“ไอ้สเตตัสพวกนั้นมันอะไรกันวะเนี่ย!?” พอได้เห็นสเตตัสของทัตถูกฉายขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์ สินก็ถึงกับลุกขึ้นทุบโต๊ะด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมความเชี่ยวชาญคลาสกับเลเวลสกิลมันถึงเยอะงั้นอ่ะ!”

“…ไม่เลวเลยนะเนี่ย”

เช่นเดียวกันกิฟและเบลที่ทำสีหน้าประหลาดใจออกมาตาม ๆ กัน ด้วยความที่ผลลัพธ์ของสิ่งที่เห็นมันค่อนข้างแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อนนะ… ดู ๆ ไปแล้ว เลเวลสกิลพวกนั้นมันพอ ๆ กับคนที่อัพเลเวลให้กับอาชีพเดียวเลยไม่ใช่เหรอ” คิวว่าพลางขยับแว่นไปหลายทีทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่จอมอนิเตอร์ เหมือนเขาจะคิดว่าตัวเองอ่านตัวเลขผิด

“แบบนั้นมัน… เป็นไปได้ด้วยเหรอคะเนี่ย” ลินดาเอียงคอสงสัย เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวขี้กังวลคนนี้ขมวดคิ้วทำสีหน้าจริงจัง

“หวา… ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะจ๊ะเนี่ย” ขนาดคุณหมอนิวเองยังถึงขั้นยกมือขึ้นป้องปาก ซึ่งสำหรับทัตกับพิม นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าทางประหลาดใจของเธอ

“ก็บอกไปแล้ว ฮุฮุ”

เช่นเดียวกันกับมิ้น แต่ดูเหมือนทางนี้จะแอบหัวเราะขำคิกคักพ่วงด้วยเพราะรู้สเตตัสของทัตก่อนคนอื่นไปแล้ว

ยังไงก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่ามิ้นจะไม่ตกใจ เห็นหว่างคิ้วที่กำลังขมวดเข้าด้วยกันของเธอก็รู้

“เห็นไหมล่า! บอกแล้วว่าทัตน่ะสุดยอด!”

พิมว่าแล้วก็กอดอกยิ้มแฉ่งออกมาอย่างผู้ชนะ เธออวดเบ่งยังกับตัวเองเป็นคนที่ถือครองสเตตัสนั้นยังไงอย่างงั้น

เป็นประเภทเห่อแฟนจริง ๆ สินะเนี่ย

มิ้นเห็นแล้วก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้แต่แน่นอนว่าทำได้แค่แอบอมยิ้ม เพราะหากพูดอย่างนั้นออกมา เดี๋ยวบรรยากาศเคร่งเครียดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันจะเสียเอาหมด

แถมนอกจากนี้… แม้แต่ฝ้ายที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเซฟเวอร์เองก็ยังทำสีหน้าฉงนออกมาหลังได้เห็นสเตตัสของทัต

ก็จริงที่มันแฝงไปด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่างและหนึ่งในนั้นคือความเป็นห่วง แต่ที่ชัดเจนเลยก็คือฝ้ายเองก็สับสนเพราะไม่เข้าใจสาเหตุของเรื่องนี้เหมือนกับคนอื่น ๆ ในห้อง

“ดูเหมือนพวกคุณเองก็มีข้อมูลที่ยังไม่รู้อยู่เหมือนกันสินะครับ” ทัตสังเกตได้ดังนั้นก็เลยถามออกไปตรง ๆ

แล้วดูเหมือนเขาจะคิดถูก เพราะสีหน้าของทุกคนในห้องนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะฝ้ายที่จ้องจี่มาทางเขาราวสงสัยใคร่รู้

“ใช่ค่ะ…” ฝ้ายยอมรับอย่างซื่อตรงในขณะที่เหงื่อตกไม่เบา

ยังไงก็ตาม สายตาของเธอดูเกรงใจทัตเอาเรื่อง เพราะถ้าว่ากันตามตรง ไม่ว่าใครก็คงอยากรู้ทั้งนั้นว่าทำไมสเตตัสของทัตมันถึงได้มากกว่าคนอื่นอย่างผิดปกติขนาดนี้

แต่ที่ลำบากใจเกินกว่าจะพูดออกมา ก็เพราะฝ้ายเกรงว่าทัตอาจจะไม่อยากเปิดเผยความลับนี้กับคนอื่นแม้แต่กับฝ้ายเอง และหากมันเป็นอย่างนั้นจริงเธอก็พร้อมจะทำตามความต้องการของทัต นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ฝ้ายนิ่งไปสักพักไม่ได้พูดอะไรแถมเอาแต่จ้องทัตไม่วางตาด้วยสีหน้ากังวลมากกว่าสับสนแบบที่คนอื่น ๆ ในห้องนี้เป็น

ยังไม่นับเรื่องที่ว่าฝ้ายไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าทัตแข็งแกร่งเพื่อไม่ให้คนอื่นใช้ประโยชน์จากเขาด้วยความเป็นห่วงอีก

และดูเหมือนว่าทัตจะอ่านสีหน้าของน้องสาวตัวเองออก เขาถึงได้ยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างช่วยไม่ได้

แม้จะไม่ถึงกับอ่านความคิดได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อย ๆ ทัตก็พอรู้อยู่ว่าฝ้ายคงเกรงใจเขา เพราะเธอมักจะปฏิบัติตัวแบบนั้นกับเขาเสมอ

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ… ฉันกะจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่แสดงมันให้เห็นแต่แรกหรอก” ทัตเลยพูดให้ทุกคนในห้องเข้าใจ แต่ดูเหมือนจุดประสงค์หลักคือพูดให้ฝ้ายเข้าใจมากกว่า

“นั่น… สินะคะ ก็จริงอย่างที่ว่านั่นแหล่ะค่ะ”

ฝ้ายเอ่ยจบแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเบา ๆ อยู่คนเดียว ดูเหมือนพอความสงบเยือกเย็นกลับมา ฝ้ายก็กลับมาคิดอะไรได้ตามหลักเหตุผลอีกครั้ง

เป็นห่วงเกินไปเหรอเนี่ย… ฝ้ายแอบคิดแบบนั้นก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเองใหม่

“จะว่าไป… ทำไมสเตตัสของพี่มันถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะคะ?” แล้วฝ้ายก็หันมามองทัตด้วยสีหน้าจริงจังตามปกติ พร้อมกับเอ่ยถามแบบนั้นเสมือนเป็นตัวแทนความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนในห้อง

นั่นเลยทำให้ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของทุกคนพุ่งมายังทัตกันหมดในตอนที่เขาแถลงไข

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันอัพเลเวลของอาชีพ ‘Fighter’ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ จนถึงเลเวล 11 พร้อมกันน่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง… เป็นเพราะอาชีพผสานจริง ๆ สินะจ๊ะเนี่ย” คุณหมอนิวว่าอย่างนั้น แต่ความแปลกใจของเธอยังไม่ได้หายไป

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ… แต่อาชีพผสานน่ะ เกิดขึ้นได้แค่ระหว่างอาชีพสายต่อสู้หลักทั้งห้ากับ ‘Mage’ หรือ ‘Supporter’ เท่านั้นไม่ใช่เหรอคะ?” ลินดาเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย ซึ่งก็จริงของเธอ

“นั่นสิ… อย่างมากอาชีพผสานที่เกิดขึ้นได้ในกรณีของเขาก็มีแค่สองอาชีพนี่นา เห็นฉายามันก็ชัด ๆ อยู่” กิฟพูดพร้อมกับชี้ไปที่โปรเจคเตอร์ หมายความถึงอาชีพ ‘Mage Fighter’ และ ‘Guard Fighter’ ของทัต

“และด้วยความที่อาชีพผสานมีสองอาชีพ โบนัสที่ได้มายังไงก็น้อยกว่าคนที่เน้นอัพเลเวลแค่อาชีพเดียวหรืออาชีพผสานหนึ่งอาชีพอยู่ดี เพราะงั้นถึงจะมีอาชีพผสานสองอย่างแต่ยังไงสเตตัสก็ไม่ควรจะมากขนาดนี้อยู่ดี”

พร้อม ๆ กับการขยายความของเบลทำให้ความสับสนของทุกคนเป็นรูปเป็นร่างแต่ก็ยังไม่ได้รับการแถลงไข

ทุกคนในห้องนี้รวมถึงเด็กใหม่อย่างทัตและพิมต่างรู้ดีเพราะได้ผ่านการคำนวณและวางแผนจัดสรรแต้มเลเวลอย่างจริงจังมาก่อน

ทุกคนจึงรู้ว่าหากทำการอัพเลเวลผสานพร้อมกันสามอาชีพจนเกิดอาชีพผสานขึ้นสองอาชีพ สเตตัสโดยรวมของอาชีพหลักจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอยู่ประมาณหนึ่งในสี่ ส่วนสเตตัสของอาชีพรองอย่าง ‘Mage’ และ ‘Supporter’ จะน้อยกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง

แต่สำหรับกรณีของทัตนั้น…

“แต่ในกรณีของพี่… มันเหมือนกับว่าพี่ทัตอยู่บนจุดสูงสุดของทั้งสามอาชีพที่เลือกอัพเลเวลเลยสินะคะ”

ฝ้ายตั้งข้อสังเกตหลังจากพินิจพิเคราะห์สเตตัสของทัตแล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น

เพราะหากเทียบกับคนที่เลเวลรวมเท่ากันที่เลเวล 60 ในกรณีปกติที่แบ่งแต้มเท่า ๆ กัน

กรณีแรก… ถ้าคนอื่นเป็น ‘Fighter’ ล้วน ปกติแล้วเลเวลสกิลจะอยู่ที่ 6

หรือกรณีที่สอง… หากเป็นอาชีพผสานระหว่าง ‘Fighter’ กับ ‘Mage’ เลเวลสกิลของทั้งสองอาชีพจะอยู่ที่ 5

และถ้าเป็นกรณีที่สาม… อาชีพผสานระหว่าง ‘Fighter’ กับ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ เลเวลสกิลของ ‘Fighter’ จะอยู่ที่ 5 แต่เลเวลสกิลของ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ จะอยู่ที่เลเวล 3

ทว่าในกรณีของทัตซึ่งควรจะให้ผลลัพธ์แบบกรณีที่สาม… แต่เลเวลสกิลของ ‘Fighter’ กับ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ ทั้งหมดกลับมีเลเวลสูงถึงเลเวล 7 เลยทีเดียว ซึ่งนั่นผิดปกติเอามาก ๆ จนแม้แต่ตัวทัตเองยังรู้สึกประหลาดใจแม้กระทั่งตอนนี้อยู่เลย

“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นไงมาไงหรอกนะ… แต่คิดว่าเหตุผลหลักที่มันกลายเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะฉายานี้นี่แหล่ะมั้ง”

ทัตพูดในขณะที่ใช้มือสัมผัสเลือกฉายาตัวปัญหาที่ว่าเพื่อแสดงคำอธิบายให้ทุกคนในห้องเห็น ซึ่งอันที่จริงฝ้ายเองก็สังเกตเห็นแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไปเท่านั้น

ส่วนเนื้อความที่ถูกเขียนอธิบายเกี่ยวกับฉายาที่ว่านั่นก็คือ

The One (ฉายา)

เงื่อนไขปลดล็อค: เลเวลอาชีพของ ‘Fighter’ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ ถึงเลเวล 11 ทั้งสามอาชีพเป็นคนแรกในช่วงเวลาดังกล่าว

ผล:

– เลเวลอาชีพของอาชีพ ‘Mage Fighter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลร่วมของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Mage’

– เลเวลอาชีพของอาชีพ ‘Guard Fighter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลร่วมของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Supporter’

– ความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพ ‘Mage Fighter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter’

– ความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพ ‘Guard Fighter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Guard Fighter’

– ความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพ ‘Mage’ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter’

– ความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพ ‘Supporter’ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Guard Fighter’

– เลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Mage’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Mage Fighter’

– เลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Supporter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Guard Fighter’

– เลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Fighter’ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้น 1 เลเวล

“คะ โคตรยาว!” เจอแบบนั้นเข้าไปไม่ว่าใครก็ต้องตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่สินที่เอาแต่แซะทัตอยู่ตลอดเวลาเองก็ด้วย

“ ‘The One’ เหรอ… ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะคะเนี่ย” ลินดาว่าแบบนั้นโดยที่ไม่มีใครคัดค้าน แถมยังพยักหน้ารับตามเป็นทอด ๆ อีกต่างหาก

“แต่ว่าพอเห็นแบบนี้… พอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้วล่ะว่าทำไมนายถึงประหลาดกว่าชาวบ้านเขาขนาดนั้นน่ะ” มิ้นกล่าวติดตลก

“นั่นแอบด่าใช่ไหมน่ะ”

“ไม่อยู่แล้ว เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”

ทัตเอ่ยติดตลกโต้มิ้นกลับไป แต่แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น… ล่ะมั้ง

ยังไงก็ตาม ในจังหวะถัดมาดูเหมือนว่าจะมีคนที่ยังไม่เต็มอิ่มกับชัยชนะของตัวเองอยู่ และคน ๆ นั้นก็คือพิมที่ลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปที่จอโปรเจคเตอร์ราวโอ้อวดอีกครั้ง

“หึหึ… ก็อย่างที่ทุกคนเห็นนั่นแหล่ะ เพราะมีฉายานี้ จุดเสียเปรียบของอาชีพผสานที่ทัตควรจะเสียเลยหายไปหมด แถมยังมีโบนัสทั้งจากความเชี่ยวชาญคลาสและเลเวลสกิลเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกตั้ง 1 เลเวล เพราะแบบนั้นทัตเลยแข็งแกร่งที่สุดยังไงล่ะ!”

“น่า ๆ เลิกเห่อแฟนตัวเองซะทีเถอะ เราเข้าใจแล้วน่า” แต่ดูเหมือนการโอ้อวดสรรพคุณของทัตแทนเจ้าตัวมันจะให้ผลตรงข้าม โดยเฉพาะกิฟที่ดูเป็นคนตรง ๆ ก็เลยพูดแบบนั้นออกมาอย่างที่ใจคิดไม่เหมือนกับมิ้นหรือทุกคนที่เงียบเอาไว้

“หะ หา!!!?”

แต่ก็เพราะกิฟพูดแบบนั้นออกมานั่นแหล่ะเลยทำให้พิมนิ่งเป็นหินไปแวบนึงเหมือนกับตกใจ

แล้วพริบตาถัดมาแก้มของเธอก็ถูกย้อมเป็นสีเนื้อแตงโมไปจนถึงหูเลยทีเดียว

“ขะ เข้าใจผิดแล้ว! พวกเรายังไม่ได้เป็นแบบนั้นกันซะหน่อยนึง!”

ก่อนที่พิมจะเริ่มแก้ตัวอย่างงุ่มง่ามในจังหวะเดียวกับที่สะบัดมือไปมาเหมือนกับกำลังหงุดหงิด แต่ดูยังไงมันก็คิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากทำเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า

ปฏิกิริยาของเธอทำให้ทัตเอียงอายจนต้องหลบหน้าตามไปด้วย จึงแน่นอนว่าทัตเองก็หน้าแดงเหมือนกัน

แหม… แค่ ‘ยัง’ สินะ

ทุกคนแอบคิดแบบนั้นขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่อย่างน้อย ๆ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของทุกคนในห้องที่เผยออกมาก็สื่อความหมายออกมาแบบนั้นอยู่ดี

คงมีแค่มิ้นกระมังที่รู้สึกว่าสถานการณ์มันคุ้น ๆ ชอบกลเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอเลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ

แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีแค่ฝ้ายที่แอบทำแก้มป่องอยู่คนเดียวหลังได้เห็นปฏิกิริยาระหว่างทัตกับพิมแบบนั้น

“อะแฮ่ม! อย่างนี้นี่เอง พอจะเข้าใจสาเหตุของเรื่องทั้งหมดแล้วค่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องนั้นด้วยรึเปล่าฝ้ายเลยกระแอมเสียงดังเพื่อรีบดึงบรรยากาศให้กลับมาจริงจังและกลับมาเข้าเรื่อง

คงมีแค่คุณหมอนิวที่เข้าใจเหตุผลนั้น เธอเลยเป็นคนเดียวที่ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ฝ้าย

แต่ยังไงก็ตาม เรื่องที่ฝ้ายพูดก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจจริง ทุกคนก็เลยกลับมาจริงจังอีกครั้ง แน่นอนว่าทัตกับพิมเองก็เหมือนกัน

“แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมคุณพี่ชายที่มีเลเวลรวม 60 ถึงได้มีความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพหลักทั้งหมดอยู่ที่ 80 ไปด้วยล่ะ? มีความเชี่ยวชาญคลาสสูงกว่าเลเวลรวมแบบนี้มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?” คิวกอดอกในขณะที่ยังคงขมวดคิ้วจ้องมองโปรเจคเตอร์ ไม่สิ… สเตตัสของทัตไม่วางตา

“นั่นสิ… ปกติแล้วมันควรจะน้อยกว่านี้ แล้วถ้าเกิดบอกว่าการมีฉายาที่ว่าจะทำให้จุดเสียเปรียบหายไป ค่าความเชี่ยวชาญคลาสทั้งหมดก็ควรจะอยู่ที่ 60 ตามเลเวลรวมด้วยสิ” เบลสงสัยไปในทางเดียวกับคิว

“ลืมแล้วเหรอ? ความเชี่ยวชาญของคลาสผสานจะเป็นโบนัสเพิ่มให้กับความเชี่ยวชาญของคลาสหลักด้วยนะ แล้วเพราะทัตมีความเชี่ยวชาญของคลาสผสานเท่ากับ 60 โบนัสที่เพิ่มเข้ามาเลยทำให้ความเชี่ยวชาญของคลาสหลักสูงกว่าปกติไง”

“อย่างนี้นี่เอง”

ได้ยินคำแถลงไขจากมิ้นทำให้คิวพยักหน้ารับเข้าใจเช่นเดียวกับเบลที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอรู้แบบนั้นมันก็ทำให้ทุกคนในห้องที่พอจะคำนวณได้เองเริ่มยิ้มแห้ง ๆ กันออกมา ไม่แม้แต่ตัวทัตเองเหมือนกันที่คิดว่าช่างเป็นข้อได้เปรียบที่โกงเสียจริง ๆ

อย่างที่มิ้นบอกนั่นแหล่ะ… โดยปกติแล้วความเชี่ยวชาญของคลาสผสานที่เกิดขึ้นควรจะน้อยกว่าเลเวลรวม

ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นคนที่มีเลเวลรวมอยู่ที่ 40 จากการที่มี ‘Fighter’ และ ‘Mage’ เลเวล 20 ทั้งคู่ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter’ จะอยู่ที่ 30 แต้ม หรือก็คือสามในสี่ของเลเวลรวม

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาชีพผสานยังคงเสียเปรียบคนที่เน้นอัพอาชีพเลเวลเดียวอยู่

เพราะเทียบกันแล้ว… คนที่เน้นอัพเลเวลของอาชีพเดียวจะมีความเชี่ยวชาญของคลาสตัวเองอยู่ที่ 40 ซึ่งเท่ากับเลเวลรวมยังไงล่ะ

แล้วถ้าเกิดคนสองคนนี้สู้กัน… ในแง่ของระบบแล้ว ฝ่ายที่เสียเปรียบย่อมเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญคลาสต่ำกว่า เพราะจะแพ้เทคนิคของอีกฝ่าย

หรือก็คือถ้าสู้กันตรง ๆ และมีเลเวลเดียวกัน… เช่นนักดาบกับนักดาบเวทสู้กันด้วยดาบ ฝ่ายที่ชนะย่อมเป็นนักดาบที่มีความเชี่ยวชาญคลาสของตัวเองสูงกว่า หรือต่อให้ใช้เวทมนตร์ร่วมด้วย แต่ความเชี่ยวชาญของการใช้ดาบเวทมนตร์ก็ยังน้อยกว่าอยู่ดี

แต่ว่าในกรณีของฉัน… เพราะมีโบนัสเลยทำให้ความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพผสานฉันเท่ากันกับคนที่อัพอาชีพเดียวเลยล่ะ ถ้าเทียบกับกรณีที่ยกตัวอย่างไปก็คือ ฉันจะมี ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter’ อยู่ที่ 40 แต้มเท่ากับเลเวลรวมเป๊ะ ๆ แทนที่จะเป็น 30 แต้มตามปกติ

แล้วส่วนต่างที่มากขึ้นนั่น เลยทำให้ความเชี่ยวชาญของคลาสหลักเพิ่มขึ้นจนมากกว่าปกติตามไปด้วย

พูดง่าย ๆ ก็คือ… ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ต่อให้สู้กันด้วยหมัดมวยธรรมดา หรือใช้เวทมนตร์พ่วงด้วย ฉันก็ไม่เสียเปรียบเรื่องความเชี่ยวชาญกับคนที่มีเลเวลเดียวกันนั่นเอง

ไม่สิ… ถ้าเลเวลเท่ากัน หากสู้ด้วยอาชีพหลักอย่างหมัดมวยหรือเวทมนตร์เพียว ๆ ฉันจะได้เปรียบด้วยซ้ำไป

นอกเหนือจากนั้น… เพราะมีโบนัสจากเรื่องของเลเวลอาชีพเข้ามาด้วย โดยพื้นฐานแล้วเลเวลสกิลทุกสกิลของฉันจะเท่ากันกับคนที่อัพเลเวลเพียงอาชีพเดียวเลย

แต่เพราะมีโบนัสที่ว่า ‘เลเวลสกิลของอาชีพ ‘Fighter’ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้น 1 เลเวล’ เพิ่มเข้ามาด้วย นั่นเลยทำให้สกิลของฉันเหนือกว่าคนอื่น 1 เลเวล

ด้วยเหตุผลนี้ หากว่าฉันก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเลเวลตัวเอง ฉันก็จะเป็นคนเดียวที่มีเลเวลสกิลสูงกว่าขีดจำกัดของคนอื่น

นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่พิมมักจะบอกว่าเราเป็นคนที่แกร่งที่สุด… ซึ่งถ้าว่ากันแค่ตัวเลขของสเตตัสมันก็คงจะเป็นอย่างงั้นล่ะนะ

ทัตคิดทบทวนในขณะที่ทุกคนกำลังทำความเข้าใจกับสเตตัสของทัตอย่างละเอียด

ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ทุกคนจะเริ่มเข้าใจแล้วถึงข้อได้เปรียบที่ทัตมี และเริ่มจะเข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมทัตถึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนในตอนที่ถูกดูแคลนว่าอัพเลเวลพร้อมกันถึง 3 อาชีพ

อาจเพราะแบบนั้นแหล่ะมั้ง ทั้งสิ้นและกิฟที่เอาแต่แขวะทัตอยู่ตลอดเลยหงอยแบบเขิน ๆ กันไปเลย

“แต่ว่าสุดยอดไปเลยนะจ๊ะเนี่ย เพราะมีความเชี่ยวชาญคลาสสูงกว่าเลเวลรวม แถมยังมีโบนัสที่ทำให้เลเวลสกิลสูงมากกว่าขีดจำกัดไป 1 เลเวลอีก… แบบนี้ก็แสดงว่าทัตคงจะเป็นคนที่แกร่งที่สุดจริง ๆ อย่างที่พิมว่าเลยนะเนี่ย”

บวกกับคำยืนยันด้วยรอยยิ้มอีกรอบของคุณหมอนิว โดยที่สมาชิกในห้องไม่มีใครคัดค้านและส่วนใหญ่อย่างเบล คิว ลินดาและมิ้นต่างก็พยักหน้ารับ ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าความแข็งแกร่งของทัตได้รับการยอมรับแล้ว

แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น สีหน้าของฝ้ายกลับไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมาเลย ไม่ว่าจะดีใจ ตกตะลึงหรือจริงจัง

ถ้าจะให้อธิบาย… มันเหมือนกับว่าเธอกำลังเศร้าและเจ็บปวดมากกว่า

“เป็นอะไรรึเปล่าฝ้าย?” และเพราะมันน่าเป็นห่วงถึงขนาดนั้นทัตเลยต้องเอ่ยถาม แต่ในจังหวะที่ถูกถาม หลังของฝ้ายก็กลับมาเหยียดตรงพร้อมด้วยสีหน้าที่กลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิมเสียอย่างนั้น

“ไม่หรอกค่ะ หนูก็คิดว่าดีแล้วเหมือนกันที่พี่แข็งแกร่ง” ฝ้ายว่าแบบนั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แน่นอนว่ามันดูเหมือนเธอพยายามกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน

หากไม่เห็นท่าทางเศร้าสร้อยก่อนหน้านี้ ทัตเองก็คงมองไม่ออกหรอกว่าเธอกำลังกลบเกลื่อนบางอย่างอยู่

ครั้นจะเซ้าซี้ก็เกรงว่าเธอจะรำคาญเอา ทัตเลยหันไปถามในสิ่งที่อยากรู้ต่อ

“จะว่าไป ดูจากที่ทุกคนตกใจ… พวกคุณไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยสินะครับ เรื่องที่อัพอาชีพผสาน 3 อาชีพแล้วจะกลายเป็นแบบผมน่ะ” ทัตว่าพร้อมกับมองกวาดไปรอบ ๆ ห้อง หวังว่าจะได้รับคำตอบที่ตนสงสัย

เพราะถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะเกิดจากความบังเอิญที่ทัตอัพเลเวลพร้อมกันสามอาชีพจริง แต่ทัตก็ไม่ได้หลงตัวเองถึงขนาดที่จะคิดว่าตัวเองเป็นคนแรกที่ทำแบบนี้

ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เจ้าฉายานี้กลับบอกว่าทัตเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำได้ซึ่งนั่นแปลกประหลาดเอามาก ๆ ในความคิดของทัตหรืออาจหมายรวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย

ตั้งแต่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นมา มันจะไม่มีใครสักคนเชียวหรือที่คิดอัพเลเวลให้กับสามอาชีพแบบเดียวกับที่ทัตทำ… นั่นคือคำถามที่ทัตอยากจะได้คำตอบ เพราะไม่ว่าจะเป็นในทางทฤษฎีหรือปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทัตจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่เลือกอัพเลเวลแบบนี้

“ฉันเข้าใจคำถามของนายอยู่หรอกนะ… แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ไม่คิดจะอัพหลายอาชีพนอกจากคลาสสายต่อสู้หลักหรอกนะ ไอ้ที่อัพอาชีพผสานนี่ก็เพิ่งจะมาอัพเอาในตอนที่รู้จากเซฟเวอร์นี่แหล่ะ” มิ้นว่าแบบนั้นในขณะที่เอาหน้าราบไปกับโต๊ะ

“ใช่ ๆ ผมอยากรู้มากกว่าว่าทำไมคุณพี่ชายถึงเลือกที่จะอัพเลเวลแบบนี้ ดูท่าคงไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามีอาชีพผสานใช่ไหม?” คิวดันคานแว่นพร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัย

“นั่นสิ… จากที่ดูนายเองก็น่าจะเป็นพวกที่คิดอะไรถี่ถ้วนดี อะไรดลใจให้คิดอัพสามอาชีพพร้อมกันทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเสียเปรียบล่ะ?”

เช่นเดียวกันกับเบลที่เลิกลับมีดมาได้สักพักแล้ว ดูท่าสุดท้ายแทนที่ทัตจะได้คำตอบกลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ถูกซักถาม

แต่อันที่จริงเรื่องนั้นมันก็ไม่ได้เป็นความลับหรือพูดยากเท่าไหร่หรอก ทัตถึงได้ไม่ลำบากใจและพูดมันออกมาทันที

“เพราะมันช่วยไม่ได้ยังไงล่ะ… ในสถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลยยังไงสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือข้อมูล จึงต้องเลือกอัพเลเวลของอาชีพ ‘Supporter’ เพื่อเอาสกิล ‘วิเคราะห์’ แบบเลี่ยงไม่ได้… และในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่จำเป็นต้องมีอีกอย่างก็คือ ‘เวทมนตร์’ เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์แค่ใช้โจมตีอย่างเดียว แต่ยังเอาไปใช้ประยุกต์ในการเอาตัวรอดได้หลายกรณี… แต่ก็อย่างที่รู้ว่าสองอาชีพที่ว่ามันไม่ใช่อาชีพสายต่อสู้หลักจึงเสียเปรียบกับศัตรูที่เป็นกลุ่ม แถมในระยะประชิดยังเสียเปรียบอีกก็เลยต้องอัพอาชีพ ‘Fighter’ ที่สามารถกลบจุดอ่อนของอาชีพเวทมนตร์ได้… นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่ฉันจำเป็นต้องอัพทั้งสามอาชีพพร้อมกัน”

ทัตอธิบายทั้งหมดนั่นโดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษนอกซะจากว่ามันคือสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อเอาตัวรอด

ซึ่งพอมานึกดูอีกที… ถึงแม้การอัพหลายอาชีพจะไม่ทำให้เกิด ‘อาชีพผสาน’ แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ทัตก็คงจะเลือกทำแบบเดิมอยู่ดี เพราะไม่อย่างนั้นเครื่องมือขั้นต่ำที่จำเป็นต้องใช้ในการเอาตัวรอดมันจะไม่ครบถ้วน

แต่หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ทัตตัดสินใจ มันก็สื่อถึงอะไรบางอย่างอยู่

“หืม… อย่างนี้นี่เอง นายอัพเลเวลแบบนี้เพราะไม่คิดจะพึ่งพาใครสินะ” และคนที่รู้อย่างนั้นก็คือสินที่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดูแคลนทัตอีกแล้ว

ไม่สิ… อันที่จริงไม่ใช่แค่สิน แต่ทุกคนในห้องนี้โดยเฉพาะพิมกับฝ้ายนั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าสาเหตุที่ทัตแบกรับภาระที่ต้องอัพเลเวลทั้งสามอาชีพพร้อมกัน มันเป็นเพราะเขาไม่คิดจะแยกหรือยกหน้าที่พวกนี้ให้คนอื่นนอกจากตัวเองทำ

ทัตไม่คิดจะเว้าวอนขอร้องให้คนอื่นมาทำหน้าที่นี้ รวมถึงไม่คิดขอความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ทัตเลือกอัพเลเวลทั้งสามด้วยตัวเองทั้งหมด กล่าวคือตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างแท้จริง

สมเป็นพี่น้องกันจริง ๆ เลยนะเนี่ย

รู้แบบนั้นเหล่าสมาชิกของเซฟเวอร์สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลยคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่คนที่รู้ความหมายของมันก็คงมีแต่พวกเขาที่เฝ้ามองฝ้ายในฐานะผู้ติดตามมาตลอดเท่านั้น

ส่วนการเฝ้าติดตามทัตว่าจะพึ่งพาได้ไหมก็คงต้องเป็นเรื่องหลังจากนี้… แต่ในฐานะของสหายศึกสำหรับทุกคนในห้องนี้ พวกเขาคงอดคาดหวังไม่ได้หลังได้เห็นสเตตัสที่สุดโต่งกว่าใครนี้ของทัตไปแล้ว

“ถ้างั้นการเข้าร่วมเซฟเวอร์ของฉันกับพิมก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

“ค่ะ… แน่นอนว่าผ่านฉลุย”

ทัตได้รับคำตอบจากฝ้ายทันที หนนี้ทัตเองก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าฝ้ายไม่ค่อยเต็มใจที่จะพูดอย่างนั้นแต่ก็เหมือนเคยที่ไม่กล้าเอ่ยถาม

ทัตพอจะเดาได้อยู่ว่าฝ้ายคงไม่อยากให้เขาโดดเด่นในองค์กร เพราะนั่นหมายถึงการถูกใช้งานในฐานะแนวหน้าซึ่งนำพามาแต่เรื่องอันตราย

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทัตคิดจะคุยกับฝ้ายทีหลังให้เข้าใจตรงกัน แต่ในตอนนี้คงต้องละมันไปก่อน

“เอ่อ… คือว่า…” ในขณะที่ทุกอย่างกำลังราบรื่นจากการที่ทัตกับพิมกลายเป็นสมาชิกที่ได้รับการยอมรับแล้ว แต่ดูเหมือนว่าลินดาจะยังมีข้อข้องใจอยู่

“คิดว่าถ้าเป็นในกรณีอื่น จะมีคนเป็นแบบเดียวกับคุณทัตได้ไหมคะ?” ลินดาเอ่ยถามอย่างนั้น ดูท่าเธอคงจะสงสัยมาตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยจึงมาถามเอาป่านนี้

อย่างไรก็ดี คำถามของเธอนั้นน่าสนใจไม่เบา นั่นเลยทำให้ทุกคนหันมาสนใจเรื่องอาชีพผสานของทัตอีกครั้ง

“กรณีอื่น? เช่นว่าอัพเลเวลให้อาชีพ ‘Knight’ ‘Mage’ และ ‘Supporter’ ให้ถึงเลเวล 11 งี้เหรอ?” มิ้นยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายให้ฟังแบบนั้น โดยละกรณีของทัตไว้

เพราะอย่างที่รู้ว่าฉายา ‘The One’ ที่ทัตมี ระบบมันมอบให้กับคนแรกและคนเดียวที่ทำตามเงื่อนไขได้สำเร็จเท่านั้น นั่นหมายความว่าต่อให้มีคนอื่นอัพเลเวลอาชีพผสานแบบเดียวกับทัตแต่ก็ไม่อาจกลายเป็น ‘The One’ อย่างทัตได้อยู่ดี เรียกว่าสถานะนี้ถูกทัตผูกขาดไปแล้วสมชื่อฉายา ‘หนึ่งเดียว’ ก็คงไม่ผิดนัก

“ฉันไม่คิดว่าจะได้ผลหรอกนะจ๊ะ” แต่คนที่ตอบคำถามนั้นเป็นคนแรก กลับเป็นคุณหมอนิวที่นิ่งเงียบมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว

“ฉันเองก็คิดว่าคงไม่มีเรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นหรอกค่ะ เพราะงั้นอย่าไปเสี่ยงเอาแต้มไปอัพเลยจะดีกว่านะคะ” เช่นเดียวกันกับฝ้ายที่เสนอออกมาแบบนั้น ว่าต่อให้เอาแต้มที่เหลือไปอัพมันก็ไม่คุ้มเสี่ยงหรอก

แต่ที่ทำให้ฝ้ายมั่นใจนั้นยังมีอีกอย่าง เธอจึงอธิบายต่อในทันทีเพื่อไม่ให้ทุกคนทดลองทำเรื่องดังกล่าว

“ลองคิดดูสิคะ… ถึงข้อได้เปรียบอย่างเดียวที่อาชีพผสานมีเหนือกว่าคนที่อัพอาชีพเดี่ยว ๆ” แต่ฝ้ายก็ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ตามเคย เพราะเธออยากให้ทุกคนคิดเองมากกว่า

อย่างไรก็ดี ทัตกับพิมไม่ได้ทำอะไรนอกจากรอคำตอบ เพราะพวกเขารู้อยู่แล้ว

“อ๊ะ! ‘ความสามารถทางกาย’ สินะครับหัวหน้า!”

“ถูกต้องแล้วค่ะ”

คนที่ตอบคำถามถูกได้ก่อนใครเพราะอยากมีส่วนร่วมกับฝ้ายมากกว่าคนอื่นก็คือเด็กหนุ่มสวมแว่นนามคิวเจ้าเดิม แถมพอฝ้ายเฉลยว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องเขาก็หน้าแดงยิ้มพริ้มออกมาในบัดดล ดูท่าเขาจะคิดว่านั่นเป็นรางวัล

ส่วนคนที่รับหน้าที่อธิบายต่อคือคุณหมอนิวตามเคย

“ตามนั้นแหล่ะจ่ะ… ความสามารถทางกายของอาชีพผสานจะมีสูงกว่าอาชีพเดี่ยว ๆ เพราะมีโบนัสจากอาชีพผสานบวกกับอาชีพหลัก แต่ประเด็นที่จะบอกก็คือในบรรดาอาชีพสายต่อสู้หลักทั้งห้าน่ะ มีอยู่แค่อาชีพเดียวเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่ความสามารถทางกายมีแต้มสูง”

“ซึ่งอาชีพนั้นก็คือ ‘Fighter’ ที่ทัตเลือกอัพยังไงล่ะ”

และคนที่ขยายความในตอนสุดท้ายก็คือมิ้น ถึงจุดนี้ทุกคนก็คิดต่อได้เองว่าทำไมฝ้ายถึงไม่อยากให้ลองอัพอาชีพผสานอย่างเดียวกับที่ทัตทำ

นั่นเพราะสาเหตุที่ทำให้ทัตได้รับฉายาจนกลายเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด มันมีสาเหตุมาจากการเลือก ‘Fighter’ เป็นคลาสหลัก

ดังนั้น ต่อให้อัพด้วยอาชีพ ‘Knight’ ‘Lancer’ ‘Archer’ หรือ ‘Assassin’ ยังไงก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเท่ากับ ‘Fighter’ อยู่ดี

นี่คงเป็นอีกครั้งที่เป็นข้อพิสูจน์… ว่าตัวเลือกของทัตเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

“นี่ ๆ ฉันขอถามบ้างได้ไหม?”

“มีอะไรเหรอจ๊ะพิม?”

ในจังหวะที่ประเด็นนึงถูกปิดไป พิมก็อาศัยจังหวะนั้นถามในสิ่งที่เธออยากรู้ต่อ และคุณหมอนิวก็ตอบรับคำขอนั้นตามเคย โดยมีทัตตั้งใจฟังอยู่เงียบ ๆ เพราะคิดว่าพิมคงถามสิ่งที่เป็นประโยชน์แน่

และมันก็เป็นจริงตามนั้น

“ตอนนี้พวกเราพอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วค่ะ… แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้เรื่องสภาพสังคมหลังเกิดเรื่องมากกว่า”

“สภาพสังคมเหรอจ๊ะ?” คุณหมอนิวเอียงคอเล็กน้อยรวมถึงคนอื่นเองก็ด้วย เพราะคำพูดที่พิมใช้มันดูกว้างไปหน่อย กว้างพอจะทำให้พวกที่หัวไม่ดีอย่างสินกับกิฟขมวดคิ้วเลยทีเดียว

“อ๊ะ ขอโทษด้วยค่ะ หนูหมายถึงโครงสร้างของเซฟเวอร์ว่าพวกคุณทำงานกันแบบไหน แล้วก็สถานการณ์ขององค์กรเป็นยังไง มีปัญหาอะไรที่เราควรรู้ไหม รวมถึงเรื่องของพวกปลอกแขนแดงที่ทำร้ายทัตด้วยน่ะค่ะ”

“อ๋อ! ถ้าเรื่องนั้นยินดีเลยจ่ะ! เพราะฉันเองก็คิดจะอธิบายอยู่เหมือนกัน” คุณหมอนิวตอบด้วยรอยยิ้มในทันที เธอยังคงใจดีเหมือนเคย

“นั่นสินะคะ เพราะมีเรื่องของสเตตัสพี่ทัตเข้ามานี่แหล่ะเลยไม่ได้พูดเรื่องสำคัญเลย”

ฝ้ายว่าแล้วก็อมยิ้มออกมาบาง ๆ ใส่ทัต

อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยานั่นดูท่าจะเป็นของหายากสำหรับคนในห้องนี้ ทุกคนเลยเลิกคิ้วขึ้นกันใหญ่หลังได้เห็นรอยยิ้มของเด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นตุ๊กตายิ้มยากอย่างฝ้าย

ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เห็นว่าฝ้ายมีความรู้สึกเป็นไปในแง่บวกกับทัตเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น

…แต่จะเป็นในแง่ไหนนั้น คงจะมีแต่เจ้าตัวอย่างฝ้ายนั่นแหล่ะที่รู้

“ถ้างั้น… เริ่มจากเรื่องขององค์กรเซฟเวอร์ก่อนดีไหมคะ?” แต่รอยยิ้มนั่นก็อยู่ไม่นานเท่าไหร่ฝ้ายก็กลับมาใช้น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังอีกครั้ง

เพราะดูท่าสถานการณ์จะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นั่นแหล่ะ เรื่องนั้นทัตเห็นสีหน้าของฝ้ายก็รู้ได้เลย

แถมดูเหมือนฝ้ายจะรับหน้าที่เป็นคนอธิบายด้วยตัวเอง คุณหมอนิวเลยนั่งเลื่อนสไลด์นำเสนอในโปรเจคเตอร์แทนที่จะเป็นคนสาธยายเหมือนกับก่อนหน้านี้

“คิดว่าคงทราบกันคร่าว ๆ อยู่แล้ว… แต่เซฟเวอร์เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่รวมตัวกันเพื่อร่วมมือกันเอาตัวรอดจากเหตุการณ์มอนสเตอร์ออกมากินคนทุกคืน เพราะงั้นไม่มีรายได้หรอกนะคะ” ฝ้ายว่าติดตลกกับทัตและพิม อีกครั้งที่เธอแสดงรอยยิ้มที่หายากออกมาให้เห็น

“ก็เป็นเรื่องหลังฉากนี่นะ”

ทัตว่าแล้วก็ยักไหล่ เขาไม่คิดว่าจะมีค่าตอบแทนเป็นเงินอยู่แล้ว และในอีกความหมายหนึ่ง ถ้าเทียบกับข้อมูลรวมถึงการรวมกลุ่มเพื่อเอาตัวรอดอย่างมีประสิทธิภาพแล้วมันมีค่ากว่าเงินตราเยอะ

ในจังหวะที่ทัตคิดแบบนั้น ฝ้ายก็เริ่มพูดต่อทันที

“แต่แลกกับการได้เข้ากลุ่ม ก็คือความช่วยเหลือเรื่องพื้นฐานในการเอาตัวรอดอย่างข้อมูล รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกคนอื่นในการออกล่าเป็นกลุ่มด้วยค่ะ ส่วนเรื่องระดับของสมาชิก… เริ่มจากท้ายสุดที่เป็นระดับสมาชิกทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทค่ะ หนึ่งคือหน่วยสนับสนุนสำหรับคนที่ไม่อยากต่อสู้แต่ยังอยากช่วยเหลืออยู่จะทำงานอยู่ที่ศูนย์อพยพในเขตของตัวเอง กับหน่วยหลักที่รับหน้าที่ออกไปล่ามอนสเตอร์และตามหาผู้รอดชีวิตแล้วพากลับมาที่ศูนย์อพยพที่ใกล้ที่สุดค่ะ”

ฝ้ายอธิบายถึงตรงนั้นจบหน้าจอบนโปรเจคเตอร์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้งโดยฝีมือของคุณหมอนิว ตอนนี้มีชื่อตำแหน่งต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาเหนือสมาชิกหน่วยหลักและหน่วยสนับสนุน คาดว่าคงเป็นระดับผู้บังคับบัญชา

“ส่วนสายบังคับบัญชาจะแบ่งตามเขตการรับผิดชอบโดยคำนึงจากที่อยู่อาศัยของสมาชิกแต่ละคนค่ะ โดยเขตต่ำสุดที่เราดูแลได้คือระดับตำบล… เราจะจัดตำแหน่งให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำบลนั้นเป็นรองหัวหน้าหน่วยย่อยค่ะ เหนือไปจากนั้นก็คือคนที่ดูแลสมาชิกในอำเภอจะเป็นหัวหน้าหน่วยย่อย ส่วนคนที่รับหน้าที่ดูแลทั้งจังหวัดจะเป็นระดับรองหัวหน้าหน่วยและสุดท้ายก็คือคนที่คอยดูแลระดับภูมิภาคก็คือหัวหน้าหน่วยค่ะ”

ฝ้ายพูดไล่ลำดับจากล่างสุดขึ้นไปหาคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในองค์กรเป็นไปดังสิ่งที่ถูกแสดงบนโปรเจคเตอร์

“ในทางปฏิบัติ คนที่มีหน้าที่ระดับผู้บังคับบัญชาทั้ง 4 ระดับจะทำหน้าที่โดยขึ้นตรงกับหัวหน้าของตัวเอง… ส่วนวิธีการเลือกก็จะใช้หลักเกณฑ์คร่าว ๆ คือเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตที่ตัวเองรับผิดชอบและต้องมีความเป็นผู้นำไว้ใจได้ ประมาณนั้นแหล่ะค่ะ” ฝ้ายว่าถึงตรงนั้นจบก็ดูท่าจะจบเนื้อหาพอดี มิ้นเลยอาศัยจังหวะนั้นยกมือขึ้นสูงพูดต่อจากฝ้าย

“ช่าย ๆ ถ้านับจากเรื่องนั้น ฉันก็จะเป็นรองหัวหน้าหน่วยล่ะนะ หรือก็คือฉันใหญ่สุดในจังหวัดรองจากหัวหน้ายังไงล่ะ” มิ้นว่าแบบนั้นพร้อมกับกอดอก แว่นของเธอสะท้อนแสงประกายวิ้งอย่างภูมิใจเพราะเรื่องนั้น

“ถึงมิ้นจะพูดอย่างนั้น แต่ความจริงคือทุกคนในห้องนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นระดับรองหัวหน้าหน่วยทั้งนั้นแหล่ะจ่ะ”

“เอ๋… อย่าตัดบทกันแบบนี้สิคะคุณหมอ หนูขอยืดแปปนึงก็ไม่ได้”

พอถูกคุณหมอนิวพูดขัดด้วยรอยยิ้ม มิ้นก็ทำเป็นแก้มป่องเอาหน้าราบไปกับโต๊ะในทันที ท่าทางนั่นเหมือนกับตอนที่ถูกเพื่อน ๆ เปรียบเทียบกับพิมตอนที่เล่นบาสไม่มีผิดเลย

แต่อย่างไรก็ดี… คำพูดของมิ้นก็ทำให้ทัตมองกวาดสมาชิกในห้องอีกรอบเหมือนกัน เพราะคำพูดของคุณหมอนิวมันทำให้ทัตตระหนักว่าคนที่อยู่ในห้องนี้เป็นพวกระดับสูงจริง ซึ่งอย่างน้อย ๆ ก็คงเป็นพวกที่เลเวลสูงกว่าเขาแน่ ๆ

“แล้วก็นะจ๊ะ… หน่วยที่ใหญ่ที่สุดก็คือหน่วยระดับภูมิภาค ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 หน่วยใหญ่ยกตัวอย่างเช่นหน่วยที่ 2 ที่เป็นสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วคนที่เป็นหัวหน้าหน่วยของพวกเราก็ฝ้ายนั่นเองจ่ะ” คุณหมอนิวพูดจบแล้วก็ผายมือไปทางฝ้ายด้วยความภูมิใจนำเสนอแบบสุด ๆ ไม่สิ… แม้สมาชิกคนอื่นในห้องนี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาเองก็ยิ้มออกมาเหมือนกันในตอนที่พูดถึงตำแหน่งของฝ้าย

“ว้าว… น้องฝ้ายสุดยอดไปเลยนะเนี่ย!” พอได้ยินคุณหมอนิวพูดเหมือนโอ้อวด พิมก็ส่งสายตาชื่นชมไปทางฝ้ายทันที

“นั่นสิ สมเป็นเธอเลยนะฝ้าย” เช่นเดียวกันกับทัตที่ยิ้มให้ฝ้าย แม้จะพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นคือรอยยิ้มชื่นชมแบบเดียวกับพิมไม่ผิดแน่

“ยะ อย่าสิคะ… พวกพี่นี่ล่ะก็”

แน่นอนอีกว่าพอถูกพิมและโดยเฉพาะทัตเอ่ยชมฝ้ายก็ไปไม่เป็นเลยทีเดียว เธอถึงกับหลบหน้าทัตพูดตะกุกตะกักด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ นั่นเป็นอีกครั้งที่สมาชิกในห้องประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นฝ้ายเป็นอย่างนั้นมาก่อน

และดูเหมือนฝ้ายเองจะสังเกตเห็นท่าทางประหลาดใจของพวกเขาเหมือนกัน

“อะแฮ่ม! ที่ว่าไปก็คือเรื่องของเซฟเวอร์คร่าว ๆ ค่ะ” และไม่รู้ว่าฝ้ายกลัวสูญเสียความเคารพจากสมาชิกทั้งหลายหรือแค่ประหม่าเกินไป เธอเลยกระแอมเสียงดังก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องในบัดดล

“ส่วนเรื่องถัดไปคือสถานการณ์และปัญหาที่เซฟเวอร์กำลังเผชิญค่ะ”

ฝ้ายเปลี่ยนท่าทีกลับมาจริงจังและเยือกเย็นได้เหมือนเดิมในเวลาอันสั้น เห็นได้ชัดเลยว่าตำแหน่งของเธอไม่ได้มาเพราะโชคช่วย อย่างน้อยก็ในแง่ของการควบคุมอารมณ์ตัวเองและภาวะผู้นำของเธอ

หรือไม่อย่างนั้น ก็คงเป็นเพราะเรื่องที่จะพูดต่อไปเป็นเรื่องที่สำคัญและน่าตึงเครียดเอามาก ๆ

“พี่ทัตกับพี่พิมเองก็เห็นแล้วใช่ไหมคะ… เรื่องกลุ่มของพวกผู้มีพลังที่ใช้พลังตามใจตัวเองหลังจากที่เกิดเรื่อง”

“อืม เจ้าพวกปลอกแขนแดงนั่นสินะ” ทัตพยักหน้ารับในทันที เช่นเดียวกับฝ้ายที่พยักหน้ารับตอบ

“ความจริงคือ พวกนั้นไม่ใช่กลุ่มเดียวในไทยที่สร้างปัญหาให้คนอื่นหรอกนะคะ”

ฝ้ายเริ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งและด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งพอ ๆ กัน แต่นั่นก็ทำให้ทัตกับพิมเข้าใจสถานการณ์

“เอาจริง ๆ คนจำพวกนี้มีอยู่ทุกที่นั่นแหล่ะค่ะ… งานหลักของเซฟเวอร์ที่ตอนแรกคือการช่วยเหลือประชาชนทั่วไปและเป็นที่พักพิงให้กับผู้มีพลัง ช่วงหลัง ๆ เลยกลายเป็นการปราบปรามคนพวกนี้ไปแล้ว”

“…ลำบากน่าดูเลยนะ” ทัตเห็นฝ้ายแสดงสีหน้าตึงเครียดออกมาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงตามเคย ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มแห้ง ๆ ของฝ้ายด้วยก็ยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่

เป็นเวลาเดียวกับที่คนอื่นเองก็เข้าร่วมบทสนทนาแสดงความเห็นด้วย

“ก็ตามนั้นแหล่ะ โคตรน่ารำคาญเลย… เพราะงั้นตอนนี้สมาชิกส่วนใหญ่ของเซฟเวอร์เลยต้องเน้นไปที่การอัพเลเวลของตัวเอง ไม่งั้นคงเอาตัวรอดจากพวกเวรนั่นไม่ได้หรอก โคตรน่ารำคาญ!” คนแรกคือสินที่เลิกแขวะทัตแล้วมาพูดแบบปกติแต่น้ำเสียงก็ยังดูเหมือนคนหงุดหงิดตลอดเวลา เชื่อได้ว่านี่น่าจะเป็นบุคลิกของเขามากกว่า

“ยิ่งปล่อยไว้นานเจ้าพวกนั้นก็ยิ่งแกร่งขึ้น และจำนวนก็อาจจะมากขึ้นด้วย” กิฟว่าแบบนั้นในขณะที่กอดอกขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

“ก่อนที่จะเป็นแบบนั้น พวกเราต้องรีบทำให้พวกนั้นยอมจำนนก่อน” เบลเอ่ยแบบนั้นแล้วก็กลับมาลับมีดอีกครั้ง เธอใช้คำว่า ‘ยอมจำนน’ ที่ดูละมุนละม่อมจึงเดาได้ว่าวิธีการของเซฟเวอร์น่าจะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่พวกปลอกแขนแดงทำ

“แต่พูดตรง ๆ… ในทางปฏิบัติมันยากมากเลยล่ะนะจ๊ะที่จะรวมคนให้เป็นปึกแผ่นได้น่ะ เพราะถึงพวกเราจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ระดับประเทศ แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากถึงขนาดที่จะทำให้ทุกคนเขายำเกรงกันได้เลย” คุณหมอนิวว่าจบแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ เป็นครั้งแรก

และถึงเธอจะไม่บอกรายละเอียด แต่ทัตกับพิมก็เข้าใจความยากลำบากของสถานการณ์ดี

เพราะทุกอย่างถูกทำลายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์มอนสเตอร์บุก ผู้คนเลยมีแนวโน้มที่จะทำตามใจตัวเองมากขึ้น

โดยเฉพาะเจ้าพวกที่มีพลังอย่างคนที่เกิดการตื่นแล้วนี่คงไม่ต้องพูดถึง… เจ้าพวกนี้คงคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่สามารถทำอะไรก็ได้เลยมั้งเมื่อตัวเองได้ครอบครองพลังแบบนี้น่ะ

กฎหมาย ศีลธรรม… เส้นที่ไม่ควรก้าวทั้งหลายที่ถูกกำหนดไว้ในยามปกติล้วนถูกทำลายหมดสิ้นเหมือนอารยธรรมย้อนกลับไปเป็นช่วงที่มนุษย์ใช้สัญชาตญาณแทนปัญญา

และในเวลาที่ทุกอย่างเสื่อมทราม คำถามสำคัญก็มักจะตามมาเสมอ

“ศีลธรรมยังจำเป็นอยู่ไหมในโลกที่ไร้กฎเกณฑ์… การช่วยเหลือผู้อื่นยังจำเป็นอยู่ไหมในโลกที่ต้องเอาตัวเองรอดไว้ก่อน”

เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ได้คิด… ฉันเองก็คิดอยู่ตลอดนั่นแหล่ะ

คิดว่าบางทีแค่เอาตัวรอดแค่ตัวเองกับคนสำคัญไม่กี่คนมันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ?

แต่เพราะมีเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉันปล่อยให้มีคนตายต่อหน้าโดยไม่ช่วยทั้งที่สามารถช่วยได้ เลยทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นประเภทที่จะไม่สบายใจหากทำเรื่องอย่างนั้นลงไป

พอมาคิดดู… มันก็เป็นแค่โซ่ตรวนที่เราสร้างขึ้นมาเองเพราะกลัวที่จะถูกคนอื่นเกลียดหรือถูกสังคมตีตราจนแปลกแยกก็เท่านั้น

แต่เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่อยากคิดอะไรให้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอก

เรื่องมันก็แค่ว่า… “ฉันรู้สึกไม่ดีถ้าปล่อยให้มีคนทำเรื่องเลว ๆ อยู่ตรงหน้า” เท่านั้นแหล่ะ

แล้วถ้ารู้ว่าจะต้องเป็นทุกข์เพราะมัน… ก็แค่ลงมือทำในสิ่งที่จะไม่เสียใจทีหลังซะก็พอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวกับที่พิมเคยบอกฉันไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับเหตุผลที่ต้องปกป้องคนอื่น… แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง

ทัตคิดแล้วก็กอดอกยิ้มบาง ๆ ออกมาอยู่คนเดียวเหมือนตัดสินใจวิถีทางของตัวเองนับจากนี้ได้

เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอนิวกับฝ้ายจ้องสังเกตสังกาทัตพร้อมกัน แต่ด้วยเป้าประสงค์คนละอย่าง

“ในวันพรุ่งนี้พวกเราก็มีกำหนดการที่จะออกไปลาดตระเวนเพื่อตามหาผู้รอดชีวิตกับล่ามอนสเตอร์เหมือนกันค่ะ ส่วนพี่ทัตยังไงก็พักรักษาตัวก่อนดีกว่านะคะ”

อย่างไรก็ดี… พอฝ้ายอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟังแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก บวกกับที่เธออยากจะให้ทัตรีบไปพักด้วยเลยพยายามตัดบทไปทั้งอย่างนั้น

…ถึงจริง ๆ แล้วฝ้ายจะมีสาเหตุอื่นเลยรีบจบการประชุมเพื่อไปทำธุระก็เถอะ

“แต่เดี๋ยวก่อนนะฝ้าย ไม่ใช่ว่าพอตอนเช้ามาถึงเวลาจะย้อนกลับไปตอนกลางคืนเหรอ? ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าพรุ่งนี้เช้ามอนสเตอร์มันยังอยู่กันล่ะ?” แต่ในคำพูดของฝ้ายนั้นมีสิ่งที่ขัดกับสิ่งที่ทัตรู้อยู่ ทัตเลยละเรื่องที่ว่าฝ้ายพยายามกันเขาออกจากการต่อสู้เอาไว้ก่อนแล้วถามเรื่องที่สงสัยแทน

และคำตอบของคำถาม ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ทัตตระหนักว่าเขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย

“จะว่าไปหนูยังไม่ได้บอกเรื่องนี้เลยสินะคะเนี่ย” ฝ้ายว่าแล้วก็หันกลับมามองทัตอีกครั้งก่อนจะอธิบาย

“คืนนี้เป็นกรณีพิเศษน่ะค่ะ… ในคืนที่เป็นพระจันทร์เต็มดวงนั้นจะมีความยาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เวลาจะถูกย้อนกลับมา”

“…จริงเหรอเนี่ย”

ทัตได้ยินแบบนั้นเหงื่อก็ผุดขึ้นบนใบหน้าโดยอัตโนมัติจากความกังวล เพราะมันหมายความว่าสถานการณ์ที่โลกล่มสลายเหลือแต่มอนสเตอร์และผู้คนที่ใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดจะยิ่งเด่นชัดขึ้น

…พูดง่าย ๆ ว่าสถานการณ์มันจะอันตรายมากขึ้นเมื่อทุกอย่างไม่ถูกรีเซ็ทในหนึ่งคืนนั่นเอง

ทัตได้รู้แบบนั้นแล้วก็เหลือบไปมองพิมด้วยความเป็นห่วง ทว่าพิมกลับไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจที่ได้ยินเลยสักนิด ทัตเลยพอจะเดาได้ว่าเธอคงรู้เรื่องนี้จากฝ้ายก่อนแล้ว

“นั่นแหล่ะน้า ต้องบอกว่าพวกนายโชคดีมาก ๆ เลยนะที่เจอพวกเราก่อน… เพราะถ้าถูกพวกปลอกแขนแดงตามล่าหนึ่งสัปดาห์เต็มล่ะก็ นรกบนดินชัด ๆ เลยนะรู้เปล่า?” มิ้นว่าแล้วก็เริ่มกอดอกอีกครั้ง ดูท่าเธอตั้งใจจะรับความดีความชอบในการช่วยเหลือทัตกับพิมเต็มที่เลย ดูจากการที่ชี้นิ้วมาทางทัตด้วยรอยยิ้มก็รู้

“ฉันต้องขอบคุณเธออย่างสุดซึ้งเลยสินะ” ทัตตอบด้วยรอยยิ้ม แต่แน่นอนว่าท่าทางเป็นแบบขอไปที

“อะไรล่ะนั่น นี่ประชดกันป่ะเนี่ย!?” พอเห็นท่าทางของทัตมิ้นก็เริ่มขมวดคิ้วหงุดหงิด เพราะดูยังไงนั่นก็ไม่ได้มาจากใจแน่ ๆ

“ก็ขอบคุณจริง ๆ นะ”

“ไม่จริงอ่ะ! โกหกแหง ๆ เลย!”

ทัตไม่ได้ทำอะไรนอกจากยักไหล่ เป็นท่าทีที่ไม่ได้แสดงความเคารพแต่ก็ไม่ได้บอกปัด เพราะที่จริงทัตก็แค่ไม่อยากจะเถียงแพ้เท่านั้นเขาเลยแสดงท่าทีอย่างนั้นออกไป

ทางมิ้นพอเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วทำแก้มป่องเข้าไปใหญ่เป็นที่ขบขันของเหล่าสมาชิกในห้อง เห็นได้ชัดเลยว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พวกที่เข้าหายากเหมือนกับบุคลิกหรือสีหน้าที่แสดงออกมาในหนแรก

แต่ก็เพราะพวกเขาแสดงรอยยิ้มออกมาง่าย ๆ อย่างนั้น บวกกับการแสดงความเห็นในเชิงตรงกันข้ามกับคนจำพวกปลอกแขนแดงที่ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่สนผลกระทบกับผู้อื่น เลยทำให้ทัตกับพิมเชื่อใจพวกเขาขึ้นมาได้เกินครึ่ง ว่าอย่างน้อย ๆ คนพวกนี้คงจะไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสัญชาตญาณดิบเหมือนกับพวกที่เคยเจอแน่

ส่วนที่เหลืออีกครั้งหนึ่งนั้น… ก็คงต้องไปพิสูจน์กันในการลาดตระเวนวันพรุ่งนี้

❖❖❖❖❖

หลังจากการประชุมสิ้นสุดพร้อม ๆ กับการที่ทัตและพิมได้เป็นสมาชิกของเซฟเวอร์อย่างเป็นทางการก็มีการเก็บข้อมูลสเตตัสของทัตและพิมเอาไว้ ซึ่งมันก็คล้ายกับการสำรวจสำมะโนครัวเพื่อใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพขององค์กรโดยรวมนั่นแหล่ะ

นอกเหนือไปจากนั้นคือการแจงรายละเอียดเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียของเซฟเวอร์ที่จะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน

แอปดังกล่าวเอาไว้ใช้ติดต่อสื่อสารหรือขอกำลังเสริมจากสมาชิกที่อยู่ใกล้ที่สุด เรียกว่าสะดวกสบายเอาเรื่อง แถมวิธีการเข้าใช้งานระบบนั้นจะต้องได้รับการยืนยันตัวตนและได้รับการรับรองจากระดับหัวหน้าหน่วยย่อยโดยตรงก่อนถึงจะสร้างบัญชีผู้ใช้ให้ กล่าวคือโอกาสที่จะมีศัตรูเข้ามาใช้งานในระบบนั้นต่ำมาก

นอกเหนือจากระบบสื่อสารคือระบบระบุตำแหน่งผ่าน GPS และแผนที่ข้อมูลอาณาเขตที่เหล่าสมาชิกเซฟเวอร์แต่ละคนสังกัดอยู่ รวมถึงระบุด้วยว่าในอาณาเขตนั้นมีใครเป็นผู้กำกับดูแลอย่างละเอียดพร้อมกับเลเวลของแต่ละคนในพื้นที่แบบเรียลไทม์

มีเพียงสเตตัสของคนอื่นเท่านั้นที่ไม่สามารถดูได้อย่างอิสระ จะมีเพียงแค่คนที่อยู่ระดับสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถดูข้อมูลของผู้ที่ระดับต่ำกว่าได้

ส่วนหน้าที่ในฐานะสมาชิกของเซฟเวอร์ คือการอัพเดทสเตตัสของตัวเองลงฐานข้อมูลเป็นประจำทุกวัน และพยายามอัพเดทข้อมูลจุดสำคัญอย่างบริเวณที่มีพวกนอกคอก อาทิเช่นอาณาเขตของพวกปลอกแขนแดง หรือจุดที่มอนสเตอร์อันตรายอยู่ให้คนอื่นรับรู้

ส่วนในกรณีของทัตกับพิมเองก็ไม่มีข้อยกเว้นที่ต้องอัพข้อมูลสเตตัสของตัวเองลงไปในฐานข้อมูลของเซฟเวอร์

แม้ว่าในความเป็นจริงเมื่อเหตุการณ์นี้ถูกย้อนเวลากลับไป ข้อมูลที่ถูกอัพขึ้นระบบจะหายไปอยู่ดี แต่สถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่ปกติเนื่องจากมีเวลายาวนานถึง 7 วัน ดังนั้น กว่าจะถึงช่วงเวลาที่ถูกย้อน ข้อมูลของทัตและพิมจะไม่เป็นประโยชน์กับองค์กรทั้งในการนำไปใช้วิเคราะห์ทางสถิติหรือประเมินกำลังรบในเขตของตัวเอง

ข้อมูลของทั้งทัตและพิมจึงยังต้องอัพลงระบบอยู่ดี แม้ว่าในอีก 7 วันให้หลังมันจะหายไปและต้องอัพขึ้นระบบใหม่อีกครั้งก็ตาม

นั่นคือเรื่องที่ต้องทำซึ่งทัตกับพิมได้รับการชี้แจงไปแล้ว

แต่สำหรับตอนนี้ การพักผ่อนคงจะสำคัญกว่าหลังจากการประชุมอันยาวนาน… ในตอนนี้ทุกคนถึงแยกย้ายกันไปตามห้องของตัวเอง

บ้างก็แยกไปที่ห้องพัก บ้างก็ย้ายไปดูแลประชาชนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ บ้างก็ส่งข่าวคุยกับเพื่อนฝูงที่อยู่ห่างไกลกัน

ในขณะที่ทุกคนกำลังทำในสิ่งที่ควรทำ… ในห้องสำนักงานซึ่งเป็นห้องทำงานของคุณหมอนิวกลับมีเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ง่วนอยู่กับการหาของบางอย่างอย่างรีบร้อนอยู่ ทั้งที่ควรจะเอาเวลาไปเตรียมตัวกับการลาดตระเวนในวันพรุ่งนี้แท้ ๆ

“มาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในห้องของฉันเหรอจ๊ะหัวหน้า?”

“!!!?”

กระทั่งถูกเจ้าของห้องเอ่ยทักแบบเงียบ ๆ จากทางเข้าประตูห้อง… คุณหมอนิวปรากฎตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าราวกับใช้เวทมนตร์ ไม่สิ… ใช้สกิลพรางกายต่างหาก

ความกะทันหันนั่นถึงกับทำให้เด็กสาวที่ดูเยือกเย็นตลอดเวลาอย่างฝ้ายสะดุ้งตกใจ ประหนึ่งถูกจับได้คาหนังคาเขาในขณะที่กำลังทำความผิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างนั้นแล

❖❖❖❖❖

อธิบายหลังจบตอน

อาจมีหลายท่านยังสงสัยอยู่ว่าพระเอกต่างจากปกติตรงไหน ผมเลยทำตารางเปรียบเทียบมาให้ดูครับ

จากตารางจะเห็นเลยว่ากรณีปกติอื่น ๆ นั้น โดยเฉพาะอาชีพผสานจะมีสเตตัสทุกอย่างลดหลั่นลงไปจากกรณีที่อัพอาชีพเดียวล้วน ๆ

แต่พระเอกที่มี ‘The One’ นั้นเรียกว่าไปสุดทุกสายเลย แถมมากกว่าคนที่อัพอาชีพเดียวอีกต่างหาก โกงสุด ๆ

❖❖❖❖❖