หลังถูกจับได้ว่าแอบเข้ามาในห้องทำงานของคุณหมอนิวฝ้ายก็ตะลึงไปแวบนึง

จากการที่คุณหมอใช้สกิลพรางกายแอบเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ เรียกว่าคงมีแค่ผลของสกิลนี่แหล่ะที่ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียม แม้แต่ฝ้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

“…คุณหมอนิว”

ฝ้ายจึงรีบหยุดมือที่กำลังควานหาของบางอย่างลงในทันที ก่อนที่จะหันมาทักทายคุณหมอนิวทำเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จหรอก…

“กำลังหานี่อยู่รึเปล่าเอ่ย?” เพราะในตอนที่ฝ้ายคิดว่ากำลังจะตัดบทสนทนาและออกจากห้องไปเนียน ๆ

ในตอนนั้นคุณหมอนิวก็หยิบสิ่งที่ฝ้ายต้องการออกมาจากที่ซ่อนไว้ด้านหลังของตัวเอง

…คือแท็บเล็ตที่ใช้นำเสนอในห้องประชุมก่อนหน้านี้นั่นเอง

และเพราะมันเป็นของที่ฝ้ายต้องการ ดวงตาของเธอจึงสั่นไหวในพริบตาที่ได้เห็นมัน ไม่แม้แต่ไหล่ที่เกร็งขึ้นมาอย่างผิดสังเกตก็อยู่ในระยะสายตาของคุณหมอนิวด้วยเหมือนกัน

แต่ว่า…

“ใช่ค่ะ… หนูกำลังอยากจะตรวจสอบกำลังรบที่จะไปลาดตระเวนพรุ่งนี้พอดีเลย” แต่ดูเหมือนฝ้ายจะไม่มีท่าทียอมแพ้ เธอเลยยิ้มพริ้มเบี่ยงหัวข้อแต่ประเด็นหลักยังเป็นการขอในสิ่งที่ต้องการอยู่

“ถ้าจะทำแบบนั้น ในโทรศัพท์ของฝ้ายก็มีแอปของเซฟเวอร์เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? ไม่เห็นต้องใช้แท็บเล็ตนี่เลยนี่นา?” คุณหมอนิวพูดแทงใจดำฝ้ายอีกครั้งในขณะที่เดินไปเปิดไฟห้องที่มืดสนิทขึ้นมา

เพราะบรรยากาศคงน่าขนลุกไม่เบาหากยังฝืนคุยกันในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดแบบนี้

อย่างไรก็ดี… คำพูดของคุณหมอนิวนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเธอรู้จุดประสงค์ของฝ้าย ถึงได้ทำให้สาวน้อยที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์คนนี้ถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ และกังวลอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้

“ถ้างั้น…” ด้วยเหตุผลนั้นเลยทำให้ฝ้ายรู้ตัว ว่าถึงบ่ายเบี่ยงไปก็คงไม่มีประโยชน์

“ฉันขอลบข้อมูลส่วนที่ไม่จำเป็นของพี่ทัตออก ก่อนที่จะส่งข้อมูลไปให้กับสำนักงานใหญ่หน่อยค่ะ” ฝ้ายจึงพูดธุระของตัวเอง ไม่สิ… ความต้องการของตัวเองออกไปตรง ๆ พร้อมกับยื่นมือไปทางคุณหมอนิวที่กำลังเดินเข้ามาใกล้หวังร้องขอสิ่งที่คุณหมอนิวถืออยู่

คุณหมอเองก็ทำทีเหมือนจะยื่นแท็บเล็ตให้ตามคำขอ แต่ก็ดันชักกลับมาก่อนที่จะได้สัมผัสกับมือฝ้ายเสียอย่างนั้น

“แหม ๆ… ข้อมูลส่วนที่ไม่จำเป็นนี่มันอะไรกันจ๊ะฝ้าย” ก่อนจะพูดแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าระรื่น

สำหรับหญิงสาวที่ดูใจดี ในตอนที่หยอกแกล้งไม่ยอมทำตามคำขอทั้งที่รู้อยู่แล้วแบบนี้เห็นทีคงจะมองเป็นนางฟ้าในชุดกาวน์ไม่ได้

หรือให้มองกลับกัน… อาจมองได้ถึงขั้นว่าเป็นปีศาจด้วยซ้ำ

อย่างน้อยก็สำหรับฝ้ายที่ถึงขั้นรู้สึกกระวนกระวายเมื่อถูกปฏิเสธในสิ่งที่ต้องการ นั่นยิ่งบ่งชี้ว่าสิ่งที่ฝ้ายต้องการมันสำคัญกับเธอขนาดไหน

…แต่แทนที่จะสงสาร คุณหมอนิวที่เห็นฝ้ายแสดงท่าทีกังวลกระวนกระวายแบบนั้นกลับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเสียอย่างงั้น

“ไม่อยากให้พี่ชายต้องแบกภาระขนาดนั้นเชียวเหรอจ๊ะ?”

“…กำลังพูดเรื่องอะไรเหรอคะ?”

อีกครั้งที่คุณหมอนิวพูดแทงใจดำ แต่ก็อีกครั้งเช่นกันที่ฝ้ายบ่ายเบี่ยงทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่นก็เพื่อไม่ให้คุณหมอนิวอ่านเจตนาออก

เพราะถึงคุณหมอนิวจะรู้แล้วว่าฝ้ายตั้งใจจะทำอะไร แต่ก็คงจะยังไม่รู้ว่าทำไมฝ้ายถึงอยากทำแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่ฝ้ายคิดและหวัง แต่ว่า…

“หืม… ถ้างั้นฉันขอเดา แค่เดานะจ๊ะ” คุณหมอนิวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาไปพร้อมกับใช้นิ้วสัมผัสริมฝีปากตัวเองราวเล่นสนุก ไม่รู้ว่าพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงหรืออย่างไร แต่มันกลับให้ผลตรงกันข้ามสำหรับฝ้าย โดยเฉพาะเนื้อหาที่คุณหมอกำลังจะพูด

“สถานการณ์ของผู้มีพลังในประเทศตอนนี้… ระหว่างเซฟเวอร์กับพวกอันธพาลนับวันก็มีแต่จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งเวลาผ่านไปคนพวกนี้ก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น จนในท้ายที่สุดประเทศในช่วงที่มอนสเตอร์ออกมากินคนก็จะมีแต่พวกที่ทำตามใจตัวเอง จนกระทั่งกลายเป็นกลียุคในอีกไม่ถึงหนึ่งปีนี้แน่นอน”

“…”

ฝ้ายนิ่งเงียบไปและไม่เถียงในเรื่องนั้น เพราะเรื่องน่ากลัวที่คุณหมอนิวพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่ฝ้ายไม่ได้บอกให้ใครคนอื่นฟังรวมถึงทัตและพิมด้วย

การเพิ่มจำนวนขึ้นของพวกนอกคอก ก่อตั้งขึ้นเป็นแก๊งเล็กแก๊งน้อย โดยมีตัวอย่างเช่นพวกปลอกแขนแดงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง… นั่นคือข้อมูลที่เผยให้ระดับหัวหน้าหน่วยย่อยลงไปรู้

แต่ข้อมูลจริงในทางสถิตินั้น… คือจำนวนของกลุ่มนอกคอกที่มีในแต่ละจังหวะนั้นมีอย่างน้อย 3-5 แก๊ง และมีแก๊งใหญ่ที่ขนาดพอ ๆ กับพวกปลอกแขนแดงที่พวกทัตเจออย่างน้อย ๆ จังหวัดละ 1 กลุ่มเลยทีเดียว เฉลี่ยแล้วมีพวกอันธพาลทั้งหลายจะมีจำนวนมากถึง 90 คนต่อหนึ่งจังหวัด

…ในขณะที่เซฟเวอร์นั้นมีกำลังคนประจำอยู่เพียงจังหวัดละ 30 คนโดยประมาณเท่านั้น

และด้วยความที่พวกนอกคอกนั้นไม่ได้สนใจอะไรเพราะกฎหมายและศีลธรรมไม่มีอยู่อีกแล้ว หากได้เจอกับผู้มีพลังคนอื่นรวมถึงเซฟเวอร์ พวกมันคงไม่ลังเลที่จะฆ่าทิ้งแน่นอน ยิ่งถ้าได้รู้ว่าการสังหารผู้มีพลังด้วยกันจะทำให้ได้รับค่าประสบการณ์เป็นสองเท่าล่ะก็ พวกมันคงกระหายที่จะล่าคนของเซฟเวอร์มากขึ้นไปอีกแน่นอน

อัตราการเพิ่มจำนวนขึ้นของพวกนอกคอก กับอัตราการลดลงของสมาชิกเซฟเวอร์ที่ถูกไล่ล่า นับวันจึงมีแต่จะผกผันทิ้งระยะห่างกันไปเรื่อย ๆ

ทั้งไร้แรงสนับสนุนจากรัฐบาลหรือองค์กรที่มีเงินทุน… ขาดบารมีหรือพละกำลังที่จะทำให้พวกนอกคอกรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อาจกลายเป็นขอบเขตที่ทำให้พวกนั้นอยู่ในร่องในรอยได้ และสุดท้ายรั้วที่คอยรักษาผู้คนไว้ให้อยู่ในความถูกต้องก็จะถูกทำลายลงในที่สุด

เพราะต่อให้พูดว่าเซฟเวอร์เป็นองค์กรที่ทำเรื่องที่สมควรทำเพื่อความถูกต้องมากแค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งพลังในการทำให้ผู้คนเชื่อฟังแล้ว มันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี

นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เซฟเวอร์กำลังอยู่ในขั้นวิกฤตจนคนที่รู้เรื่องเบื้องลึกอย่างฝ้ายและคุณหมอนิวทำสีหน้าตึงเครียดออกมาในทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้

“เซฟเวอร์กำลังจะล่มสลาย… แล้วถ้าหากองค์กรผู้ช่วยเหลือที่ทำในสิ่งที่ควรทำอย่างเราล่มสลายเป็นตัวอย่าง ก็จะไม่มีคนกล้าทำแบบเดียวกันอีก ทั้งประเทศก็จะเหลือแต่พวกนอกคอก ส่วนคนดี ๆ ที่เหลือก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเข้ากลุ่มคนพวกนั้นเพื่อเอาตัวรอด” คุณหมอนิวว่าแล้วก็กอดอกด้วยสีหน้าตึงเครียดเป็นครั้งแรกจนถึงขั้นกัดฟันแน่น คิดว่าคงไม่มีใครเคยเห็นแน่ ๆ นอกจากฝ้าย

“…แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับพี่ทัตนี่คะ” ในขณะที่ฝ้ายนั้นไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย สีหน้าของเธอราวกับจะบอกว่าเซฟเวอร์จะล่มสลายก็ช่างยังไงอย่างงั้น

ถึงแม้ที่ฝ้ายพูดมามันจะมีส่วนถูกอยู่ก็ตาม

เพราะทัตนั้นเป็นแค่นักเรียน ม.ปลายธรรมดา ที่ไม่ได้มีอำนาจ เงินตราหรือบารมีที่จะทำให้คนอื่นเชื่อฟังใต้อาณัติและทำตามได้ เขาไม่มีส่วนที่จะช่วยกู้วิกฤตของเซฟเวอร์หรือประเทศอยู่แล้ว

…แต่ว่า

“ถ้าคิดแบบนั้นจริง ทำไมถึงไม่ส่งข้อมูลของทัตให้กับศูนย์ใหญ่ล่ะจ๊ะ?” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คุณหมอนิวพูดแทงใจดำฝ้าย หนนี้ไหล่เธอถึงกับกระตุกเลยทีเดียว

“ที่ผู้คนไม่รวมใจเป็นหนึ่งก็เพราะขาดหลักยึดเหนี่ยว… เซฟเวอร์เป็นเพียงแค่องค์กรการกุศลเลยไม่อาจควบคุมทุกคนให้ทำตามได้… แต่ถ้ามีคนที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดเพียง ‘หนึ่งเดียว (The One)’ ปรากฏตัวขึ้นมา พวกนั้นคงต้องรู้สึกอยากพึ่งพา หรือสำหรับพวกนอกคอกก็คงรู้สึกกลัวเป็นธรรมดาล่ะเนาะว่าไหมจ๊ะ? และสำหรับคนที่ไม่มีที่พึ่ง ก็คงจะเห็นเขาคนนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวเลยล่ะนะ”

คุณหมอนิวพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงดูสนุกสนาน แต่ฝ้ายที่ได้ยินอย่างนั้นกลับแสดงสีหน้ากังวลออกมา เพราะรู้กันอยู่ว่าคุณหมอนิวพูดถึงพี่ชายของตน

“หนูไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ”

และเพราะรู้แบบนั้นฝ้ายถึงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นโอกาสเดียวที่จะกู้วิกฤตของเซฟเวอร์ ไม่สิ… กู้วิกฤตความขัดแย้งของผู้มีพลังทุกคนในประเทศ โดยการทำให้ทัตที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเหนือใครในใต้หล้าอัพเลเวลของตัวเองจนถึงที่สุด แล้วขึ้นมาเป็นศูนย์รวมใจของผู้คนในฐานะของผู้มีพลังอันดับหนึ่งของประเทศ หรือไม่งั้นก็เป็นสัญลักษณ์ที่จะทำลายความอยุติธรรมเมื่อมีคนออกนอกลู่นอกทางจนพวกนอกคอกหวาดกลัวและต้องจำยอมอยู่ใต้กฎของเซฟเวอร์

แต่ก่อนที่จะเป็นแบบนั้นได้ ทัตจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง โดยเฉพาะพวกแก๊งใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์กับเซฟเวอร์ซึ่งหัวหน้าของพวกมันส่วนใหญ่มีเลเวลเกิน 100 กันทั้งนั้น

นอกเหนือจากนั้น… ก่อนที่ทัตจะไปสู้กับพวกนั้นก็ต้องสู้กับมอนสเตอร์อันตรายต่าง ๆ นานาเพื่อเก็บเลเวลก่อน ซึ่งรวมถึง ‘Chivalry’ ที่โอกาสชนะเกือบเป็นศูนย์ด้วย

ดังนั้น เมื่อได้รู้ว่าทัตจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายจำนวนมากแบบนั้น มีหรือที่ฝ้ายจะยอมให้มันเกิดขึ้น นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เธอจะปรับสเตตัสของเขาให้เป็นปกติโดยตัดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฉายา ‘The One’ ทิ้งไปให้หมด เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมัน และก็เพื่อไม่ให้มีใครใช้ประโยชน์จากมัน

และที่ทำแบบนั้นไป… ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากความเป็นห่วงหรือมากกว่านั้น ซึ่งคุณหมอนิวเองก็พอจะเดาได้

“ฝ้ายนี่รักพี่ชายจริง ๆ เลยนะจ๊ะเนี่ย… แต่ปกป้องเค้ามาตลอด 3 ปีเป็นใครก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ นอกจากเจ้าตัวน่ะนะ”

แต่แทนที่คุณหมอนิวจะตอบรับความต้องการที่อยากจะปกป้องพี่ชายอย่างบริสุทธิ์ใจ เธอกลับเอ่ยขึ้นมาแบบนั้นด้วยรอยยิ้มเอ็นดูอีกครั้ง เห็นได้ชัดเลยว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สร้างรอยยิ้มเพื่อเล่นสงครามประสาทหรือตั้งใจปั่นป่วนฝ้าย

หากแต่เป็นเพราะคุณหมอนิวรู้ความรู้สึกของฝ้ายดีต่างหาก เธอถึงได้ไม่รู้สึกว่าฝ้ายกำลังทำสิ่งที่ผิด และเป็นเหตุผลเดียวกับที่เธอไม่ได้ต่อว่าอะไรฝ้ายด้วย แต่ว่า…

“แต่ว่า… แบบนั้นมันจะใช่สิ่งที่พี่ชายของเธอต้องการรึเปล่า? เคยคิดเรื่องนี้บ้างไหมล่ะจ๊ะ?” แทนที่จะปฏิเสธความต้องการของฝ้าย วิธีการของคุณหมอนิวกลับเป็นวิธีที่นุ่มนวลกว่า นั่นคือการแสดงให้เห็นฝ้ายเห็นว่าเธอคิดผิดมากกว่าไปบังคับให้คิดแบบที่ตัวเองต้องการ

“หนูไม่สนความต้องการของพี่หรอกค่ะ… เค้าจะไม่มีวันรู้หรอกถ้าไม่มีใครบอกเขา” แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนความคิดฝ้ายจะไม่ใช่เรื่องง่าย ดูจากที่ฝ้ายบอกปัดทันควันก็รู้ แถมยังดื้อดึงมากเสียด้วย

“เธอเนี่ยน้า… ไม่มีอะไรเป็นความลับหรอกนะรู้ไหม? เดี๋ยวถ้าพี่เขามารู้ทีหลังก็โดนเขาเกลียดเอาหรอกจ่ะ”

“…”

คุณหมอนิวตอบกลับไปแบบไม่คิดอะไรเหมือนตัดพ้อ

แต่ดูท่าคำพูดนั้นจะได้ผลมากกว่าที่คิด เพราะฝ้ายถึงกับแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยเหงาหงอยออกมาในทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเลยทีเดียว

กลัวโดนพี่ชายเกลียดเหรอเนี่ย… น่ารักซะจริง ๆ เลยนะเด็กคนนี้

คุณหมอนิวรู้แบบนั้นแล้วก็คิดอมยิ้ม ดูท่าเธอจะได้ไพ่ตายในการต่อรองแล้ว

“เรื่องที่เขามีฉายา ‘The One’ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะต้องเป็นสัญลักษณ์ในการรวบรวมผู้คนซะหน่อยนี่นา… เพราะถ้าเขาไม่อยากทำหน้าที่นั้นก็ไม่มีใครบังคับเขาหรอกนะจ๊ะ” คุณหมอนิวเอ่ยด้วยรอยยิ้มในขณะที่สัมผัสหน้าจอแท็บเล็ตสักพักเพื่อทำบางอย่างก่อนจะหันกลับมาสบตากับฝ้ายต่อ

“พี่เขาน่ะเป็นคนมีความรับผิดชอบนะคะ… ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำล่ะก็ ต่อให้เป็นการทำเพื่อคนอื่นพี่เขาก็ไม่ลังเลหรอก” ฝ้ายเอ่ยแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่เบาเอาเรื่อง ทั้งเพราะไม่รู้จะเถียงอะไรกลับไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะกังวลกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับทัตจนพูดอะไรไม่ออกมากกว่า

“ถ้ากังวลขนาดนั้นก็ปกป้องเขาอยู่ใกล้ ๆ ตัวก็สิ้นเรื่องนี่จ๊ะ”

แต่กับเรื่องที่ฝ้ายกังวล… คุณหมอนิวกลับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เสมือนว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

ไม่สิ… เธอพยายามทำให้ฝ้ายคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ต่างหาก ซึ่งนั่นก็จริงของคุณหมอ เพราะอันที่จริงมันเป็นฝ้ายเองต่างหากที่วิตกจริตเรื่องของทัตมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่ที่ยังไม่มีอยู่จริงหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น

กล่าวคือคุณหมอนิวพยายามจะบอกว่าฝ้ายกังวลมากเกินไปนั่นเอง แถมดูเหมือนจะได้ผลด้วย ดูจากคิ้วที่ขมวดมาตลอดของฝ้ายมันเริ่มคลายตัวลงก็รู้

“เฮ้อ… หงุดหงิดตัวเองเหมือนกันนะคะที่ฉันดันเชื่อคำพูดของคุณหมอเนี่ย” ฝ้ายจึงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอ่ยราวกับว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

“เพราะฉันรู้ไงจ๊ะ… ว่าฝ้ายน่ะเป็นเด็กดี”

เป็นเวลาเดียวกันกับที่คุณหมอนิวยื่นหน้าจอแท็บเล็ตมาที่ฝ้าย บนหน้าจอแสดงข้อมูลของฉายา ‘The One’ ของทัต รวมถึงสเตตัสของทัตที่เป็นเจ้าของ แต่ที่ส่วนล่างสุดแสดงข้อความระบุความต้องการลายนิ้วมือของระดับหัวหน้าหน่วยขึ้นไปเพื่อยืนยันข้อมูลใหม่

หรือก็คือคุณหมอนิวต้องการลายนิ้วมือของฝ้ายเพื่อยืนยันข้อมูลมาตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง

เพราะเดิมที ข้อมูลใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนจะไม่สามารถอัพลงฐานข้อมูลได้ตราบใดที่ไม่ได้รับการรับรองจากระดับหัวหน้าหน่วยอย่างฝ้าย นั่นถึงเป็นเหตุผลที่คุณหมอนิวพยายามโน้มน้ามฝ้ายให้เลิกลบข้อมูลของทัตออก เพราะถ้าหากว่าเธอไม่ยอม ยังไง ๆ ข้อมูลเรื่อง ‘The One’ ก็จะไม่ถูกอัพขึ้นระบบอยู่ดี

หรือต่อให้คุณหมอนิวยอมแพ้ให้ฝ้ายลบข้อมูลในครั้งนี้ที่เป็นข้อมูลชั่วคราว แต่เมื่อเวลาถูกย้อนกลับมาแล้วต้องอัพข้อมูลนี้ลงระบบของจริง คุณหมอนิวก็ยังมีโอกาสในการโน้มน้าวฝ้ายอีกครั้งอยู่ดี เรียกว่าคุณหมอนิวมีแต้มต่อมากมายเพื่อให้การต่อรองของตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ

แล้วดูเหมือนว่าศึกนี้คุณหมอนิวจะเป็นฝ่ายชนะตั้งแต่หนแรก ฝ้ายถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้งราวผู้แพ้ก่อนจะเริ่มเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี

“เอ่อ…” แต่อยู่ดี ๆ ฝ้ายก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเลยหยุดเท้าตัวเองก่อนจะออกไปจากห้อง แถมยังหันกลับมามองคุณหมอนิวที่หย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ทำงานตัวเองแล้วด้วย นั่นทำให้คุณหมอนิวสงสัยจนต้องเอียงคอ

“คือว่า… ทั้งเรื่องที่ฉันทำอย่างนี้กับเรื่องที่ฉันปกป้องเขามาตลอด… เรื่องทั้งหมดห้ามบอกพี่ทัตเด็ดขาดเลยนะคะ”

“แหม ๆ”

ได้ยินคำพูดของฝ้ายที่พูดออกมาอย่างลำบากใจและเอียงอายยิ่งทำให้คุณหมอนิวที่แต่เดิมเอ็นดูฝ้ายอยู่แล้วยิ่งรู้สึกเอ็นดูมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะคุณหมอนิวรู้ดีว่าฝ้ายนั้นปกป้องครอบครัวของตัวเองโดยเฉพาะทัตมาตลอดตั้งแต่ที่เกิดการตื่นขึ้นมา ปกป้องถึงขนาดที่ว่าทัตไม่เคยตายในค่ำคืนเลยสักครั้ง ซึ่งถ้าหากว่าทัตไม่ได้เกิดการตื่นขึ้นเธอก็คงจะทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ แน่

แต่ที่สำคัญ… เพราะท่าทางของฝ้ายในตอนที่พูดแบบนั้นออกมามันน่ารักน่าชังปานตุ๊กตาอย่างที่ได้เคยเปรียบไว้หลายต่อหลายครั้งต่างหากที่ทำให้คุณหมอนิวอดอมยิ้มไม่ได้

“ไม่บอกหรอกจ่ะ… เรื่องแบบนั้นฝ้ายต้องไปบอกเขาด้วยตัวเองนะจ๊ะ” คุณหมอนิวเลยทำได้แต่ยิ้มตอบ นั่นคือตัวเลือกเดียวสำหรับเด็กสาวที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองอย่างฝ้าย

แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ซื่อตรงขนาดนั้น อย่างน้อยก็สำหรับพี่ชายของเธอ… เห็นชัดจากในตอนที่ฝ้ายได้ยินสิ่งที่คุณหมอนิวบอก เธอก็เบือนหน้าหลบแล้วออกจากห้องไปทันที

นั่นแสดงให้เห็นเลยว่าฝ้ายคงไม่ยอมบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่ผ่านมาให้ทัตฟังง่าย ๆ แน่

❖❖❖❖❖

———— มุมมองของทัต

หลังจากที่การประชุมสิ้นสุดพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกฝ้ายไปทำอะไรกัน แต่ฉันกับพิมนั้นเลือกที่จะไปสำรวจโรงพยาบาลกันก่อนเพื่อดูว่าที่นี่มีอะไรบ้าง

อย่างแรกที่ฉันรู้… ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ต่างอำเภอ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเราไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกับพวกปลอกแขนแดงแล้ว

นี่คงเป็นไหวพริบของพวกฝ้ายที่ย้ายออกมาจากเขตที่อันตรายไว้ก่อน เพราะถ้าถูกจู่โจมอีกรอบคงขำไม่ออกแน่ ยิ่งที่นี่เป็นศูนย์อพยพที่มีคนธรรมดาอยู่เยอะคงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ถัดจากนั้นฉันกับพิมก็ไปหาพวกพลก่อนที่จะพัก

แต่ที่จริงคือเพราะพิมอยากจะไปดูอาการเพื่อนสนิทอย่างแพรนั่นแหล่ะ

พอไปถึงก็เจอกับห้องโถงที่ถูกปรับให้เป็นศูนย์รวมคนอพยพ นั่นเลยทำให้ฉันรู้ว่าที่นี่มีประชาชนทั่วไปมาหลบภัยด้วย แถมจำนวนยังเยอะพอสมควรอีกต่างหาก เท่าที่กะด้วยสายตาน่าจะเกินกว่าร้อยคนแน่ ๆ

มีฟูกปูไว้นอนกับพื้นอยู่เป็นจำนวนมากและแบ่งฝั่งชายหญิงชัดเจน แต่ถ้าเป็นครอบครัวเดียวกันจะอยู่ใกล้กันได้ ค่ายพักนี้จึงแบ่งออกเป็นสามโซนอย่างที่ว่าไป

ส่วนเรื่องของพวกเพื่อน ๆ… ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่แน่นอนว่ายังกังวลกันอยู่

ก็แน่ล่ะ เพราะพวกเขาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่พวกปลอกแขนแดงปรากฏตัวขึ้นมาข่มขู่และตั้งใจจะฆ่าพวกเรากับตาเลยนี่นะ จะยังรู้สึกหวาดกลัวกันอยู่ก็ไม่แปลกหรอก

แต่คนที่ตกใจที่สุดก็คงเป็นแพรที่ไม่มีเพื่อนผู้หญิงอยู่ด้วยเลยนี่แหล่ะ พอพิมไปหาปุ๊บเธอก็ถึงกับร้องไห้โผเข้ากอดเลยทีเดียว

ส่วนพวกพลเองก็เป็นห่วงฉันเหมือนกัน นี่คงเป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าเจ้าพวกนี้เองก็เป็นคนดีกว่าที่คิดน่ะนะ

พวกเราอัพเดทสถานการณ์และคุยกันพอหอมปากหอมคอ เวลานอนก็มาถึง

ศูนย์อพยพทุกที่กำหนดเวลานอนมาตรฐานไว้ที่เวลาเที่ยงคืน พวกเราก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามเพราะเขาจะบังคับดับไฟห้องโถง

แต่ถึงจะไม่มีเรื่องนั้น คนส่วนใหญ่ก็ขดตัวหลับก่อนเวลากันทั้งนั้น

เพราะไม่มีอะไรให้ทำในโลกล่มสลายที่เหลือแต่มอนสเตอร์กินคนนั่นแหล่ะนะ

ทางฉันกับพิมเองก็นอนเหมือนกัน… ส่วนฉันปฏิเสธที่จะกลับไปนอนในห้องคนป่วยเพราะหายดีแล้ว ถึงฝ้ายจะพยายามให้ฉันไปนอนสบาย ๆ ในห้องนั้นก็เถอะ

แต่ฉันรู้ดีว่าอาการตัวเองดีขึ้นแล้ว ก็เลยไม่อยากเอาเปรียบคนอื่นด้วยการนอนสบายอยู่คนเดียวน่ะนะ

และที่สำคัญ… ฉันทำเสมือนว่าตัวเองหายดีแล้วก็เพื่อแสดงให้ฝ้ายเห็นนั่นแหล่ะว่าพรุ่งนี้ฉันไปลาดตระเวนด้วยกันกับทุกคนไหว

ไม่อย่างนั้นฝ้ายคงหาข้ออ้างไม่ให้ฉันไปด้วยแบบที่เคยคุยในห้องประชุมแน่ ๆ

ด้วยเหตุนั้น เมื่อเวลาปิดไฟมาถึงฉันก็รีบทำใจสงบเพื่อให้หลับเร็ว ๆ ในทันที

ทั้งเพื่อคลายความเหนื่อยล้าและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ดีขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะดีได้

และที่สำคัญ… ฉันพักผ่อนก็เพื่อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด

สำหรับการลาดตระเวนในวันพรุ่งนี้

❖❖❖❖❖

เช้าวันรุ่งขึ้น ไฟในห้องโถงใหญ่ของศูนย์อพยพถูกเปิดในตอนที่ตะวันขึ้นจากขอบฟ้าเต็มที่แล้ว นั่นเป็นการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแก่ผู้ที่ยังปรับตัวไม่ได้และอยากนอนต่อ

ส่วนเรื่องอาหารเช้านั้นจะมีอาสาสมัครกับสมาชิกของเซฟเวอร์มาช่วยทำให้และแจกจ่ายตลอดเวลาในตอนที่ทุกคนพร้อมกิน เพราะเห็นใจในจุดที่ว่าอาจมีบางคนที่ยังกินข้าวไม่ลงตามเวลา มันคงจะโหดร้ายมากถ้าบังคับให้ทุกคนกินในเวลาที่กำหนดแล้วมีคนที่ไม่ยอมกินหรือกินไม่ทัน

แต่สำหรับสมาชิกของเซฟเวอร์ที่เป็นหน่วยลาดตระเวนนั้นจะมีการเตรียมตัวต่างกัน

เริ่มจากเวลาตื่น… เหล่าสมาชิกหน่วยสนับสนุนจะออกไปเตรียมรถ เป็นรถบรรทุกสิ่งของหนึ่งคัน รถบรรทุกคนสองคันและรถฉุกเฉินอีกหนึ่งคันรวมเป็นสี่คัน นับเป็นหนึ่งขบวน

ส่วนเรื่องของบุคลากร แน่นอนว่าต้องมีทีมแพทย์ติดไปกับรถฉุกเฉิน คนขับรถแต่ละคัน และที่สำคัญที่สุดก็คือทีมของหน่วยลาดตระเวนที่ต้องแบ่งกำลังครึ่งนึงออกไปเพื่อตามหาผู้รอดชีวิตบวกกับตามหาเสบียง ยิ่งในคืนพระจันทร์เต็มดวงที่มีความยาวนานถึง 7 วันด้วยแล้ว ภารกิจนี้จึงยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่ เพราะถ้าอาหารหรือน้ำหมดก่อนนี่คงจะเป็นฝันร้ายสำหรับผู้รอดชีวิตอย่างแน่นอน แล้วสำหรับเหล่าผู้มีพลังที่การตายนั้นหมายถึงตายจริง ๆ ก็ยิ่งแล้วใหญ่

และเพราะมันสำคัญ พลังรบจึงควรจะจัดอย่างเหมาะสม คนที่เก่งที่สุดจึงรวมกันอยู่ที่ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล อันประกอบไปด้วยระดับรองหัวหน้าหน่วยและหัวหน้าหน่วยย่อยเป็นส่วนใหญ่ อาทิเช่น สิน กิฟ เบล คิวและลินดา รวมถึงฝ้ายเองก็ด้วย

หรือก็คือสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมเมื่อวานยกเว้นคุณหมอนิวและมิ้นต่างก็อยู่ที่ลานจอดรถนี้กันหมด

ไม่สิ… พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะอันที่จริงมิ้นเองก็อยู่ที่ลานจอดรถนี้ด้วยเหมือนกัน หากแต่ว่า…

“หัวหน้าาาาาา! ทำไมไม่ให้ฉันไปด้วยล่ะ!!!!” มิ้นเองก็อยู่ตรงนี้ ในขณะที่กำลังกอดฝ้ายจากข้างหลังอย่างออดอ้อนวิงวอนขอให้พาตัวเองไปด้วย

“ไม่ได้ค่ะ… ที่ศูนย์อพยพเองก็ต้องมีกำลังพลไว้เหมือนกัน คุณที่แข็งแกร่งรองจากฉันถึงต้องอยู่ที่นี่เข้าใจไหมคะ?” แต่แน่นอนว่าไม่ได้ เห็นสีหน้าอันเรียบเฉยไร้การหวั่นไหวของฝ้ายก็รู้

ถึงอันที่จริงสายตาเรียบเฉยของเธอจะมาจากความไม่สบายตัวที่ถูกกอดมากกว่าก็ตาม แต่แน่นอนว่าไม่ได้รังเกียจหรอก ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้มิ้นกอดเธอตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ดี… ในขณะที่คนขับและทีมแพทย์กำลังเตรียมข้าวของที่จำเป็นขึ้นรถ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีคนสองคนเดินเข้ามาหา

และเพราะเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของฝ้าย จึงทำให้เธอจำต้องเหลือบกลับมามองอย่างช่วยไม่ได้

“พี่ทัต…” ฝ้ายเหลือบไปมองทัตกับพิม แต่เสียงที่ลอดออกมาจากลำคอเล็ก ๆ มีแค่ชื่อของทัตที่เธอให้ความสนใจ ซึ่งพอเห็นแล้วว่าทัตมาในชุดที่ดูคล่องแคล่วพร้อมสนับมือ แถมพิมที่มาด้วยกันยังถือคาตานะคู่ใจมาด้วยอีก ก็ยิ่งทำให้ฝ้ายขมวดคิ้วเข้าด้วยกันแน่นเข้าไปใหญ่

ไม่ใช่เพราะสงสัย… หากแต่เป็นเพราะว่าเธอรู้สาเหตุที่ทั้งสองคนมาที่นี่ต่างหาก

“ฝ้าย ฉันกับพิมขอไป————”

“ไม่ได้ค่ะ”

และเพราะรู้… ก่อนที่ทัตจะได้เอื้อนเอ่ยขอให้พาพวกตนไปลาดตระเวนด้วย ฝ้ายก็กลับปฏิเสธทัตทันควันก่อนที่เขาจะทันได้พูดจนจบประโยคเสียอีก และเพราะถูกขัดแบบนั้นเลยทำให้ทัตขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย

“ทำไมล่ะ?” แต่แน่นอนว่าต้องใช้เหตุผลก่อน หากใช้อารมณ์เมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น ทัตเลยถามฝ้ายออกไปตามที่สงสัย

“เพราะพี่ยังบาดเจ็บอยู่ยังไงล่ะคะ แล้วอีกอย่าง… ศูนย์อพยพจำเป็นต้องเหลือคนทิ้งไว้เพื่อปกป้องผู้รอดชีวิตด้วยนะคะ ซึ่งจำนวนคนที่หนูจัดเอาไว้ลาดตระเวนนั้นเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้วค่ะ ที่เหลือนอกจากนี้จะต้องอยู่ที่ศูนย์อพยพอย่างไม่มีข้อยกเว้นนะคะ”

ฝ้ายพูดอย่างนั้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยธรรมดา ท่าทางของเธอเหมือนกับหัวหน้าสั่งงานลูกน้องสมกับตำแหน่งของตัวเองจริง ๆ

ติดอยู่อย่างเดียว… คือแววตาของเธอนั้นดูจริงจังมากยิ่งกว่าทุกทีในตอนที่พูดกับทัต โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเขา และสิ่งนั้นก็ช่วยยืนยันความตั้งใจของเธอด้วย

…ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฝ้ายคงไม่มีทางให้ทัตไปลาดตระเวนด้วยแน่ ๆ

เป็นอย่างที่คิดเลยแฮะ… น้องเรานี่รอบคอบจริง ๆ ดักเราไว้ทุกทางเลย

ถึงจะรู้อยู่หรอก ว่าที่เธอไม่อยากให้ไปด้วยก็เพราะเธอเป็นห่วงเรา

แต่แบบนี้มันเป็นห่วงมากเกินไป แถมยังตัดโอกาสการอัพเลเวลของฉันด้วย

บางทีฝ้ายคงสนแค่เรื่องที่ทำให้เราอยู่ในที่ปลอดภัยมากกว่าเรื่องอื่นทั้งที่เป็นผลเสียในระยะยาวแท้ ๆ… หรือเธอคิดจะปกป้องเราไปตลอดรึไงนะ?

ถ้าคิดแบบนั้นจริง ๆ ฉันไม่ยอมหรอกนะ

แต่เอาเถอะ… ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าฝ้ายจะต้องมาไม้นี้

แต่ทัตที่เห็นฝ้ายปิดทางออกของตัวเองไว้กลับไม่ได้รู้สึกยี่หระอะไรเลย

…นั่นเพราะเขาเตรียมทางแก้เอาไว้แล้วนั่นเอง

“ถ้าเรื่องอาการบาดเจ็บล่ะก็ ร่างกายของทัตเค้าไม่มีแผลแล้วล่ะจ่ะ ทั้งอวัยวะภายในหรือกล้ามเนื้อก็หายดีหมดแล้ว เพราะเดิมทีมันก็มีแต่แผลฟกช้ำด้วยสิ” คนที่พูดอย่างนั้นขึ้นมาก็คือคุณหมอนิวที่เดินตามทัตกับพิมมาทีหลัง

“แล้วอีกอย่างนึง… ทัตกับพิมเองก็เพิ่งจะมาเป็นสมาชิกของเซฟเวอร์เมื่อวานเอง เพราะงั้นการที่พวกเขาทั้งสองคนจะอยู่ในหน่วยลาดตระเวนหรือหน่วยเฝ้าระวังที่ศูนย์อพยพมันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรขนาดนั้นหรอกนะจ๊ะ” คุณหมอนิวมาพร้อมข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อีกครั้ง ซึ่งที่พูดมามันก็ถูกแถมตรงประเด็นจนทำให้ทัตกับพิมพยักหน้ารับตาม ๆ กัน ดูเหมือนตอนนี้ทัตกับพิมจะได้แนวหลังสุดแกร่งมาช่วยเถียงแทนให้แล้ว

แต่ไม่ว่าคำพูดนั่นจะปรารถนาดีกับทัตและพิมแบบไหนก็ตาม แต่สำหรับฝ้ายแล้วมันเป็นการทำลายสิ่งที่เธอคิดวางแผนเอาไว้หมดเลย นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ฝ้ายถึงกับขมวดคิ้วมองเขม่นเหมือนกับแยกเขี้ยวใส่คุณหมอนิวโดยไม่เก็บอาการเลยสักนิด

ท่าทางนั่นเหมือนเสือสมิงกำลังแยกเขี้ยวข่มขู่ไม่ให้คุณหมอนิวมายุ่งไม่เข้าเรื่องยังไงอย่างงั้น

“เอ๋… ฉันไม่ผิดซะหน่อย ช่วยฉันหน่อยสิทัต น้องเธอน่ากลัวจังเลย!” แต่แทนที่จะเถียงสู้หรือพูดเพื่อให้ฝ้ายยอมรับและใจเย็นลง คุณหมอนิวกลับขยับไปหลบหลังทัตแทนเสียอย่างนั้น ซึ่งพอโดนแบบนั้นเข้าไปฝ้ายก็ถึงกับคิ้วกระตุกเลยทีเดียว

…รวมถึงพิมด้วย

“เอ่อ…” ทัตสัมผัสได้ว่ามีของนุ่ม ๆ กดแผ่นหลังเขาอยู่ แต่ด้วยความสัตย์จริง… เข้าไม่ได้สนใจสัมผัสสุดวิเศษนั่นเลย

ไม่สิ… ไม่กล้าสนใจต่างหาก เพราะมีสาวน้อยจ้องจี่มาทางเขาแถมเขม่นตาเขียวใส่พร้อมกันถึงสองคนจากทั้งพิมและฝ้ายนั่นแหล่ะ ทัตถึงไม่อาจหาญกล้าแสดงปฏิกิริยาชอบใจกับหน้าอกของหญิงสาวเต็มวัยที่กำลังกดแผ่นหลังของเขาอันเป็นความฝันของผู้ชายทุกคนได้อย่างซื่อตรง

เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องมันคงจะแย่กว่าเดิมแหง แถมยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ทัตก็ยิ่งรู้สึกว่ารังสีอำมหิตจากทั้งพิมและฝ้ายก็มีแต่จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นด้วย

“กะ ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนะตอนนี้ พี่ไปกับฝ้ายไปสบาย ๆ เลย” ทัตเลยทำเป็นเนียน ๆ สะบัดตัวเดินนำหน้าออกมาเบา ๆ เพื่อออกจากสัมผัสสุดวิเศษนั่น

เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อน้ำเสียงของทัตจะอ่อนลงเกินไป จนอาจไร้น้ำหนักในการต่อรองกับฝ้ายได้ แต่เหมือนทัตจะคิดมากเกินไป

ส่วนทางฝ้ายนั้นก็ยังรู้สึกลังเลอยู่เมื่อได้เห็นทัตยืนกรานขนาดนั้น จนกระทั่งสบสายตามีเลศนัยของคุณหมอนิวเข้าเธอก็ถึงกับคิ้วกระตุกอีกครั้ง ตอนนี้ฝ้ายกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่างอยู่ในหัวก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสุดท้าย

“…เข้าใจแล้วค่ะ พี่ทัตกับพี่พิมจะมาด้วยก็ได้นะคะ” หลังใช้เวลาคิดครู่หนึ่งฝ้ายก็ตอบรับคำขอของทัตในบัดดล แม้จะด้วยสายตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งเหมือนหงุดหงิดอะไรบางอย่างอย่างมีนัยยะอยู่ก็เถอะ

ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอื่นใด… นอกจากกลัวว่าคุณหมอนิวจะอาศัยจังหวะที่ฝ้ายไม่อยู่ปากโป้งบอกเรื่องที่ไม่ควรบอกของฝ้ายให้ทัตรู้นั่นเอง

ยังไม่นับเรื่องที่ไม่รู้ว่าคุณหมอนิวจะทำอะไรทัต?ในระหว่างที่เธอไม่อยู่อีกต่างหาก นั่นแหล่ะคือเบื้องหลังสายตามีเลศนัยของคุณหมอนิว ซึ่งสำหรับฝ้ายแล้วมันเหมือนกับเป็นการข่มขู่กราย ๆ เลยทีเดียว

รู้เช่นนั้นแล้ว ฝ้ายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บทัตเอาไว้ใกล้ตัว เพราะอย่างน้อย ๆ ทัตก็อยู่ในระยะสายตาที่เธอสามารถสอดส่องดูแลเขาได้ตลอดเวลา

“ขอบใจนะ ช่วยได้มากเลยล่ะ” ในขณะที่ทางด้านของทัตนั้นกลับยิ้มตอบรับฝ้ายไปอย่างซื่อตรง โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกปฏิบัติเสมือนตุ๊กตาตัวโปรดที่ฝ้ายอยากจะเอาติดตัวไปทุกที

…แต่ถึงรู้แบบนั้นทัตก็ไม่มีสิทธิโกรธหรอก เพราะเขาเองก็ทำแบบเดียวกันกับพิมจากการที่พาเธอไปลาดตระเวนเหมือนกัน แม้ว่าพิมจะสมยอมก็ตาม

“จริงเหรอ? ดีจังเลย!”

ส่วนทางด้านของพิมที่ได้ยินแบบนั้นเองก็เริ่มชูมือชูไม้ดีอกดีใจอย่างออกนอกหน้า หากไม่ใช่เวลาที่ต้องจริงจังพิมก็ติดเล่นจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นลูกคุณหนู แต่อย่างน้อย ๆ นั่นก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าพิมที่ดูเหมือนจะหงุดหงิดมาจนถึงเมื่อกี้กลับมาเป็นปกติแล้ว

อย่างไรก็ดี… ในระหว่างที่ทัตกับฝ้ายตกลงกันได้แล้ว ก็ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสิ้นพอดิบพอดี

“เอ้า ๆ ถ้าจะมาด้วยกันก็รีบขึ้นรถซะ” สินที่อยู่ใกล้ ๆ จึงเดินเข้ามากระตุ้นให้ทัตขึ้นรถ

“อย่าเป็นตัวถ่วงล่ะเข้าใจไหมยะ!?” เช่นเดียวกันกับกิฟ ดูท่าสองคนนี้จะเครื่องร้อนกันสุด ๆ ดูจากชุดเต็มยศชุดเดียวกับเมื่อวานพร้อมอาวุธคู่ใจในมือก็รู้ แม้แต่คนอื่นเองก็เช่นกัน

“รู้แล้ว ๆ จะพยายามไม่ให้เป็นแบบนั้นแล้วกัน” ทัตว่าแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูเป็นมิตร เพราะอย่างน้อย ๆ คนพวกนี้ก็เป็นเพื่อนของฝ้ายเขาเลยไม่มีเหตุผลให้ต้องระแวดระวัง

“เราเองก็ไปกันเถอะพิม”

“อื้ม ๆ!” พอทัตว่าอย่างนั้นพิมก็เดินตามมาติด ๆ ในทันที ด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงร่าเริงแบบสุด ๆ

จึงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ทัตมั่นใจว่าพิมน่าจะหายโกรธเรื่องเมื่อกี้แล้ว แต่ว่า…

“โอ๊ย!” ในตอนที่คิดแบบนั้นก็ถูกพิมหยิกต้นแขนเข้าให้จนถึงกับน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว

“เมื่อกี้นี้ กับคุณหมอนิวน่ะ… แอบดีใจใช่ป่ะ?”

ก่อนจะพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม… แต่สีหน้ากลับไม่ได้ยิ้มตาม เพราะไม่งั้นเส้นเลือดคงไม่ปูดโปนบนหน้าผากของเธอหรอก

“เดี๋ยวสิ เรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดของฉันไม่ใช่เหรอ?” ทัตพยายามเฉไฉไปทางนั้น ซึ่งก็จริงของเขานั่นแหล่ะ

“ฮึ! ไม่รู้ไม่ชี้”

แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่คำตอบที่พิมอยากได้ยิน เธอเลยเบือนหน้าหลบก่อนจะทำแก้มป่องหน้าแดงก่ำคลับคล้ายคลับคลาเหมือนตอนหึงมิ้นที่เขามาใกล้ชิดเขาหลังเลิกเรียนทุกวันนั่นแล

เห็นแบบนั้นทัตก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามง้อไปเรื่อยในระหว่างการเดินทางโดยหวังว่าพิมจะหายโกรธ

ในขณะที่ฝ้ายเองก็กำลังทำแก้มโป่งงอนตุ๊บป่องมาตลอดตั้งแต่โดนคุณหมอนิวจี้จุดอ่อนก็ยังคงหงุดหงิดไม่หายเหมือนกัน

ต่างกับพิมก็ตรงที่ไม่มีทัตมาตามง้อนี่แล ฝ้ายก็เลยยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

❖❖❖❖❖