ตอนที่ 7 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 07

Akuyaku Reijou no Naka no Hito

ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 07

เมื่อข้ากลับมาถึงหมู่บ้านเพื่อเตรียมแผนขั้นต่อไป ข้าก็สังเกตได้ว่าคนที่ช่วงนี้มักจะมาที่หมู่บ้านบ่อยๆ มารอข้าอยู่ในหมู่บ้าน ข้าเข้าไปคุยกันปีศาจที่แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านโดยยังไม่เอ่ยถามถึงคนคนนั้น และเขาก็ได้บอกว่ามีมนุษย์ชื่อโซเฟียเป็นแขกมารอพบข้า

คุณหนูจากตระกูลเคานต์ลาร์ด… ไม่สิ ‘อดีต’ คุณหนูตระกูลเคานต์ เพราะข้ารู้มาว่าเธอตัดสัมพันธ์กับตระกูลแล้ว เธอรับตำแหน่งเป็นอัศวินหญิงตั้งแต่เอมิเปิดตัวสู่สังคมในฐานะ ‘เรมิเลีย’ ซึ่งหมายความว่าเธอได้จบการศึกษาตั้งแต่ก่อนที่เอมิกับคนอื่นๆจะได้เข้าเรียน จึงไม่มีความทรงจำร่วมกันมากนัก

เธอมักมาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่หมู่บ้านของข้าเพิ่งเริ่มก่อตั้งมีจำนวนประชากรไม่ถึงสิบ เธอพยายามเข้ามาพูดคุยกับข้าเพราะความไม่สบายในในเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีก่อน เกี่ยวกับชื่อเสียงของข้าที่ถูกพูดถึงในสังคม เรื่องที่ได้ยินจากเดวิดคู่หมั้นของเธอ และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากหญิงสาวแห่งดวงดาวย้ายเข้ามาเป็นนักเรียน

ราวกับเป็นเรื่องตลก คนที่รู้จักกันแค่ผิวเผินแต่กลับออกความเห็นจากข่าวลือได้ยุติธรรมมากกว่าเพื่อนที่รู้จักกันมานานหลายปี

ตั้งแต่แรกในตอนที่ปีศาจเริ่มก่อสร้างหมู่บ้าน ข้ายังไม่คิดจะนับมนุษย์เป็นพวก และได้ให้เหตุผลปฏิเสธไปว่า ‘มีอัศวินจากวังหลวงถูกส่งมาจับตาดูข้า หากท่านอยู่ที่นี่ก็จะถูกเพ่งเล็งไปด้วย’ เพราะข้าไม่ได้ให้ข้ารับใช้ไปจับตาดูเธอ จึงไม่สามารถตรวจสอบเจตนาที่แท้จริงได้ มีโอกาสเป็นสมุนของหญิงสาวแห่งดวงดาวที่ถูกส่งมาเป็นสายลับ

แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอถามเรื่องต่างๆของข้าจากคนในหมู่บ้าน และตั้งค่ายพักแรมด้วยตัวเองอยู่ใกล้ๆ เธอแสดงความเห็นใจต่อ ‘เรมิเลีย’ เพราะมั่นใจว่าข้าถูกใส่ร้าย ข้ารู้ได้เพราะหลังจากที่ได้เจอเธอในครั้งแรก ข้าได้ส่งข้ารับใช้ไปจับตาดูเธอด้วยอีกคน และได้เห็นว่าเธอขอถอนหมั้นกับเดวิดที่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากหญิงสาวแห่งดวงดาว แต่ครอบครัวของเธอคัดค้านเพราะต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลผู้บัญชากองอัศวิน เธอจึงตัดสัมพันธ์กับครอบครัวและสละตำแหน่งก่อนเดินทางมาที่นี่

ระหว่างที่ข้อออกเดินทางไปตามดันเจี้ยนตามต่างๆ เมื่อกลับมาที่หมู่บ้าน โซเฟียก็จะพยายามขอเข้าพบข้าทุกครั้ง เธออาจต้องการขอย้ายเข้ามาในดินแดนของข้า… ข้าหลีกเลี่ยงมนุษย์มาโดยตลอดแต่ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะให้มีคนได้รู้ว่าอะไรคืออะไร เพราะพีน่าใช้น้ำหอมที่เหลืออยู่จนหมด ข้าจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกดึงตัวไป

อันที่จริง หมู่บ้านของข้าก็เคยรับเด็กมนุษย์เข้ามาก่อน เพราะรู้ว่าคนอย่างพีน่าจะไม่ใช้น้ำหอมดึงดูดหรือยาเสน่ห์กับเด็กจรจัดทั่วไป นั่นคือเหตุผลที่หมู่บ้านของข้าเริ่มมีเด็กมนุษย์ชายหญิงที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มหน้าตาดีมาอาศัยอยู่ ในตอนที่มาถึงหมู่บ้านครั้งแรก พวกเขาจะได้ฟังจากปีศาจผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้า เรื่องที่ข้าถูกใส่ร้ายและเนรเทศมาที่นี่ ทำให้พวกเขาเกลียดชังหญิงสาวแห่งดวงดาวผู้ที่ทำเรื่องชั่วช้า กับข้าผู้ที่ให้อาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิง และปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นแม่หรือพี่สาว เป็นคนที่พวกเขารักไม่ต่างกับครอบครัวจริงๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้หญิงคนนั้นจะเปลี่ยนใจพวกเขาในตอนนี้

โซเพียเข้ากันไม่ค่อยได้กับหญิงสาวแห่งดวงดาวอยู่แล้ว จึงเหมาะเป็นแนวร่วมของข้า คงจะดีไม่น้อยที่มีสหายผู้ที่ฝักใฝ่ความยุติธรรมอย่างแรงกล้า… ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงเจตนาของเธอและเชิญเข้ามาในบ้าน

ยิ่งกว่าการขอย้ายเข้าหมู่บ้าน เป็นเรื่องคาดไม่ถึงที่เธอต้องการเสนอตัวเป็นผู้ติดตามรับใช้ข้า

โซเพียผู้เป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวไม่ต่างกับเรื่องราวความรักวัยรุ่นคนนั้นกำลังขอเป็นผู้ติดตามของข้า… อาจอยู่ในฐานะอัศวินผู้พิทักษ์ของข้า

 เอาเถอะ… นี่คงทำให้แผนของข้าน่าสนุกยิ่งขึ้นได้ล่ะมั้ง? ข้าแสดงสีหน้าสับสนกับข้อเสนอกะทันหันของเธอ จากนั้นก็พูดไปว่า ‘ได้สิ พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ ขอฝากตัวด้วยนะ โซเฟีย’ ด้วยรอยยิ้ม ข้ามั่นใจว่าเอมิจะพูดเช่นนั้น เธอประสานมือ เงยหน้าขึ้นมามองและตอบว่า ‘ข้าคิดไม่ผิดจริงๆที่ตัดสินใจมอบความภักดีให้กับท่าน’ เธอสาบานจะมอบความภักดีให้กับ ‘เรมิเลีย’ ของเอมิ หลังจากที่ได้คุยข้าก็เข้าใจ เธอวิเคราะห์ข่าวลือได้อย่างเป็นกลางและเข้าถึงความจริงได้ด้วยตัวเอง เป็นคนที่ข้าสามารถมอบความไว้วางใจได้ แตกต่างจากเดวิดที่ถูกพีน่าหลอกได้อย่างง่ายๆ

โชคที่ไม่คาดฝันในครั้งนี้น่ายินดีเหลือเกิน มั่นใจได้เลยว่าต่อจากนี้แผนการของข้าก็จะราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่สิ ยังหลงระเริงตอนนี้ไม่ได้ จนกว่า ‘เรมิเลีย’ ของเอมิจะมีความสุข ข้าจะต้องรอบคอบเข้าไว้

“แล้ว ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ช่วงนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

“อ่า ท่านเรมิเลีย ตอนนี้ความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นมาก… ปัญหาส่วนใหญ่ก็ได้ท่านช่วยคลี่คลายหมดแล้ว ที่เหลือก็มีแต่เรื่องเล็กน้อยที่พวกเราจัดการกันเองได้”

“ดีแล้วที่ทุกคนได้อยู่อย่างสบาย ข้าแปรรูปศิลาเวททั้งหมดให้เป็นอัญมณีเวทมนตร์แล้ว ต้องรบกวนขอให้ท่านช่วยนำไปขายเป็นเงินทุนสำหรับพัฒนาหมู่บ้านด้วย ดูเหมือนเร็วๆนี้ต้องขยายแนวรั้วออกไปอีก”

“ขอบคุณครับ ทีนี้พื้นที่เพาะปลูกก็จะเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย”

ข้าใช้เวทมนตร์เรียกถุงที่บรรจุอัญมณีเวทมนตร์อยู่เต็มออกมา และส่งให้กับหัวหน้าหมู่บ้านอดีตเจ้าของร้านขายสินค้าเวทมนตร์ในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้เขาปิดร้านตามคำแนะนำของข้าในทันที การเคลื่อนไหวตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็วถือเป็นประโยชน์ต่อแผนการของข้าอย่างมาก

หลายวันก่อน ข้ารับใช้ของข้าที่ให้จับตาดูการเคลื่อนไหวอยู่ที่เมืองหลวง ได้เห็นมาว่ามีกองกำลังส่วนตัวของขุนนางตระกูลหนึ่งใช้กำลังบุกรุกเข้าไปในร้านขายของที่ถูกทิ้งร้างไปแล้ว และทำการรื้อค้นอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เพราะพีน่าไม่สามารถหาซื้อไอเทมสำหรับเพิ่มค่าความชอบ ได้หมดความอดทนและคิดจะจับกุมตัวเจ้าของร้านโดยใช้เส้นสายของเดวิดฝ่านกองอัศวิน พีน่าอ้างว่าร้านนี้จำหน่ายยาเวทมนตร์ผิดกฎหมาย เป็นของอันตรายที่ต้องสอบสวนโดยเร่งด่วน ข้าเห็นฉากนี้แล้วแทบจะหัวเราะออกมาดังๆ เขาไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองนี่แหละที่ถูกหญิงสาวแห่งดวงดาวใช้ยาอันตรายนั่นเล่นงานมาตลอด

เธอวางแผนเอาไว้ว่าเมื่อจับตัวได้แล้วจะขังเอาไว้เป็นทาสให้ผลิตยาให้เธอ ทั้งที่จริง ร้านนี้ยังมีสินค้าที่มีประโยชน์อีกมาก มีลูกค้าประจำเป็นชนชั้นสูงหลายคน เมื่อผู้ดีเหล่านั้นไม่สามารถหายาปลูกผมหรือยาลดความอ้วนได้อีกต่อไป พวกเขาก็เริ่มนินทาถึงพีน่าด้วยความไม่พอใจ ‘หญิงสาวแห่งดวงดาวคิดจะผูกขาดสินค้าเอาไว้คนเดียว พยายามเข้าปล้นร้านมาเป็นของตัวเอง’ ข่าวลือนี้กระจายออกไปลับหลังเธอ

หลังจากจบบทที่หนึ่งของเรื่องราว หรือที่เรียกกันว่าบทในรั้วโรงเรียน พีน่าใช้น้ำหอมและยาเสน่ห์อย่างไม่บันยะบันยัง แม้ว่าเธอไม่สามารถหามันเพิ่มได้อีกแล้วก็ตาม กับผู้ชายที่เธอเรียกว่าตัวละครกาชา เธอไม่มีความยับยั้งชั่งใจแม้แต่น้อยเมื่อได้เห็นผู้ชายหน้าตาดี

เธอไม่มีทางเลือกหลังจากที่หาซื้อไอเทมเงินจริงเหล่านั้นไม่ได้อีกต่อไป เพราะในโลกแห่งความจริงนี้ไม่มีหน้าจอคำสั่งให้เลือก เธอต้องคิดบทสนทนาและตัดสินใจลงมือกระทำดัวยตัวเอง เท่าที่ข้าเห็นก็บอกได้เลยว่าเธอไร้พรสวรรค์ในการดึงดูดใจผู้คน

ไอเทมสำหรับเพิ่มคาความชอบตามปรกติจะมี หนังสือ ขนม และเครื่องดื่ม หากคิดจะให้เป็นของขวัญในชีวิตจริงก็ยิ่งจะต้องเป็นของที่มีราคาแพง แต่ผู้หญิงคนนั้นขาดความละเอียดอ่อนในเรื่องพวกนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และสังเกตรสนิยมของคนอื่นไม่เป็น เช่น ให้หนังสือบริหารธุรกิจกับคนที่ชื่นชอบการผจญภัย มันไม่มีทางทำให้ผู้รับมีความสุขได้ ข้าเฝ้ามองผ่านข้ารับใช้ ดูเหมือนเธอยังคงเชื่อว่าทุกอย่างในโลกนี้ทำงานด้วยระบบแบบเดียวกับในเกม และโวยวายออกมาทุกครั้งที่มีบางอย่างไม่เป็นไปตามที่เธอคาด

เพราะนี่ไม่ใช่เกม ต้องสนิทกันในระดับ ‘มากกว่าคนรู้จัก น้อยกว่าเพื่อน’ เป็นอย่างน้อย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากออกผจญภัยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน

ชีวิตของเธอมีแค่ถูกปกป้องอยู่แต่ในปราสาทกลางเมืองหลวง แม้ว่าจะได้พบกับบุคคลภายนอกที่แวะเวียนเข้ามาในบางครั้ง เช่น นักผจญภัย ทหารรับจ้าง นักเวทจากหน่วยงานอิสระ เธอก็ไม่สามารถดึงพวกเขามาเป็นพวกได้

ผู้หญิงคนนั้นถูกตัดโอกาสได้พบกับสหายใหม่โดยสิ้นเชิง

จากเรื่องนั้น เจ้าของร้านบอกกับช้าอย่างชื่นชมว่า ‘ดีจริงๆที่หนีออกมาได้ทันก่อนถูกจับ เป็นอย่างที่ท่านเรมิเลียเตือนเอาไว้เลย’ และ ‘ผู้หญิงที่ดูเหมือนเป็นแค่ลูกค้าประจำ แท้จริงแล้วมีงานอดิเรกคือการออกล่าทาส’ อดีตเจ้าของร้านคนนี้ก็ได้เชื่อใจในตัวข้ามากขึ้น

“แล้วก็ ท่านผู้ใหญ่บ้าน ข้าอยากขอยืมเส้นสายของท่าน ช่วยทำเรื่องให้ข้าเข้าพบคนคนหนึ่งหน่อย”

“บุคคลที่ต้องทำเรื่องก่อนพบ? นอกจากท่านเรมิเลียแล้ว ผมก็ไม่รู้จักคนแบบนั้นหรอกครับ…”

“ผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ของพวกท่าน ราชาปีศาจ”

“เอ่อ ต่อให้เป็นท่านเรมิเลียก็เถอะ แต่นั่นมัน…”

“เป็นเรื่องยากจริงๆด้วยสินะ? ถ้าข้าอยากเสนอวิธีแก้ไข ‘ความบ้าคลั่ง’ ที่เป็นปัญหาให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกท่านมาตลอดหลายร้อยปีล่ะ?”

“!…เรื่องนั้น ขอรายระเอียดด้วย”

ข้ายิ้มและมองเข้าไปในตาของหัวหน้าหมู่บ้าน คิดถึงสิ่งที่เอมิจะทำ ‘ถ้าช่วยได้ ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว’ เป็นคำพูดของเอมิที่ข้าจำได้ดี

ข้าสงสัยเหลือเกินว่าข้าจะทำสีหน้าแบบเดียวกับเอมิตอนที่ช่วยชีวิตพ่อของโคลดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนได้หรือไม่

“…เจ้ามนุษย์ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารู้วิธีรักษาความบ้าคลั่ง เรื่องจริงหรือ?”

“ฝ่าบาท ขออนุญาตแก้ไขคำพูดของท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่? …สิ่งที่ข้ารู้ไม่ใช่วิธีรักษา แต่เป็นวิธีแก้ปัญหาความบ้าคลั่ง”

กลางท้องพระโรงที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษาในปราสาทของราชาปีศาจ ข้าแต่งตัวเหมือนอัศวินหญิงที่พร้อมจะผจญภัยในดันเจี้ยน… คุกเข่าราวกับข้ารับใช้รอคำสั่งและเงยหน้าพูดในตอนที่ถูกถาม

ความบ้าคลั่งคือภัยพิบัติแห่งหายนะที่เกิดขึ้นในโลกปีศาจ เดิมทีปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุขัยยืนยาว แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งจะแสดงอาการบางอย่างออกมา เช่นอาละวาดโดยไม่ทราบสาเหตุ กินทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวดัน เมื่อถูกความบ้าคลั่งเข้าครอบงำพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สูญเสียสติและเหตุผล แต่พละกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก สามารถใช้เวทมนตร์ได้รุนแรงอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน บางครั้งก็ทำการเคลื่อนย้ายหรือบินไปยังโลกมนุษย์ในฐานะ ‘มาร’ สร้างความหวาดกลัว และจะกลับมาได้สติอีกครั้งก็ต่อเมื่อกินเลือดเนื้อของผู้ที่ใกล้ชิดกับตัวเองในปริมาณที่มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายถึงตาย ปัจจุบันยังไม่มีวิธีหยุดยั้งมันได้ จึงถูกเรียกว่า ‘โรคมรณะ’ ในหมู่ปีศาจ

จึงเป็นเรื่องปรกติสำหรับปีศาจที่จะทำการสังหารผู้ที่ถูกความบ้าคลั่งเข้าครอบงำก่อนที่จะทำให้มีใครตาย แต่ในบางกรณีจะมีคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก ยอมเสียสละให้เขากลับมามีสติ แต่ปีศาจที่ได้สติกลับคืนมาส่วนใหญ่มักจบชีวิตตัวเองเพราะไม่อยากตกสู่ความบ้าคลั่งอีกครั้ง และมีปีศาจบางคนเลือกอาศัยอยู่ในดินแดนของมนุษย์ เช่นเด็กในหมู่บ้านของข้า คนรอบตัวไม่ต้องการให้พวกเขาประสบชะตากรรมเช่นนั้น

“สาเหตุของความบ้าคลั่งเกิดจากมลพิษที่สะสมอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ถ้าได้รับมลพิษอย่างต่อเนื่องสักวันจะเสียสติและเป็นโรคมรณะอย่างแน่นอน ปริมาณของมลพิษที่ร่างกายรับได้จะแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล…”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่ก็ใช่… หมายความว่าเจ้าต้องการให้พวกข้าทอดทิ้งดินแดนแห่งนี้หรือ? และจะทำการอพยพกันอย่างไร? แม้ว่าประชากรจะมีไม่มาก แต่ก็มีถึงสามหมื่นคน หรือเจ้ามีวิธีพาพวกเขาทั้งหมดข้ามทวีปได้?”

“ผิดแล้ว ข้าไม่ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาเช่นนั้น… นอกจากนี้ ปีศาจที่แข็งแกร่งจะมีลักษณะเฉพาะตัวเช่นเขี้ยวและเขา ทำให้โดดเด่นเกินกว่าจะจะแฝงตัวอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น”

“แล้วยังไง…”

บทในเกมไม่ได้ลงรายระเอียดถึงช่วงเวลา แต่ก็รู้แน่ชัดแล้วว่า ‘การเกิดความบ้าคลั่งจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในฐานะปีศาจ’ โดยมีสาเหตุมาจากมลพิษ ปีศาจที่เกิดความบ้าคลั่งตั้งแต่อายุยังน้อยจะไม่มีลักษณะเด่นของปีศาจ กลับกัน ตัวตนอย่างราชาปีศาจ หรือปีศาจที่มีเกล็ดแข็งตามร่างกาย ดวงตามีรูปร่างหรือสีที่ไม่เหมือนมนุษย์ ร่างกายใหญ่โต มีกรงเล็บ เขี้ยว เขา หรือปีก จะไม่บ้าคลั่งไปนานหลายสิบปี เพราะราชาปีศาจรู้เช่นนั้น อีกทั้งดินแดนที่มีมลพิษนั่นทำการเพาะปลูกยาก จึงได้ใช้ทางเลือกสุดท้ายโดยส่งปีศาจอ่อนแอที่เกิดมามีรูปลักษณ์ใกล้เคียงมนุษย์ ไปยังดินแดนที่ปราศจากมลพิษซึ่งก็คือโลกมนุษย์ เป็นอีกเหตุผลนอกจากเพื่อการทำธุรกิจ

ในเนื้อเรื่อง เขาจะทำสัญญากับของเรมิเลียที่ยื่นข้อเสนอว่า ‘ทำลายประเทศมนุษย์และเปลี่ยนมันให้เป็นของปีศาจ’ ซึ่งเขาจะสามารถครอบครองดินแดนที่ไม่มีมลพิษ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความบ้าคลั่ง แต่หลังจากนั้นเขาจะร่วมมือกับหญิงสาวแห่งดวงดาวลับหลังเรมิเลีย เพราะคิดว่าพลังของหญิงสาวแห่งดวงดาวสามารถช่วยเผ่าปีศาจได้

และอธิบายว่าเวทมนตร์ ‘อัญเชิญปีศาจ’ ที่ปรากฏตอนต้นเรื่อง แท้จริงแล้วถูกคิดค้นมาเพื่อการค้าขายกับโลกปีศาจ ซึ่งร้านค้าของปีศาจในเมืองหลวงก็ยังมีการใช้บางส่วนของเวทมนตร์นี้อยู่ และตามที่คาดไว้ วงเวทที่เจ้าของร้านใช้สามารถส่งข้ามายังโลกปีศาจได้ เพราะข้าไม่รู้พิกัดจึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือบินมาด้วยตัวเอง

ความหวาดกลัวในตัวตนของมาร มีสาเหตุมาจากปีศาจที่บ้าคลั่ง ปีศาจที่บ้าคลั่งสามารถใช้เวทมนตร์ที่ไม่เคยใช้ได้มาก่อน… จึงมีกรณีที่พวกเขาใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายไปยังทวีปอื่นที่มีมลพิษเบาบางกว่าด้วยสัญชาตญาณ ผู้คนที่พบเจอจึงนิยามพวกเขาว่า ‘มาร’

ในเกมจะบรรยายเอาไว้ว่า ราชาปีศาจผู้ที่มนุษย์เชื่อกันว่าเป็นจ้าวแห่งมาร มักถูกเข้าใจว่าเขาปกครองประเทศด้วยความโหดร้าย

ข้างๆมีชายหนุ่มผู้มีเขาอยู่บนหัว ข้าเดาว่าคนคนนั้นคือน้องชายของราชาปีศาจ ในตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ในตอนที่ราชาปีศาจบ้าคลั่ง เขาจะเป็นคนแรกที่เสียสละเพื่อให้ราชาปีศาจได้สติ หากเป็นไปตามเนื้อเรื่อง ราชาปีศาจจะตัดสินใจรุกรานดินแดนของเผ่าพันธุ์อื่นเพราะต้องการช่วยน้องชายและประชาชนของเขา

เมื่อเข้าเนื้อเรื่องบทของโลกปีศาจได้ไม่นาน เขาจะถูกฆ่าตายโดยราชาปีศาจที่ถูกความบ้าคลั่งเข้าครอบงำในช่วงที่ราชาปีศาจแองเจิ้ลมีอายุได้ร้อยสี่สิบปี… นั่นคือช่วงเวลาที่แองเจิ้ลจะต้องบ้าคลั่ง เอมิร้องไห้กับเนื้อเรื่องของเขาเช่นเดียวกับเนื้อเรื่องของจอมวายร้ายเรมิเลีย ข้าคิดว่าเอมิมีอารมณ์อ่อนไหวกับตัวละครฝั่งผู้ร้ายค่อนข้างมาก

“มลพิษที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุมาจากเทพแห่งการสร้างที่อยู่ใจกลางโลกปีศาจ หากปล่อยเอาไว้ต่อไป มันจะปกคลุมโลกทั้งใบ ไม่ใช่แค่เป็นอันตรายต่อเผ่าปีศาจเท่านั้น แต่โลกมนุษย์และทุกชีวิตบนนั้นจะถูกทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้”

“ทำไมมนุษย์อย่างเจ้าถึงรู้ว่ามีวิหารเทพแห่งการสร้างอยู่ที่โลกปีศาจ…”

“มลพิษจะก่อตัวขึ้นทุกครั้งที่เทพแห่งการสร้างใช้พลังแห่งเทพ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะกำจัดได้ มันต้องถูกชำระล้างโดยเทพธิดาแห่งการชำระล้าง เร็นเงะ ให้ดินแดนที่ปนเปื้อนได้กลับไปสู่สิ่งที่มันควรเป็น ไม่มีทางอื่น”

“…แล้วเจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร? เจ้ามนุษย์”

ข้ายิ้มและพูดต่อไป ในเนื้อเรื่องมีการบอกไว้ว่าราชาปีศาจมีดวงตาที่แยกแยะคำพูดโกหกออกจากความจริงได้ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ข้าพูดทุกคำคือสิ่งที่ข้า ‘เชื่อว่ามันเป็นความจริง’ ถ้าไม่ยืนยันว่าข้า ‘รู้ได้อย่างไร’ ข้อมูลจะจะขาดความเชื่อถือจนกลายเป็นเรื่องไร้สาระทันที

“ตัวข้ามีความทรงจำของวีรสตรีผู้ที่กำลังจะกอบกู้โลกใบนี้”

“ความทรงจำ?”

“ถูกต้อง มันเป็นแค่ความทรงจำ และข้าได้อาศัยความทรงจำเหล่านั้นฝึกฝนตัวเอง ออกผจญภัยไปตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก รวบรวมกุญแจ และโค่นจ้าวสวรรค์ลง ทั้งหมดนั้น ข้าเรียนรู้มาจากความทรงจำของวีรสตรีผู้กอบกู้ ถึงวิธีได้รับกุญแจประตูสวรรค์ และสาเหตุที่เทพธิดาแห่งการชำระล้างได้หายตัวไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ข้าถูกตัวตนอันชั่วร้ายเข้าขัดขวาง สถานการณ์จึงแตกต่างไปจากความทรงจำที่ข้ามี…”

ผู้ที่กอบกู้โลกนี้คือเอมิ และข้ามีความทรงจำของเธอ เป็นความจริงที่ข้าถูกพีน่าขัดขวาง และเป็นความจริงที่ข้าไม่ได้เป็นจอมวายร้าย เนื้อเรื่องจึงมีความแตกต่างกันอย่างมาก ข้าไม่ได้โกหก การเล่าเรื่องหว่านล้อมให้อีกฝ่ายเชื่อโดยไม่ต้องโกหกไม่ใช่เรื่องยาก แม้แต่ราชาปีศาจก็ยังไม่เอะใจ

ในความคิดของราชาปีศาจจะต้องเชื่อว่า ‘ตัวตนอันชั่วร้าย’ หลอกลวงคนอื่นๆให้ขับไล่ข้า

“…แล้วถ้าครั้งนี้เจ้าเข้าใจผิดล่ะ”

“ก็จะมีเพียงหญิงโง่คนหนึ่งเข้าท้าทายเทพมารอดีตเทพแห่งการสร้างและตายจากไป แต่ข้ามั่นใจว่าการชำระล้างเทพแห่งการสร้างและฟื้นฟูโลกที่กำลังจะตายนี้เป็นสิ่งที่ข้าเป็นต้องทำ เพราะฉะนั้น ข้าจึงต้องการขอยืมกุญแจสู่วิหารเทพแห่งการสร้างที่ฝ่าบาทครอบครอง”

“…มันคือสมบัติประจำชาติ ไม่สามารถส่งมอบให้ใครได้”

“เรื่องนั้น…”

“ข้าจะเข้าไปด้วย”

“ท่านพี่?”

“ใจเย็นๆก่อน คลิม …อย่าได้เข้าใจผิดไปล่ะ เจ้ามนุษย์ ข้ายังไม่ไว้ใจเจ้า…แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ได้โกหก ดังนั้นข้าจะไปจับตาดูความพินาศของเจ้า”

“…ขอบพระทัย ผ่าบาท”

ข้าคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ตัวข้าในตอนนี้ได้ก้าวข้ามเรมิเลียตามเนื้อเรื่องดั้งเดิมได้อย่างง่ายดาย ข้ามีแผนที่จะเอาชนะ ‘เทพแห่งการสร้างผู้ร่วงหล่น’ ด้วยตัวคนเดียว แต่ถ้ามีราชาปีศาจเข้าร่วมด้วย การกอบกู้โลกของข้าก็จะไม่เป็นไปตามแผนอีกต่อไป ข้าจึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

ข้าไม่ได้เตรียมเกราะศักดิ์สิทธิ์มาเผื่อในส่วนของราชาปีศาจ แต่อย่างน้อยก็มีพรคุ้มครองแห่งเทพไฟที่ได้มาโดยไม่คาดคิด ซึ่งไม่น่ามีปัญหาเพราะสามารถป้องกันทัณฑ์สวรรค์จากเทพแห่งการสร้างได้สำหรับอีกคน

หากเป็นไปตามเนื้อเรื่อง จะต้องทำให้เทพแห่งการสร้างอ่อนแอลงจนถึงที่สุดอย่างน้อยครั้งหนึ่งเพื่อทำการชำระล้าง ไม่สามารถทำการชำระล้างเทพแห่งการสร้างได้ในทันทีก็เพราะเขาอยู่ในสภาพที่เกือบจะเป็นเทพมารอย่างเต็มตัวแม้ข้าจะดำเนินเรื่องเร็วกว่าในเกมแล้วก็ตาม และเร็นเงะก็ไม่สามารถถูกอัญเชิญออกมาเพื่อชำระล้างได้ในสภาวะที่มีมลพิษหนาแน่น

ข้าสรุปได้ว่าผู้ชายคนนี้มีประโยชน์มากกว่า จึงบีบน้ำตาและกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

อย่างน้อยข้าก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้น ฝ่าบาทพร้อมแล้วหรือยัง ท่านราชาปีศาจ”

“…แองเจิ้ล”

“หืม”

“ชื่อของข้า”

ราชาปีศาจพูดเช่นนั้นและเปิดประตูวิหารเทพ… เป็นการตอบคำถามว่า ‘พร้อมแล้ว’ ที่เข้าใจง่าย

…อาจเป็นเพราะว่าการขานเรียกด้วยชื่อยาวๆจะเป็นอุปสรรค์ระหว่างการต่อสู้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สาเหตุนั้น ข้าเข้าใจได้จากความทรงจำของเอมิ แองเจิ้ลเริ่มถูกใจในตัว ‘เรมิเลียผู้พยายามย่างหนักในการช่วยเหลือโลกทั้งใบโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม’ เข้าให้แล้ว

นี่ใช้การได้แน่ ข้าต้องแสดงเป็น ‘เรมิเลียผู้ตั้งใจกอบกู้โลกมากเกินไปจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนหลงใหลในตัวเธอ’ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องโกหก และเอมิก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ภายในดันเจี้ยน ‘เทพแห่งการสร้างผู้ร่วงหล่น’ ไม่มีอสูรอยู่ระหว่างทาง ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ภายในดันเจี้ยนแห่งนี้คือตัวเทพแห่งการสร้างเอง ตัวเกมที่มีเรื่องราวของ ‘จอมวายร้ายเรมิเลีย’ นี้ ได้ยุติการให้บริการลงไปแล้ว หลังเข้าสู่บทสุดท้ายในปีที่หก จำนวนผู้ใช้งานก็ลดลงจนไม่เป็นที่นิยมในโลกของเอมิ

ในตอนท้ายนั้นยังมีคำถามที่ค้างคาอยู่มาก มลพิษมาจากไหน ทำไมเทพแห่งการสร้างจึงร่วงหล่น ในเว็บบอร์ดที่เอมิดูก็ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่เอมิก็ซื้อหนังสือแฟนบุ๊คสรุปเรื่องราวที่ออกจำหน่ายในภายหลัง ข้าจึงรู้ทุกอย่างจากความทรงจำที่มีกับหนังสือเล่มนั้น ต้องขอบคุณจริงๆ

หญิงสาวแห่งดวงดาวและพรรคพวกได้ทำการชำระล้างมลพิษในโลกปีศาจ จนทั่วโลกยกย่องในวีรกรรมของเธอและจบลงอย่างมีความสุข นำไปสู่ฉากจบกับตัวละครที่มีค่าความชอบสูงสุด หรือเลือกหนึ่งในตัวละครที่มีค่าความชอบเต็มเพียงคนเดียว แต่สามารถจ่ายเงินซื้อไอเทมพิเศษเพื่อดูฉากจบกับตัวละครอื่นได้ แม้แต่แองเจิ้ลก็เป็นเป้าหมาย แต่สำหรับจอมวายร้ายเรมิเลีย เธอจะพยายามสังหารหญิงสาวแห่งดวงดาวในช่วงกลางบทสุดท้าย และถูกฆ่าโดยอดีตคู่หมั้น วิลเลียด คำพูดสุดท้ายของเธอคือ ‘ข้าต้องการเพียงความรักจากใครสักคนเท่านั้น…’ เอมิร้องไห้ที่ฉากนี้และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นคนเดียวที่ไม่สามารถถูกช่วยเอาไว้ได้

ระหว่างทางในดันเจี้ยนเทพแห่งการสร้างผู้ร่วงหล่น หากไม่มีการ ‘ชำระล้าง’ ด้วย ‘ไอเทม หรือ เวทมนตร์’ ทุกๆห้าเทิร์น ตัวละครที่เป็นปีศาจหรือมนุษย์ในทีมจะถูกสุ่มเกิดความบ้าคลั่งหนึ่งคน เมื่อมันเกิดขึ้น จะตัดไปเป็นฉากต่อสู้กับเพื่อนร่วมทีมคนนั้น ถ้าชนะก็จะกลับไปเป็นปรกติแต่จะอยู่ในสภาพใกล้ตาย สำหรับข้า มันจะยุ่งยากมากขึ้นเมื่อราชาปีศาจเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา เพราะฉะนั้นข้าต้องไม่ลืมชำระล้าง

เวทมนตร์ชำระล้างจัดอยู่ในประเภทเวทมนตร์ธาตุศักดิ์สิทธิ์ เรมิเลียใช้เวทรักษาได้อยู่แล้วจึงสามารถใช้มันได้ เป็นความจริงสำหรับเรมิเลียทางนี้ด้วยเช่นกัน คุณสมบัติของเวทมนตร์ที่สามารถใช้ได้นั้นไม่เกี่ยวกับว่าเป็นคนดีหรือคนเลว มันก็คงเหมือนกับที่ผู้หญิงคนนั้นมีพลังของหญิงสาวแห่งดวงดาวแม้วิญญาณภายในจะอัปลักษณ์ล่ะมั้ง?

ข้าบอกข้อมูลที่รู้มาจากหนังสือแฟนบุ๊คให้กับแองเจิ้ล ถ้าเป็นเอมิ เธอคงจะบอกให้เขารู้ทุกเรื่องแน่

ข้าบอกไปว่า ในสมัยโบราณกาล ปีศาจและมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่มีมลพิษจะวิวัฒนาการเป็นเผ่าปีศาจเพื่อความอยู่รอดที่ต้องทนกับมลพิษให้ได้ เช่นเดียวกับขนของสัตว์ที่อยู่ในดินแดนหนาวเย็นจะหนาขึ้นในแต่ละรุ่น เพราะ ‘สัตว์ที่มีขนหนาจะเลือกสืบพันธุ์กับสัตว์ที่มีขนหนาตามสัญชาตญาณความอยู่รอดในพื้นที่หนาวเย็น พวกมันจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์ใหม่’ เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ทางด้านพันธุกรรม

“ข้อพิสูจน์คือ มนุษย์เองก็เกิดความบ้าคลั่งได้หากได้อยู่ในมลพิษเป็นเวลานาน แต่ร่างกายมนุษย์จะไม่สามารถทนต่อการกลายร่างได้ พวกเขาจะเสียชีวิตในขั้นตอนนั้น”

“ข้อพิสูจน์อีกอย่างคือการที่ปีศาจกับมนุษย์สามารถมีลูกด้วยกันได้ เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน จึงไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น”

“ดังเช่นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนทะเลทรายจะมีสีผิวเข้ม และมนุษย์ที่อยู่ในเขตหนาวจะมีอุณหภูมิร่างกายสูง ความแตกต่างของเชื้อชาติขึ้นอยู่กับสถานที่ที่อาศัย ดังนั้น แม้แต่ปีศาจกับมนุษย์เองก็สามารถร่วมมือกันสร้างโลกที่ทุกคนมีความสุขได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น”

 คำพูดของข้าทำให้แองเจิ้ลกัดฟันกลั้นน้ำตา แต่ข้าแสร้งทำเป็นไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของแองเจิ้ล… ข้าจับขวดที่พกมากับชุดของข้าอย่างมุ่งมั้น มันบรรจุเมล็ดบัวที่ได้มาจากสระก่อนหน้านี้ ไอเทมสำหรับอัญเชิญเร็นเงะ

เอมิแสดงความเห็นใจต่อเผ่าปีศาจออกมามาก เพราะฉะนั้นข้าเชื่อว่าเอมิจะต้องทำเช่นนี้

ความบ้าคลั่งเป็นอาการที่เกิดจากการสะสมของมลพิษ แต่เรื่องนี้ได้ถูกค้นพบไม่นานในโลกปีศาจว่ามลพิษเป็นสาเหตุของความบ้าคลั่ง และผู้ใช้เวทย์มนตร์ธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถชำระล้างมลพิษได้นั้น ไม่ค่อยได้ปรากฏในเผ่าปีศาจที่มีความต้านทางมลพิษสูง

หากพวกเขาทำการชำระล้างอย่างสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีปีศาจที่เกิดความบ้าคลั่ง แองเจิ้ลจะต้องรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และข้าได้บอกไปว่า ‘เป็นคำชี้แนะจากพระเจ้า’ เพื่อทำให้เขาเข้าใจว่าเร็นเงะเป็นคนบอกให้รู้หลังจากข้าได้ช่วยเธอไว้ และบอกว่าเผ่าปีศาจไม่มีทางรู้ได้เพราะเทพธิดาแห่งการชำระล้าง เร็นเงะ ถูกจ้าวสวรรค์จับตัวไป จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าจะให้พวกเขารู้ในเรื่องที่ต้องการให้รู้

เทพธิดาแห่งการชำระล้างกล่าวว่าเธอให้ให้อภัยกับการหลอกลวงของข้าในครั้งนี้ เธอเต็มใจตอบตกลงเพราะต้องการช่วยรักษาจิตใจของปีศาจที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาจนถึงตอนนี้

ใช่แล้ว ข้าต้องช่วยเยียวยาราชาปีศาจ แองเจิ้ล ผู้น่าสงสาร เพราะมันเป็นสิ่งที่เอมิจะทำ

การต่อสู้กับเทพแห่งการสร้างผู้ร่วงหล่นง่ายกว่าที่คิดไว้มาก สมกับเป็นเรมิเลียผู้มีค่าพลังสุดโกงตามที่เอมิเรียก บวกกับความร่วมมือของแองเจิ้ล ราชาปีศาจ ตัวละครระดับแนวหน้า และไม่มีการจำกัดการเคลื่อนไหวด้วยระบบเทิร์น อีกทั้งยังมีไอเทมสนับสนุนอีกมากมาย จึงไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนยากลำบากเหมือนในเกม ระดับของพวกเราในตอนนี้สูงกว่าตัวละครหลักตามเนื้อเรื่องไปมากแล้ว

อันที่จริง ข้าแค่กางบาเรียป้องกันอยู่แนวหลังแองเจิ้ลและโจมตีเมื่อมีช่องว่างให้ทำ เป็นเรื่องดีที่ข้าไม่จำเป็นต้องแสดงพลังทั้งหมดให้เห็น

หลังจากทำการชำระล้างเสร็จสิ้น เร็นเงะจะอาศัยอยู่ด้านในสุดของวิหารต่อไป เพื่อทำการฟื้นฟูเทพแห่งการสร้างที่ยังอ่อนแอ เธอมอบฉายาให้กับข้าว่า ‘เทพีแห่งการชำระล้าง’ ข้าลังเลครู่หนึ่งว่าข้าควรรับชื่อนี้หรือไม่ เพราะข้าไม่ใช่หญิงสาวแห่งดวงดาว แต่เมื่อคิดในมุมมองของเอมิ เธอจะต้องพูดปฏิเสธเบาๆว่า ‘ลำบากใจจัง’ ข้าจึงตอบไปตามนั้น

“ชื่อนี้ ข้าไม่คิดว่ามันเหมาะสมกับข้า…!”

เมื่อพูดออกไป เทพแห่งการสร้างที่เริ่มได้สติก็มองมาที่ข้าและพูดออกมาว่า ‘ไม่มีใครเหมาะสมกับฉายานี้ไปมากกว่าเจ้าอีกแล้ว เรมิเลีย’ เร็นเงะและแองเจิ้ลก็มองมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเห็นด้วย

แต่ข้าไม่ต้องการถูกเรียกด้วยชื่อนี้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องโกหก ข้าไม่อยากถูกเรียกด้วยชื่อที่เป็นของหญิงสาวแห่งดวงดาว ไม่อยากให้ ‘เรมิเลีย’ ผู้เป็นที่รักของเอมิต้องถูกเรียกด้วยฉายาที่เป็นของหญิงสาวแห่งดวงดาว