ตอนที่ 134

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ยินการแจ้งเตือนจากระบบ ในตอนที่จีเทียนเด๋าได้สั่งสอนลูกศิษย์พวกนี้ ดูเหมือนว่าเขาจงใจที่จะซ่อนรายละเอียดส่วนมากเอาไว้ นอกเหนือจากจะไม่ยอมสอนเคล็ดวิชาที่แท้จริงให้ เขายังเป็นผู้ครอบครองอาวุธทั้งหมดของศิษย์พวกนี้เอาไว้อีกด้วย

ศิษย์สาวกทั้งหมดของลู่โจวล้วนตกใจเมื่อเห็นว่าอาจารย์ของพวกเขากลับมาชี้แนะแนวทางการฝึกยุทธขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากที่เสร็จสิ้นการชี้แนะ ลู่โจวก็ได้วางพู่กันที่ใช้ลง หลังจากนั้นเขาก็ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าได้ชี้แนะพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว เพราะแบบนั้นพวกเจ้าก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังได้ซะล่ะ! “

ศิษย์ทั้งสามที่ได้รับการชี้แนะไปต่างก็คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน “พวกเราจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังแน่! “

ในตอนนั้นเองที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

รถม้าของเหล่าราชวงศ์คันหนึ่งได้บินเข้าใกล้คฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆ รถม้าคันนั้นถูกล้อมไปด้วยเหล่าผู้ฝึกยุทธมากมาย พวกเขาก่อตัวกันจนล้อมรอบรถม้าเอาไว้โดยที่ไม่เหลือแม้แต่ช่องว่างที่จะทำให้คนภายนอกมองรอดผ่านไป ที่ด้านบนของรถม้ามีธงสัญลักษณ์ของเจ้าชายกระพือไปมาตามสายลม

เมื่อเห็นแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้ยิ้มออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ทั้งเป็นผู้ที่มีความสามารถและยังเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ข้าไม่คิดว่าเขาจะเข้าไปในคฤหาสน์ของเจ้าชายได้แบบนี้”

“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราควรจะไล่ตามเข้าไปไหม? “

“ไม่ต้อง…รออยู่ที่นี่จะดีกว่า”

“ครับท่านเจ้าสำนัก”

สีวู่หยาในตอนนี้กำลังเดินทางอยู่ในรถม้าบินได้ ตัวเขาได้เดินทางมาพร้อมกับกล่องลึกลับที่อยู่ในมือ

รถม้าลอยได้ของเขามีขนาดที่ใหญ่มาก โดยปกติแล้วการจะสร้างรถม้าลอยได้สักคัน รถม้าคันนั้นจะถูกออกแบบโดยมุ่งเน้นไปที่ความสวยงาม, ความสบายในการนั่ง และความเร็วในการบิน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังไม่ใช่วิธีที่เป็นวิธีการเดินทางที่รวดเร็วที่สุดอยู่ดี

สีวู่หยาได้แต่จับตามองรถม้าที่อยู่เบื้องหน้าของตัวเขาลอยต่อไป

ผู้คนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เคยเห็นรถม้าของเหล่าราชวงศ์บินอยู่บนท้องฟ้ามาก่อนแล้ว เพราะแบบนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนั่นเอง

ในตอนนั้นเองชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าสีดำก็ได้ยืนขึ้นที่เบื้องหน้าของรถม้า เขาจ้องมองไปยังดินแดนที่อยู่เบื้องล่างของตนเอง

สาวกหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่าง “ท่านเจ้าสำนัก พวกเราใช้เวลา 6 ชั่วโมงด้วยกันกว่าที่จะเดินทางจากภูเขาผิงตูมาถึงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านควรที่จะพักผ่อนบ้างนะคะ”

ชายวัยกลางคนชี้ไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะตอบกลับไป “ข้าน่ะไม่ได้ออกจากหุบเขาผิงตูมาสักพักแล้ว ให้ข้าได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพอื่นนอกจากภูเขาและแม่น้ำเถอะ…”

“ข้าเข้าใจแล้วท่านเจ้าสำนัก”

“เมื่อเจ้าได้ยืนอยู่หน้ารถม้าคันนี้เจ้าก็จะรู้สึกเหมือนกับข้า ข้าที่เป็นผู้นำของพวกเจ้า…ถ้าหากเจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดเหมือนกับข้าได้ แม้แต่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเพียงแค่เมืองที่อยู่ใต้เท้าของเจ้าเท่านั้น” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างช้าๆ

“ท่านเจ้าสำนักพูดได้ถูกต้องแล้ว”

“ลืมมันไปซะเถอะ…เจ้านี่น่าเบื่อซะจริง” ชายวัยกลางคนพูดเสร็จก็ได้คิดอะไรบางอย่าง ‘ไม่ว่าข้าจะพูดอะไร สุดท้ายแล้วเจ้าพวกนี้ก็จะก้มหน้าเห็นด้วยทุกอย่าง ไม่มีใครเลยที่จะมีความคิดเป็นของตัวเอง ช่างน่าเบื่อจริงๆ ‘

“ท่านเจ้าสำนัก มีใครบางคนกำลังมาหาพวกเรา” เสียงของใครบางคนได้ดังขึ้นมา

ชายวัยกลางคนส่ายหัวอย่างไม่แยแส “จัดการเจ้านั่นซะ”

“ชายคนนี้มีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ เขาบอกว่าท่านจะต้องอยากพบตัวเขาอย่างแน่นอน”

“น่าสนใจ” ชายวัยกลางคนเดินไปที่อีกด้านของรถม้า หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้มือเปิดหน้าต่างขึ้น ชายวัยกลางคนเห็นชายคนหนึ่งถือกล่องลึกลับมาด้วย ชายคนนั้นกำลังถูกผู้คุ้มกันล้อมรอบตัวเอาไว้

ผู้คุ้มกันของชายวัยกลางคนทั้งห้ากำลังล้อมรอบชายผู้มาเยือนอย่างไม่ละสายตา

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ” สีวู่หยาได้พูดขึ้น

“ให้เขาเข้ามา”

“ข้าเข้าใจแล้ว! ” ผู้คุ้มกันทั้งห้าได้แยกย้ายก่อนที่จะจากไป

สีวู่หยาได้บินมาถึงรถม้าที่กำลังอยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีศิษย์พี่ใหญ่” สีวู่หยาโบกมือทักทายให้อย่างสบายๆ ก่อนที่จะวางกล่องลึกลับลงบนรถม้า

ชายวัยกลางคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า ชื่อของเขาก็คือยู่เฉิงไห่นั่นเอง ในตอนนี้เขากำลังเป็นเจ้าสำนักทางใต้

ยู่เฉิงไห่ที่เห็นสีวู่หยารีบพูดขึ้นมาทันที “เจ้าที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลาไหนเลยถึงมีเวลามาเยี่ยมเยียนข้าที่อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ล่ะ? “

“ศิษย์พี่ยังเป็นคนขี้เล่นเช่นเดิม ข้าบอกท่านไม่ได้จริงๆ สำนักแห่งความมืดของข้าต้องทำอะไรหลายๆ อย่างน่ะ ในทางกลับกันศิษย์พี่ใหญ่ไหนเลยท่านถึงต้องเดินทางไกลออกจากหุบเขาผิงตูเพื่อมาเยี่ยมเยียนเจ้าชายฉีถึงคฤหาสน์เป็นการส่วนตัวแบบนี้ด้วยล่ะ? ” สีวู่หยาได้พูดกลับไป

ในตอนนั้นเองยู่เฉิงไห่ก็ได้ให้ลูกน้องของเขาจัดแจงที่นั่งให้กับสีวู่หยา

“ศิษย์พี่รองของเจ้าได้สังหารคนของข้าไปคนหนึ่ง…ถ้าหากข้าไม่ได้มาที่นี่เป็นการส่วนตัว ข้าเกรงว่าข้าคงจะต้องเสียคนของข้าเพิ่มขึ้นอีกแน่” เมื่อยู่เฉิงไห่พูดถึงยู่ฉางตง น้ำเสียงของเขาก็ดูเฉียบคมขึ้นมาทันที

“ศิษย์พี่โปรดใจเย็นลงก่อน ศิษย์พี่ใหญ่…ที่ศิษย์พี่รองสังหารเฉินเหวินเจี๋ยไปเป็นเพราะว่าเจ้านั่นเอาตัวเข้ามาขวางศิษย์พี่รองเอาไว้ เจ้านั่นสมคบคิดกับสำนักหยุน, สำนักเทียน, และสำนักลั่วอย่างลับๆ …ศิษย์พี่รองที่เห็นแบบนั้นก็เลยช่วยกำจัดเจ้านั่นไปให้พ้นทางก็เท่านั้น ข้าว่าถือเป็นเรื่องที่ดีมากกว่า” สีวู่หยาได้พูดขึ้น

ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์ “ข้ารู้จักเฉินเหวินเจี๋ยดี…เจ้านั่นน่ะเป็นแค่เบี้ยก็เท่านั้น อย่างน้อยๆ การใช้เจ้านั่นก็ทำให้ข้าจัดการกับยอดฝีมือจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ลงได้…แม้ว่าศิษย์พี่รองของเจ้าจะเป็นคนที่มีไมตรีจิตก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นเขาก็โง่เกินไป จิตใจของเขาเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน ศิษย์พี่รองของเจ้าไม่เคยเข้าใจความคิดของข้าเลย”

“ท่านพูดถูกทุกอย่างศิษย์พี่ใหญ่…” สีวู่หยาได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องเจ็ด…ข้าขอถามอะไรเจ้าสักหน่อย”

“ถามมาได้เลยศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้เอง” สีวู่หยาตอบกลับไป

“เจ้ามักจะเป็นผู้ที่มองเห็นภาพรวมของสิ่งต่างๆ ได้เสมอ เจ้าคิดว่าศิษย์พี่รองของเจ้าทำถูกไหม? ” ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา

“ข้าคิดว่าศิษย์พี่รองผิดไปแล้ว…” สีวู่หยาตอบกลับมาตรงๆ

“เจ้ามักจะมีมุมมองที่ไม่เหมือนใครศิษย์น้องเจ็ด” ใบหน้าของยู่เฉิงไห่ในตอนนี้กำลังแสดงความยินดีออกมา หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อไป “ถ้าหากข้าตัดสินใจกวาดล้างเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไป เจ้าจะทำอะไร? “

“ข้าจะสนับสนุนศิษย์พี่อย่างเต็มที่”

ยู่เฉิงไห่ที่ได้ยินคำตอบออกมาก็ได้หัวเราะ “เจ้าก็รู้จักข้าดีศิษย์น้องวู่หยา”

“ศิษย์พี่รองได้ฝากข้อความอะไรบางอย่างถึงท่าน เขาบอกว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องของศิษย์พี่ใหญ่ เพราะแบบนั้นคงจะดีกว่าถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของเขาด้วยเช่นกัน” สีวู่หยาได้ส่งมอบข้อความที่ได้รับฝากมาอย่างครบถ้วน

“เจ้านั่นก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…” ยู่เฉิงไห่ส่ายหัว “ลืมมันไปซะเถอะ…ในตอนนี้เจ้าอย่าพูดถึงเจ้านั่นให้เสียบรรยากาศเลย พวกเรามาดื่มกันดีกว่า! “

ลูกน้องของยู่เฉิงไห่ทั้งสองคนรีบนำอาหารและเหล้ามาวางเอาไว้บนโต๊ะ

สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขาคนนี้รักการดื่มเป็นชีวิตจิตใจ แน่นอนว่าตัวเขาจะไม่คิดปฏิเสธศิษย์พี่คนนี้แน่

หลังจากที่ดื่มเหล้าไป 3 จอก ยู่เฉิงไห่ก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “ศิษย์น้องเจ็ด อะไรพาเจ้ามาถึงที่นี่กัน? “

สีวู่หยาวางจอกเหล้าของเขาลงก่อนที่จะชี้ไปยังกล่องที่อยู่ข้างตัว “กล่องของท่านอาจารย์”

เมื่อยู่เฉิงไห่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วบนใบหน้าของเขาก็ขมวดเข้าหากันในทันที “หลังจากที่ข้าแยกตัวออกมาฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษ ข้าก็ได้ยินมาว่าท่านอาจารย์ถูกสิบสุดยอดฝีมือเข้าโจมตี…ท่านอาจารย์ในตอนนี้คงจะใช้ชีวิตอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าไปวันๆ เท่านั้น แล้วกล่องใบนี้มันจะไปมีอะไรกัน? “

“กล่องใบนี้ลึกลับมาก แม้แต่อาวุธระดับสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรมันได้ มันต้องใช้อาวุธทั้งหกในการเปิดกล่อง ในตอนนี้เหลือเพียงอาวุธเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น อาวุธชิ้นแรกก็คือดาบนิลโลหิตของศิษย์พี่และอาวุธของศิษย์น้องหกอย่างห่วงแห่งรัก ในตอนนี้ท่านอาจารย์ถือครองห่วงแห่งรักไปเป็นที่เรียบร้อย”

ยู่เฉิ่งไห่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตอบกลับไป “ท่านอาจารย์น่ะมีสมบัติล้ำค่ามากมาย ทำไมท่านอาจารย์ต้องสนใจกล่องใบนี้เป็นพิเศษด้วยล่ะ? เจ้าคิดว่ามีอะไรอยู่ข้างในกัน? “

สีวู่หยาส่ายหัว “ข้าไม่อาจรู้ได้เลย แต่ถึงแบบนั้นมันต้องมีค่ามากพอที่จะเปิดมันแน่ บางทีมันอาจจะสีสมบัติที่ถูกผนึกเอาไว้ซ่อนอยู่ ถ้าหากศิษย์พี่อยากที่จะกวาดล้างเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ข้าคิดว่าการที่มีสมบัติล้ำค่าเตรียมเอาไว้ให้ได้มากที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร”

“เจ้าเองก็พูดมีเหตุผล” ยู่เฉิงไห่ได้ยกมือขวาขึ้นมา ในตอนนั้นเองก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น ดาบนิลโลหิตได้บินเข้ามาอยู่ในมือของเขา

“วางดาบของศิษย์พี่ลงบนช่องว่างตรงนี้ เมื่อนั้นกลไกของกล่องก็จะถูกเปิดขึ้น” สีวู่หยาได้ชี้ไปยังช่องว่างของดาบนิลโลหิต

ในตอนนั้นยู่เฉิงไห่ไม่ได้ใส่ดาบนิลโลหิตลงไปในช่วงว่าง เขาจ้องมองดูกล่องลึกลับอย่างละเอียดแทน “ศิษย์น้องรองกับเจ้าต่างก็เลือกแล้ว…ถ้าหากข้าไม่ทำตามเจ้าจะทำยังไง? “

สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นได้ยิ้มให้เบาๆ ตัวเขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้ “กล่องใบนี้ถูกนำลงมาจากภูเขาทองโดยศิษย์พี่สี่หมิงซี่หยิน ศิษย์พี่สี่เองมีอาวุธสรวงสวรรค์อยู่กับตัวเช่นกัน มันเป็นอาวุธที่ดูคล้ายทั้งเคียวและดาบในเวลาเดียวกัน ศิษย์พี่สี่ได้ให้เวลาข้าทั้งหมด 7 วันด้วยกัน ข้าคิดว่าถ้าหากศิษย์พี่สี่ไม่ได้กล่องใบนี้คืน ท่านอาจารย์คงจะต้องโกรธแน่”

“ยิ่งคนเราแก่ตัวลง…คนเราก็ยิ่งจะทำตัวเหมือนเด็กๆ ” ยู่เฉิงไห่ได้พูดก่อนที่จะสะบัดนิ้วเบาๆ

พรึ๊บ!

ดาบนิลโลหิตหมุนไปรอบๆ แต่ถึงแบบนั้นมันไม่ได้เข้าไปในช่องว่างบนตัวกล่องลึกลับ ดาบนิลโลหิตได้พุ่งตรงไปหาผู้ฝึกยุทธที่รวมตัวกันอยู่ใต้รถม้า

สีวู่หยาถึงกับผงะ เขามองลงไปเบื้องล่างอย่างตื่นตกใจ “สมาคมมังกรฟ้า? “