ตอนที่ 148 ดุลยพินิจ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 148 ดุลยพินิจ
“ก็เรื่อง…ใส่ร้ายเจิ้นกั๋วอ๋องอย่างไรเล่าขอรับ!” เหลียงอ๋องนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ดวงตาแดงก่ำมองไปยังเสด็จพ่อของตัวเอง

“เสด็จพ่อ ลูกแค่ต้องการช่วยเสด็จพี่จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ลูกทราบว่าเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเสด็จพี่มากที่สุด ลูกไม่อาจทนเห็นเสด็จพี่ตกทุกข์ได้ยาก ทนเห็นเสด็จพ่อเสียพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ!”

ช่างเป็นคนกตัญญูและไร้เดียงสาจริงๆ ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลง

“องค์ชายทรงโกหก!” องค์หญิงใหญ่จับไม้เท้าหัวพยัคฆ์พลางลุกขึ้นยืน จ้องไปทางเหลียงอ๋องเขม็ง กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“สิ่งสำคัญที่สุดของตระกูลสูงศักดิ์ทุกตระกูลคือชื่อเสียง! บัดนี้ซิ่นอ๋องไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ทว่า องค์ชายกลับวางแผนทำลายชื่อเสียงที่มีมานับร้อยปีของตระกูลไป๋ นี่คือความผิดประการที่หนึ่ง! บุรุษตระกูลไป๋สละชีพเพื่อปกป้องแคว้นต้าจิ้นไว้ องค์ชายในฐานะโอรสแห่งราชวงศ์ไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณ กลับวางแผนทำให้ชื่อเสียงของขุนนางผู้จงรักภักดีต้องแปดเปื้อน นี่คือความผิดที่สอง! องค์ชายคือโอรสของฝ่าบาท มีโอกาสครอบครองบัลลังก์นั่น แต่กลับทำผิดซ้ำซ้อนเช่นนี้ ใต้หล้าจะมองราชวงศ์ของเราเช่นไรกัน ต่อไปผู้ใดจะสละชีพเพื่อแคว้นต้าจิ้น ผู้ใดจะปกป้องคุ้มครองราชวงศ์หลินกัน!”

เหลียงอ๋องทำท่าทีราวกับตื่นจากความฝัน น้ำตาไหลพรากออกมาในทันที ก้มศีรษะแนบพื้นติดต่อกันหลายครั้ง

“เสด็จพ่อ! ลูกไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกผิดแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ! เสด็จพ่อทรงทราบดีว่าลูกขี้ขลาดอ่อนแอ ลูกคิดตื้นเกินไป ลูกแค่อยากช่วยเสด็จพี่! ไม่เคยคิดเลยว่าจะก่อปัญหาใหญ่ให้เสด็จถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

องค์หญิงใหญ่หันไปหาฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกว่าเนื้อหาในจดหมายของเหลียงอ๋องเขียนได้อำมหิต เด็ดขาดมากเพคะ ไม่เหมือนกับผู้ที่อ่อนแอไร้พิษสงเลยสักนิดเพคะ! หรือว่ามีผู้อื่นบอกแล้วเหลียงอ๋องทรงเขียนตามเพคะ บ่าวรับใช้ของจวนหม่อมฉันกล่าวว่า พวกเขาติดตามผู้ต้องสงสัยไปที่จวนเหลียงอ๋อง ไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนผู้นั้นก็ออกมาแล้ว! ใต้เท้าหลู่จิ้นส่งคนไปสอบถามบ่าวในจวนของเหลียงอ๋องดูหน่อยเถิดว่าตอนนั้นเหลียงอ๋องอยู่ที่ใด อยู่คนเดียวหรือไม่ เช่นนี้ก็จะรู้แน่ชัดแล้วว่าเหลียงอ๋องเขียนขึ้นมาเองหรือมีผู้ใดคิดบงการกันแน่”

เหลียงอ๋องใจกระตุกวูบ ก้มหน้าตัวสั่นเทาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง นึกถึงจดหมายที่เขาเขียนด้วยลายมือตัวเองเหล่านั้นแล้วจึงหลับตาลง เขาทำพลาดไปเพราะความใจร้อนจริงๆ

ทว่า เหลียงอ๋องไม่อยากยอมแพ้ เขาคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่เขาอ้างว่าที่ปรึกษาของจวนซิ่นอ๋องสังหารฉินเต๋อเจาเสร็จก็หายตัวไปแล้ว

“หากว่าเหลียงอ๋องต้องการช่วยเหลือพี่ชายแต่โดนหลอกใช้อย่างไม่รู้ความก็แล้วไป! ทว่า หากทำไปตามน้ำโดยที่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่…คนที่เจ้าแผนการเช่นนี้ ฝ่าบาทต้องทรงพิจารณาให้ดีนะเพคะ!” องค์หญิงใหญ่กล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน

ไป๋ชิงเหยียนที่ถูกองค์หญิงใหญ่ปกป้องอยู่ทางด้านหลังไม่กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น นางรู้ว่าท่านย่ากำลังบ่มเพาะเมล็ดความหวาดระแวงในตัวเหลียงอ๋องลงไปในพระทัยของฮ่องเต้ เมื่อคนเราเริ่มหวาดระแวง เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้

ท่านย่าเป็นคนที่รู้จักฮ่องเต้ดีกว่านาง ขอแค่ฮ่องเต้พบว่าเหลียงอ๋องไม่ได้อ่อนแอไร้ความสามารถดังที่แสดงออกมาในยามปกติ แต่แสร้งทำตัวเช่นนี้ จากนั้นเมื่อฮ่องเต้นึกเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของเหลียงอ๋องและองค์ชายรองในตอนนั้น จนถึงเรื่องที่เหลียงอ๋องต้องการใส่ร้ายตระกูลไป๋ว่าเป็นกบฏในตอนนี้ แต่เหลียงอ๋องยังแสร้งทำตัวขี้ขลาดอยู่ ทั้งเรื่องที่ฉินเต๋อเจาเสียชีวิตลงโดยไร้ร่องรอย การโยนเรื่องเสบียงอาหารที่หนานเจียงให้เป็นความผิดของซิ่นอ๋อง ฮ่องเต้จะทรงคิดเช่นไรกันนะ!

ต้องทรงคิดว่าโอรสองค์นี้ของพระองค์ช่างเก่งกาจจริงๆ! เก่งถึงขนาดอยู่เหนือความคาดหมาย และการควบคุมของพระองค์ไปแล้ว!

โอรสที่มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์แต่เจ้าแผนการ แสดงละครตบตาผู้คนเก่ง และอยู่นอกเหนือการควบคุมเช่นนี้ ควรเก็บเขาไว้อีกหรือไม่!

ฮ่องเต้ทรงจะไม่กลัวเลยหรืออย่างไรว่า สักวันหนึ่งที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เหลียงอ๋องจะกระชากหน้ากากลูกแกะอันอ่อนแอของตัวเองกลายเป็นหมาป่าผู้โหดร้ายบุกเข้าวังเพื่อสังหารเขาแล้ว แย่งราชบัลลังก์ไปครอบครองเหมือนดั่งที่องค์ชายรองเคยทำ!

“ท่านย่า! ข้าเคารพยำเกรงท่านย่ามาโดยตลอด แม้ไม่ถึงขั้นกตัญญู แต่ก็รำลึกนึกถึงท่านย่าเสมอ เหตุใดท่านย่าต้องทำร้ายข้าด้วยขอรับ!” เหลียงอ๋องเงยหน้าขึ้น สีหน้าตื่นตระหนกราวกับสัตว์เล็กที่ถูกล่า สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการถูกคนในครอบครัวทรยศ

องค์หญิงใหญ่ยืดกายตรง มองไปทางเหลียงอ๋อง กล่าวอย่างยุติธรรม “องค์ชาย หม่อมฉันเป็นย่าของพระองค์ แต่ก็เป็นองค์หญิงใหญ่ของแคว้นต้าจิ้นด้วย! บ้านเมืองมาก่อนครอบครัว หม่อมฉันปฏิบัติต่อตระกูลไป๋เช่นนี้ ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกัน…”

น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่ซึ่งชราภาพมากแล้วแฝงไปด้วยความเจ็บปวด นางกล่าวอย่างสะอื้น

“ฝ่าบาท หม่อมฉันแก่แล้ว วันที่สิบห้าหม่อมฉันก็จะไปบำเพ็ญภาวนาให้บ้านเมืองอยู่ที่วัดของราชวงศ์แล้ว ต่อไปคงปกป้องเด็กๆ ตระกูลไป๋พวกนี้ไม่ได้ คนเหล่านี้คือทายาทของผู้กล้าผู้ล่วงลับ หลังจากตรุษจีนพวกเขาก็จะเดินทางกลับไปที่ซั่วหยางแล้ว ตระกูลไป๋มีแต่ความโปร่งใส คนทุกรุ่นมีแต่ความจงรักภักดี หม่อมฉันขอเป็นตัวแทนของตระกูลไป๋สละยศตำแหน่งเจิ้นกั๋ว ณ ที่นี่ตอนนี้เลยเพคะ หวังเพียงฝ่าบาททรงจะปกป้องคุ้มครองสตรีของตระกูลไป๋ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสงบเพคะ!”

ผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่เงยหน้ามององค์หญิงใหญ่และไป๋ชิงเหยียนที่มีสีหน้าสงบนิ่ง เขาได้ยินว่าตระกูลไป๋รับบุตรอนุกลับมาคนหนึ่ง เหตุใดตระกูลไป๋ต้องสละตำแหน่งด้วยเล่า!

ไป๋ชิงเหยียนก้าวไปประคององค์หญิงใหญ่ เอ่ยกับองค์หญิงใหญ่เสียงแผ่วเบา

“ท่านย่า ข้ารู้สึกคุ้นหน้าองครักษ์ผู้นั้นมากเจ้าค่ะ เหมือนว่าเขาจะเคยเป็นองครักษ์ขององค์ชายรอง…”

น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนไม่ดังมาก เหมือนว่าจะกระซิบบอกองค์หญิงใหญ่เพียงคนเดียว ทว่า กลับดังพอที่ฮ่องเต้จะทรงได้ยินพอดี

องค์ชายรอง สามคำนี้เหมือนเป็นหนามทิ่มแทงใจของฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา เขาเงยหน้าขึ้นในทันที

“เจ้าหมายถึงองครักษ์คนใด!”

แม้ฮ่องเต้จะตรัสถามไป๋ชิงเหยียน ทว่า สายพระเนตรกลับมองไปทางเกาเซิงแล้ว ดูเหมือนว่าจะนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ ฮ่องเต้ผุดลุกขึ้นยืนในทันที

พระทัยของฮ่องเต้เต้นรัว มิน่าเล่าเขาถึงรู้สึกว่าองครักษ์ผู้นั้นหน้าคุ้นๆ ตอนที่องค์ชายรองก่อกบฏในปีนั้น…เกาหย่วนองครักษ์ข้างกายที่ฝีมือดีที่สุดขององค์ชายรองเกือบจะตัดศีรษะของเขาได้ ถึงตอนนี้เขายังจำความรู้สึกตอนที่ดาบแหลมคมซึ่งเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจ่ออยู่ที่คอของเขาได้อยู่เลย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงลืมใบหน้าเย็นชาของเกาหย่วนไม่ลง

“เจ้าเป็นอันใดกับกบฏเกาหย่วน!” ฮ่องเต้ตวาดถามเสียงดัง

“พี่ชายของข้าคือเกาหย่วน องครักษ์ขององค์ชายรอง” เกาเซิงไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ประสานสายตากับฮ่องเต้ ราวกับพร้อมตาย

“รัชศกเซวียนเจียปีที่เจ็ด โดนสังหารที่ประตูอู่เต๋อ โดนประหารเจ็ดชั่วโคตร เหลือเพียงข้าแค่คนเดียว”

สายพระเนตรของฮ่องเต้มองไปยังเหลียงอ๋องอย่างตกตะลึงถึงขีดสุด เห็นเพียงเหลียงอ๋องมองไปทางเกาเซิงอย่างตกตะลึง

เหลียงอ๋องไม่ได้แกล้งทำเป็นตกตะลึง เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเกาเซิงจะสารภาพตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาเช่นนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เกาเซิงคงไม่อาจมีชีวิตรอดได้แล้ว

เหลียงอ๋องรวมรวบสติอย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะคำนับแนบพื้นอย่างตัดใจ

“เสด็จพ่อ ลูก ลูกไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของเกาเซิงจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้กำหมัดแน่น เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงประทับลงตามเดิม เขาลอบจับที่วางแขนบนบัลลังก์มังกรแน่น

องค์หญิงใหญ่มองดูสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ ทำความเคารพเสร็จจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

“ฝ่าบาท ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ชาวบ้านทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้เรื่องนี้ ตอนนี้ชาวบ้านที่อยู่นอกประตูอู่เต๋อต่างสรรเสริญว่าฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิที่ปราดเปรื่อง ต่างเชื่อใจว่าฝ่าบาทจะคืนความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋ ฝ่าบาทต้องทำให้ได้ดังที่ชาวบ้านสรรเสริญจึงจะได้ใจของชาวบ้านนะเพคะ! จะลงโทษเหลียงอ๋องเช่นไร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของฝ่าบาทนะเพคะ!”