิง องครักษ์ผู้นั้นและบ่าวรับใช้ชายของเหลียงอ๋อง ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็จงทำให้พวกเขาสารภาพออกมาให้ได้!” ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้น สายพระเนตรเคร่งขรึมมองไปยัง

เหลียงอ๋อง “จับเหลียงอ๋องขังไว้ในคุกต้าหลี่ก่อน หลังจากไต่สวนสามคนนั้นแล้วค่อยลงโทษตามกฎหมาย!”

ดวงตาของเหลียงอ๋องไหววูบ ร่างแข็งทื่อ ไม่ว่าจะใช้วิธีใด…หมายความว่าจะทรมานอย่างไรก็ได้หรือ!

“เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ! บาดแผลของลูกยังไม่หายดี ได้โปรดให้ถงจี๋มาปรนนิบัติลูกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าเสด็จพ่อจะทรงกักขังหรือทำสิ่งใด อย่างน้อยก็ขอให้ลูกมีคนคอยรับใช้สักคนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหลียงอ๋องว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ก้มศีรษะแนบพื้นอ้อนวอนอยู่หลายครั้ง

“องค์ชาย!” ถงจี๋น้ำตาไหลพราก มองไปทางฮ่องเต้อย่างวิงวอนเช่นเดียวกัน “ฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานอนุญาตให้บ่าวอยู่รับใช้องค์ชายเถิดพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นก็ส่งคนอื่นมาดูแลองค์ชายก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

“ยังไม่รีบนำตัวไปอีก!” ฮ่องเต้ขบกรามแน่นพลางตวาดออกมาเสียงดัง

ทหารองครักษ์เดินเข้ามาจากด้านนอก กุมตัวเกาเซิงและเถียนเหวยจวินออกไปตามคำสั่ง ถงจี๋เห็นทหารองครักษ์เดินเข้าไปลากชุนเหยียนที่ตะโกนร้อง “คุณหนูใหญ่ช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” เขารีบคลานเข้าไปหา

เหลียงอ๋องพลางร้องไห้ออกมา “องค์ชาย! ถงจี๋ไม่อยู่แล้วองค์ชายต้องทานยาให้ตรงเวลา รักษาสุขภาพด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”

องครักษ์สองคนลากถงจี๋ออกไปด้านนอกอย่างไม่ออมแรง “องค์ชาย! ทรงดูแลตัวเองให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เหลียงอ๋องได้ยินเสียงของถงจี๋ที่เต็มไปด้วยเสียงสะอื้นและความหวาดกลัว แต่ก็ยังมิวายกำชับให้เขาทานยาให้ตรงเวลา ชายหนุ่มไม่กล้าหันกลับไปมอง ได้แต่ก้มศีรษะโขกพื้นอย่างแรง “เสด็จพ่อ! ถงจี๋ร่างกายอ่อนแอเช่นเดียวกับลูกตั้งแต่เด็ก เขาโดนทรมานไม่ไหวหรอกพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อได้โปรดไว้ชีวิตถงจี๋ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

“เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้า สามคนนั้นต้องถูกสอบสวน มันเป็นเพียงบ่าวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องขอร้องแทนพวกมันหรอก” ฮ่องเต้ก้มหน้าลงไม่ยอมมองเหลียงอ๋องที่ยังโขกศีรษะแนบพื้นไม่หยุด ความผูกพันทางสายเลือดที่มีอยู่ในใจอีกเพียงเล็กน้อยสลายไปพร้อมกับความฝันที่ยังตอกย้ำเขาอยู่ในทันที

ฮ่องเต้กำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวทั้งสองข้างแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น พื้นกระเบื้องหินสีใสสะท้อนใบหน้าอาฆาตแค้นของเหลียงอ๋อง

“นำตัวออกไป!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างทรงพลัง

เมื่อเกาเต๋อเม่าสะบัดแส้ในมือ องครักษ์รีบมานำตัวของเหลียงอ๋องออกไปในทันที หลู่จิ้นทำความเคารพเสร็จก็เดินออกจากวังหลวงกลับไปไต่สวนคดีต่อที่ศาลต้าหลี่ทันที

เมื่อเหลียงอ๋องที่เอาแต่ร้องตะโกนว่าถูกใส่ร้ายโดนทหารองครักษ์ลากตัวออกไปจากตำหนัก สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงในทันที ดวงตาวาวโรจน์อย่างน่าสะพรึงกลัว

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางองค์หญิงใหญ่และไป๋ชิงเหยียน ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “โอรสของเราไม่ได้เรื่อง สร้างความลำบากให้ท่านป้าแล้ว”

องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลไป๋เพคะ ในเมื่อเรื่องราวจบสิ้นแล้ว หม่อมฉันและหลานสาวขอทูลลาเพคะ”

“ท่านป้าไปก่อนเถิด เรามีเรื่องอยากจะสนทนากับคุณหนูใหญ่ไป๋สักเล็กน้อย ท่านป้าโปรดรออยู่นอกตำหนักสักครู่” ฮ่องเต้ตรัสออกมา

องค์หญิงใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นทำความเคารพแล้วหมุนกายเดินจากไป เซียวรั่วไห่รีบถลาเข้าไปประคององค์หญิงใหญ่

เมื่อองค์หญิงใหญ่ออกจากตำหนักไปแล้ว ไป๋ชิงเหยียนเดินเข้าไปคุกเข่าลงที่กลางท้องพระโรงอย่างนอบน้อม ก้มหน้าลงราวกับพร้อมฟังคำสั่งสอน

“องค์หญิงใหญ่จะไปบำเพ็ญภาวนาที่วัด หลังจากที่เจ้าส่งองค์หญิงใหญ่ไปที่นั่นแล้วก็เตรียมเดินทางไปที่หนานเจียงพร้อมกับฉีอ๋อง…” ฮ่องเต้ลูบแหวนปานจื่อที่นิ้วมือ “ทูตของแคว้นเราเดินทางไปแล้ว สามแคว้นเจรจาแลกเปลี่ยนข้อเสนอกัน ช่วงนี้คงไม่เกิดสงครามขึ้น ระหว่างทางที่ไปเจ้าจงคิดวางแผนให้ดี สงครามครั้งนี้เราต้องชนะเท่านั้น หากพ่ายแพ้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว เข้าใจความหมายของเราหรือไม่”

“ฝ่าบาท หากหม่อมฉันชนะ หม่อมฉันอยากทูลขอรางวัลจากฝ่าบาทเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะแนบพื้นอย่างนอบน้อม

ฮ่องเต้หรี่ตาลง “ว่ามา…”

“หากชนะ หม่อมฉันทูลขอให้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการแต่งตั้งน้องหญิงรองของหม่อมฉัน ไป๋จิ่นซิ่วภรรยาของฉินหล่าง เป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุดเพคะ! ตระกูลไป๋จะย้ายกลับไปอยู่ซั่วหยางแล้ว ทว่า น้องหญิงรองของหม่อมฉันแต่งงานกับฉินหล่างแล้ว จวนจงหย่งโหวเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ หม่อมฉันกลัวว่าท่านอาสะใภ้รองจะเป็นห่วงน้องหญิงรองที่นิสัยอ่อนโยนเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงบังอาจทูลขอให้ฝ่าบาททรงเห็นแก่ความจงรักภักดีของตระกูลไป๋ พระราชทานตำแหน่งให้น้องหญิงรองเพคะ”

ฮ่องเต้มองดูไป๋ชิงเหยียนซึ่งคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงด้วยแววตาสงบนิ่งราวกับกำชัยชนะเอาไว้ในมือแล้ว เขาขยับริมฝีปากเล็กน้อย พยักหน้า “อนุญาต!”

หญิงสาวก้มศีรษะคำนับขอบคุณจากนั้นกล่าวต่อ “หลังจากได้รับชัยชนะกลับมาจากหนานเจียง ไป๋ชิงเหยียนจะเดินทางกลับซั่วหยางทันที วันนี้หม่อมฉันขอทูลเสนอความคิดเห็นต่อฝ่าบาทว่าพระองค์ควรฝึกฝนทหารกองทัพใหม่เพื่ออนาคตภายภาคหน้าด้วยเพคะ”

พระเนตรของฮ่องเต้ไหววูบราวกับมีสิ่งใดแล่นปลาบขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพไป๋เวยถิงเสนอความคิดเห็นต่อเขา

ตระกูลไป๋จงรักภักดีสืบต่อกันมาทุกรุ่นจริงๆ !

ฮ่องเต้อดหวนนึกถึงเรื่องราวภายในวังปีนั้นขึ้นมาไม่ได้ เขาให้สัญญากับไป๋เวยถิงว่าจะไม่มีวันคลางแคลงใจในตัวเขา ฮ่องเต้รู้สึกปวดร้าวในใจเป็นอย่างมาก โบกมือส่งสัญญาณให้ไป๋ชิงเหยียนออกไป ไอสังหารที่มีต่อไป๋ชิงเหยียนลดลงไปไม่น้อย