ตอนที่ 135

My Disciples Are All Villains

เมื่อดาบนิลโลหิตได้พุ่งออกมาจากรถม้า มันก็ได้หมุนตามเข็มนาฬิกาบนอากาศ ในตอนนั้นเองดาบพลังงานก็ถูกสร้างขึ้นมา รูปร่างของมันดูคล้ายกับดาบนิลโลหิตไม่มีผิด ดาบนิลโลหิตของจริงยังคงปล่อยพลังจากตัวเองออกมาเรื่อยๆ พลังลมปราณที่ถูกปล่อยออกมาควบแน่นกันจนกลายเป็นดาบนิลโลหิตพลังงานขนาดเล็กไป

“อนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืด! ” สีวู่หยาได้อุทานออกมาพร้อมกับพยักหน้า

อนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดเป็นกระบวนท่าอันมีชื่อเสียงของยู่เฉิงไห่ นับตั้งแต่ที่เขาได้ดาบนิลโลหิตมา เขาก็ได้ผสานความสามารถมันให้เข้ากับเคล็ดวิชาสุดยอดสรวงสวรรค์แห่งความมืด จนท้ายที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืด ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนกล้าดูถูกกระบวนท่าที่ทรงพลังนี้

ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธจากสมาคมมังกรฟ้าเลย เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นใบมีดทั้งหลายในตอนนั้นมันก็สายเกินไปซะแล้ว

หลังจากที่การโจมตีผ่านพ้นไป มีเพียงร่องรอยของเลือดและกลิ่นคาวที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

ดาบนิลโลหิตนับว่าเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่โดดเด่นในบรรดาอาวุธในระดับเดียวกัน มันสามารถโจมตีทะลุผ่านพลังป้องกันหลายชั้นของเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับกลางได้อย่างง่ายดาย พลังร่างอวตารของผู้ฝึกยุทธเองยังเคยถูกกระบวนท่าอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดทำลายมาแล้วกว่าหลายคนด้วยกัน

ในช่วงเวลาเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นดาบนิลโลหิตก็กลับไปอยู่ในมือของยู่เฉิงไห่ ดาบเล่มนี้ดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิม มันยังคงดูเหมือนกับดาบธรรมดาๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป

“สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่” ยู่เฉิงไห่ได้เรียกลูกน้องอย่างเฉยเมย “เก็บกวาดซะ”

“รับทราบท่านเจ้าสำนัก” สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่รีบกระโดดลงจากรถม้าไปทีละคนหลังจากที่ได้รับคำสั่ง

หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่คนลงจากรถม้ามาได้ ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีก็ได้เรียงรายตั้งแถวกัน ที่ร่างอวตารของคนพวกนั้นมีดอกบัวทั้งหมดอย่างน้อยๆ ก็ 6 กลีบ

สีวู่หยารู้ดีว่าสำนักทางใต้เก่งกาจมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าสำนักของผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่จะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ พลังรบได้เกินกว่าที่สีวู่หยาเคยคาดการณ์เอาไว้แล้ว นอกเหนือจากสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ ยู่เฉิงไห่ยังมีสาวกกว่าอีกหลายพันคนอยู่ในสำนักของตัวเอง ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่เป็นสาวกของเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเก่งกาจที่กระจายตัวไปทั่วทั้งดินแดน แค่จินตนาการถึงวิธีการที่ศิษย์พี่คนนี้ใช้ดึงดูดเหล่ายอดฝีมือพวกนั้นมา สีวู่หยาที่เป็นผู้ชอบใช้สมองเองก็ยังคิดไม่ออก สีวู่หยาได้แต่หันไปมองศิษย์ผู้พี่อย่างยู่เฉิงไห่เท่านั้น

ยู่เฉิงไห่ไม่แม้แต่จะชายตามองเหล่าสมาคมมังกรฟ้า ตัวเขาในตอนนี้กำลังเหม่อมองไปที่ที่ไกลแสนไกล “ศิษย์น้องวู่หยา เจ้าไม่ต้องแปลกใจอะไรหรอก สมาคมมังกรฟ้าน่ะเป็นมิตรกับสำนักของข้าก็แต่ในนามเท่านั้น ข้าก็แค่ฝืนเลี้ยงเจ้าพวกนั้นมาจนถึงตอนนี้ก็เท่านั้นเอง” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย

สีวู่หยาไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เขาประเมินความแข็งแกร่งของสำนักทางใต้ก่อนที่จะเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าหากสำนักทางใต้ไม่ได้แข็งแกร่งจริงๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะกลายเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดภายในยุทธภพได้ สีวู่หยาได้ยิ้มให้ก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ศิษย์พี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ “

“เจ้ายอข้าเกินไปแล้วศิษย์น้อง…มาเร็ว มาดื่มอะไรกันก่อนเถอะ” ยู่เฉิงไห่ได้ยกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองจอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าก็ได้ลอยขึ้น ด้วยพลังวรยุทธที่ยู่เฉิงไห่มีทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของรอบตัวได้ด้วยพลังลมปราณของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ

สีวู่หยาได้ตอบกลับไปอย่างจริงจัง “ได้! “

หลังจากที่ดื่มเหล้าที่มีในจอกไป สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ได้บินกลับมาที่รถม้าทีละคน

“ท่านเจ้าสำนักพวกเราเก็บกวาดทุกอย่างแล้ว”

“เยี่ยมมาก” ยู่เฉิงไห่พูดเสร็จก็ได้วางจอกเหล้าลง

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ถอยหลังกลับไปด้วยความเคารพ

สีวู่หยาเองก็วางจอกเหล้าลงเช่นกัน “ศิษย์พี่ในเมื่อข้าได้ดื่มกับท่านแล้ว เรื่องกล่องใบนั้น…”

ยู่เฉิงไห่ได้ยกมือขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะสีวู่หยาเอาไว้ “ถ้าหากคนที่มาไม่ใช่เจ้า ข้าก็คงจะไม่เห็นด้วยแน่ที่จะเปิดกล่องใบนี้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนมาที่นี่ มันก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้า ข้าจะเปิดกล่องใบนั้นให้ แต่ว่า…” ยู่เฉิงไห่ได้หยุดพูดก่อนที่จะพูดต่อไป “แต่ไม่ใช่วันนี้”

“ทำไมกัน? ” สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นได้ถามออกไปอย่างงุนงง

“อีก 7 วันให้หลัง ข้าจะเป็นคนส่งกล่องใบนี้กลับไปที่หุบเขาพยัคฆ์ของน้องแปดเอง…ข้าจะถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมเจ้านั่นเป็นการส่วนตัว” ยู่เฉิงไห่ตอบกลับมา

สีวู่หยาที่ได้ฟังคำตอบได้พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นแผนที่ดีเลยศิษย์พี่”

“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าเชื่อข้าอย่างงั้นหรอ? “

“ข้ารู้สึกวางใจได้เสมอถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่ลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะแบบนั้นข้าก็เลยไม่คิดสงสัยในตัวท่าน” สีวู่หยาได้พูดกลับมาอย่างเยือกเย็น

ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังคำตอบก็ได้หัวเราะออกมาครั้งใหญ่ “คนที่ชื่นชมข้ามากที่สุดในใต้หล้านี้เห็นทีจะเป็นเจ้านะ ศิษย์น้องเจ็ด”

“ท่านพูดเกินไปแล้วศิษย์พี่ใหญ่” สีวู่หยาได้ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ทันทีที่เขาพูดจบเขาก้ได้ยืนขึ้นในทันที

รถม้าคันนี้ยังคงบินต่อไป มันกำลังมุ่งหน้าไปทางหุบเขาผิงตู

สีวู่หยามองไปที่ทางข้างหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีบางอย่างที่จะต้องกลับไปทำ ข้าอยู่รบกวนท่านมานานแล้ว”

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าไม่ถือสาเจ้าหรอก” ยู่เฉิงไห่พยักหน้าตอบกลับมา “ถ้าหากเจ้าพบกับศิษย์พี่รองของเจ้า บอกเจ้านั่นว่าถ้าหากมันว่างเมื่อไหร่ ข้าอยากที่จะประมือกับมันสักหน่อย”

“เอ่อ…”

“ถ้าหากจะให้ดาบของเจ้าคม เจ้าก็ต้องหัดควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ข้าคิดว่านั่นมันก็เหมือนกับดาบของศิษย์น้องรองนั่นแหละ” ยู่เฉิงไห่พูดออกมาอย่างช้าๆ

“ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว ในการต่อสู้มันก็เหมือนกับการเล่นหมากรุกนั่นแหละ การที่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือได้นอกจากจะต้องมีพลังวรยุทธที่สูงส่งแล้วพวกเราเองจะต้องมีสำนึกรู้ รู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา” หลังจากที่พูดจบสีวู่หยาก็ได้ผสานมือทั้งสองขึ้น “ข้าจะเป็นคนส่งข้อความนี้ให้กับศิษย์พี่รองเอง”

“ไปได้แล้ว” ยู่เฉิงไห่ได้โบกมือขึ้นก่อนที่จะดื่มเหล้าต่อไป

สีวู่หยาที่เสร็จธุระรีบกระโดดลงจากรถม้าไป หลังจากนั้นเขาก็ได้หายไปในชั่วพริบตา

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ก้าวหน้าออกมาอีกครั้ง หนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์ได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์จริงๆ เขาจงใจที่จะประจบท่านชัดๆ ข้าว่าท่านเจ้าสำนักควรระวังเขาไว้”

ไม่ทันที่เสียงของผู้พิทักษ์คนนั้นจะพูดจบ ยู่เฉิงไห่ก็ได้ใช้พลังสรวงสวรรค์แห่งความมืดซัดเข้าใส่ไปที่หน้าอกของผู้พิทักษ์คนนั้น

ผู้พิทักษ์คนนั้นไม่แม้แต่จะกล้าตอบโต้ เขาได้แต่รับการโจมตีนั้นแต่โดยดี ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้กระอักเลือดออกมา ผู้พิทักษ์คนนั้นคุกเข่าก่อนที่จะพูดขึ้น “โปรดยกโทษให้ข้าด้วยท่านเจ้าสำนัก ข้าพูดจาไม่ระวังเอง”

“ฝ่ามือนั่นเป็นเพียงแค่การลงโทษเล็กๆ น้อยๆ …ศิษย์น้องเจ็ดไม่ใช่คนที่คนอย่างเจ้าจะไปตัดสินอะไรเขาได้”

ผู้พิทักษ์คนนั้นได้แต่ก้มศีรษะลงโดยที่ไม่กล้าพูดอะไรกลับมา

“พวกเจ้าทั้งสี่เป็นลูกน้องที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด ถ้าหากไม่ใช่เพราะความพยายามในฐานะผู้ที่อยู่เบื้องหลังของศิษย์น้องเจ็ด พวกเจ้าคิดหรอว่าสำนักทางใต้ของพวกเราจะมีชื่อเสียงแบบนี้ได้? “

ดวงตาของผู้พิทักษ์คนนั้นเบิกกว้าง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่กล้าพอที่จะตอบอะไรกลับไป

ยู่เฉิงไห่ส่ายหัวของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “นั่นไม่ใช่แค่การลงโทษธรรมดาเท่านั้น นั่นยังเป็นคำเตือนอีกด้วย เจ้าน่ะอย่าได้ดูถูกใครอีก”

“ครับท่านเจ้าสำนัก! “

หลังจากที่ลงมาจากรถม้า ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้เคลื่อนที่กลับมายังอีกด้านของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว และเพราะเขาบินในระดับความสูงที่ต่ำทำให้ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นสีวู่หยาได้ ในตอนนี้ตัวเขาได้กลับมาถึงรถม้าของตัวเองแล้ว

ผู้ฝึกยุทธกว่าสิบคนกำลังยืนรออยู่ที่รถม้าอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาทั้งหมดโค้งคำนับให้กับสีวู่หยาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านเจ้าสำนัก สำนักทางใต้ได้จัดการทุกคนระหว่างทางเมื่อไม่นานมานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไปยังหุบเขาผิงตูล้วนแต่ตกเป็นของสำนักทางใต้หมดแล้ว…”

สีวู่หยายกมือขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป บางครั้งน่ะการต่อสู้มันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนอย่างเดียวหรอก…เพียงแค่คำพูดของคนเพียงคนเดียวก็อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ข้ามั่นใจว่าศิษย์พี่ใหญ่จะต้องเข้าใจเรื่องนี้ดี ศิษย์พี่น่ะไม่ได้ลงมือทำไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยหรอกนะ”

“แล้วเรื่องกล่องลึกลับใบนั้นล่ะท่านเจ้าสำนัก…”

“ข้าก็ได้แต่หวังให้ศิษย์พี่ใหญ่เก็บมันเอาไว้ ในตอนนี้พวกเจ้าได้ข่าวคราวของสำนักแห่งความบริสุทธิ์รึยัง? “

“พวกเราได้มาแล้ว”

“เยี่ยมมาก ตอนนี้ก็ปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปก่อน ไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปยุ่งหรอก”

“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก”

เรื่องในบางเรื่องอาจจะต้องการชนวนเพียงแค่น้อยนิด ยิ่งเป็นไปตามธรรมชาติมากเท่าไหร่ เรื่องนั้นก็จะยิ่งดูสมจริงมากยิ่งขึ้น

“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราได้ข่าวใหม่มา คนของเหวยซู่หยานในตอนนี้เดินทางถึงเมืองถังซีแล้ว”

“ตรวจสอบต่อไป”

“รับทราบ”

สีวู่หยามองไปที่รถม้าก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีก “คราวนี้ข้าไม่อยากที่จะใช้รถม้า…ข้าอยากที่จะเดินสำรวจทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มากกว่า”