โดยปกติแล้ว การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นขบวนในสถานการณ์ปกติไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับนักเรียน ม.ปลาย ธรรมดา อย่างน้อยก็สำหรับทัตกับพิมที่เคยมีเรื่องแบบนี้กับแค่การนั่งขบวนรถทัวร์ไปทัศนศึกษาเท่านั้น

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนนั่งขบวนรถที่ให้อารมณ์จริงจังเหมือนกับจะไปรบ ด้วยความที่แต่ละคนไม่ว่าจะเป็นสินที่นั่งกอดอก หรือกิฟที่นั่งเอามือจับด้ามกระบองเหล็กยักษ์ไว้ตลอดเวลา

หรือเบลที่ถือมีดพร้อมไว้ในมือแม้แต่ตอนนี้

จะคิวที่ไม่วางหอกในมือแม้ซักวินาที หรือลินดาที่เอาแต่มองวิวรอบนอกตลอดเวลาในขณะที่ตัวรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

รวมถึงฝ้ายที่ดูเหมือนจะนั่งสงบนิ่งตลอดเวลา แต่สายตาก็ยังคงสอดส่องไปทั่วและรับสัมผัสภายนอกอยู่ตลอด

เพราะงั้นถ้าว่ากันตามตรง… ดูจากสภาพของทุกคนที่เตรียมพร้อมสำหรับการสู้กับพวกมอนสเตอร์ได้ตลอดเวลาแบบนี้ บรรยากาศมันก็ไม่ได้ต่างจากการไปออกรบเท่าไรนักหรอก

และอาจเป็นเพราะบรรยากาศมันตึงเครียดขนาดนั้น แถมพอได้นั่งอยู่ในรถบรรทุกโดยสารที่เปิดโล่ง เลยทำให้มองเห็นตึกรามบ้านช่องที่มีหลายหลังถูกทำลายจนเละไม่มีชิ้นดี บางส่วนมีควันลอยคลุ้งไหม้เหลือแต่ตอตะโก บ้างก็มีศพประชาชนคนธรรมดาเกลื่อนข้างถนน รวมถึงรอยเลือดเปรอะเปื้อนเต็มตึกเต็มกำแพงไปหมด

องค์ประกอบทั้งหมดนั่นเลยพาลทำให้ทั้งทัตและพิมวิตกกังวลตามไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นหวาดระแวง พวกเขาก็แค่ระวังตามสมควร

“เมืองมันเงียบเกินไปรึเปล่านะ เพิ่งผ่านไปคืนเดียวเองไม่ใช่เหรอ?” ทัตเอ่ยถามฝ้ายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพราะบรรยากาศข้างนอกรถมันดูเงียบเกินไปนั่นแหล่ะ

“ไม่แปลกหรอกค่ะพี่… เดิมทีมอนสเตอร์พวกนี้มันฆ่าคนธรรมดาได้ง่าย ๆ อยู่แล้วค่ะ” ฝ้ายตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาจนน่ากลัว แต่นั่นคือสิ่งยืนยันว่ามันเป็นเรื่องปกติ

“ก็นะ… นายเองก็น่าจะเคยดูหนังซอมบี้ใช่ไหมล่ะ? นี่ก็คล้าย ๆ กันแต่มอนสเตอร์มันแข็งแกร่งกว่าเยอะ เมืองจะล่มสลายในคืนเดียวมันก็ไม่แปลกหรอก” เบลเอ่ยขึ้นถัดจากฝ้าย

“ถ้าเปรียบอย่างนั้น ก็ใช่แฮะ”

ทัตเห็นภาพตามที่เบลบอก ถึงอันที่จริงถ้านึกดูจากคืนแรกที่เกิดเรื่อง ความรุนแรงของเหตุการณ์มันก็ประมาณนี้อยู่แล้วจึงไม่น่าจะแปลกใจอะไรแท้ ๆ ที่ทัตถามจึงเป็นเพราะเขาไม่อยากจะเชื่อมากกว่า

อย่างไรก็ดี… ทัตรู้สึกแปลกใจมากที่เบลเข้าร่วมวงสนทนาด้วย เพราะจากที่เห็นมาตลอดเธอน่าจะเป็นคนเงียบ ๆ ที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ทัตจึงเห็นได้ชัดเลยว่าตนคิดผิด

“ตะ แต่ว่าก็มีโอกาสที่จะมีคนรอดอยู่นะคะ… อย่างคนที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านน่ะค่ะ” อีกคนที่ทัตไม่คิดว่าจะเข้าร่วมบทสนทนาก็คือเด็กสาวขี้อายอกโตอย่างลินดา แต่เห็นได้ชัดเลยว่าเธอพูดตะกุกตะกักมาก

“นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราเคลื่อนตัวกันช้าเหรอ?” ทัตเอ่ยถามลินดากลับหลังจากที่สังเกตเรื่องนี้มาตั้งแต่ขบวนออกตัว

“กะ ก็ด้วยค่ะ… แต่สาเหตุหลัก ๆ คือเพื่อไม่ให้ดึงดูดมอนสเตอร์เข้ามาระหว่างการเดินทางมากกว่าน่ะค่ะ” ลินดาตอบทัตอีกครั้งด้วยอาการเกร็ง ๆ เหมือนกับก่อนหน้านี้

ดูท่าเธอคนนี้จะแตกต่างจากเบล ลินดาเป็นคนที่แสดงออกอย่างซื่อตรงว่าไม่คุ้นเคยและกลัวคนแปลกหน้าอย่างทัต

แต่ทั้งที่ยังกลัวทัตอยู่ เธอก็ยังอุตส่าห์ช่วยแถลงไขในสิ่งที่เขาไม่รู้ให้ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเป็นคนมีน้ำใจเอาเรื่อง

“อย่างนี้นี่เอง ขอบใจนะ” เพราะแบบนั้นทัตก็เลยต้องรักษามารยาทกับเธอเสียหน่อย

“ยะ ยินดีค่ะ…”

ลินดาพอได้รับการตอบรับแบบนั้นก็ยิ้มออกมาทันที ดูท่าว่าเธอจะเป็นคนที่มีความสุขเวลาได้ช่วยคนอื่นแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะไม่อย่างนั้นคนขี้กลัวอย่างเธอคงไม่กล้าทำงานการกุศลที่ต้องเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่มีผลตอบแทนอย่างนี้หรอก

แต่ยังไงก็ตาม… ทัตสังเกตเห็นอยู่ว่าไม่รู้ทำไมตอนที่ลินดาคุยกับเขา สินถึงจ้องเขาตาเป็นมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเสียขนาดนั้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้สบตาด้วยเพราะไม่ได้อยากชวนทะเลาะ

และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทัตมีคนที่ต้องให้ความสนใจมากกว่าเพราะเป็นคนที่จ้องทัตตาเป็นมันอีกคน

“นี่… ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ” ทัตรู้แบบนั้นเลยกระซิบถามพิมที่จ้องเขาตาเป็นมันมาตลอดและนั่งติดอยู่กับเขาคนละฝั่งกับฝ้าย

คิ้วของเธอยังคงขมวดเข้าด้วยกันในทุกครั้งที่เขาคุยไปยิ้มไปกับสาว ๆ คนอื่น แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นแค่การแสดงสีหน้าตามมารยาทก็ตาม

“ฉันเองก็พูดไปแล้ว… แต่มันไม่ใช่ความผิดของฉันไม่ใช่เหรอ” ทัตก็เลยยืนยันแบบนั้นไปอีกครั้ง เพราะว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ตัวเขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิด

ใจจริงทัตก็อยากจะบอกว่า “ฉันไม่คิดแตะต้องผู้หญิงคนอื่นนอกจากเธอหรอก” ให้มันรู้แล้วรู้รอด พิมจะได้ไม่เข้าใจผิดไปกว่านี้และจะได้สบายใจขึ้น

แต่แน่นอนว่ามันน่าอายเกินไปที่จะพูดต่อหน้าคนอื่น เขาก็เลยไม่ได้พูดออกมา

“ฮึ่ย… นายนี่มันไม่ได้เข้าใจอะไรเลยนะ” ยังไงก็ตาม ดูเหมือนสาวเจ้าอารมณ์อย่างพิมจะไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะในตอนที่กำลังหงุดหงิดไม่หายอย่างนี้

“ใช่ นายไม่ผิด เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ… แต่ฉันก็โกรธอยู่ดีอ่ะ!”

“งะ ไหงงั้นล่ะ…”

กับคำพูดไร้เหตุผลของพิมด้วยสีหน้างอนแก้มป่องไม่รู้สึกรู้สา ทัตก็เริ่มรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมา

แต่แน่นอนว่าทัตกลัวเกินกว่าจะโกรธเธอกลับไป ท่าทางหงอย ๆ ของเขาเลยกลายเป็นที่จับตาของทุกคนในรถด้วยสายตาสงสารไปตาม ๆ กัน รวมถึงฝ้ายด้วย

อย่างไรก็ดี… ดูท่าพิมเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น เธอเลยถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียดราวกับว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะพูดเปิดใจกับทัต

“คือว่านะ… ก็รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นปฏิกิริยาปกติของคนเราเวลาเจอของที่กระตุ้นง่ายแล้วรู้สึกดีแบบนั้นน่ะ” พิมเริ่มเปิดประเด็น ทำให้ทัตตั้งใจฟังเธอเต็มที่เพราะกลัวจะโดนโกรธอีก

“ฉันจะยกตัวอย่างให้ฟังละกัน… ถ้าเกิดมีผู้ชายที่ไหนไม่รู้ แบบว่าหล่อโคตร ๆ มาโอบไหล่ฉันต่อหน้านายแล้วฉันดันยิ้มพอใจออกมาอย่างงี้ เป็นนายจะโกรธป่ะล่ะ?”

พอพิมยกตัวอย่างแบบนั้นปุ๊บ น่าแปลกที่มันง่ายมากในการจินตนาการภาพตามที่บอก

อาจเพราะแบบนั้นก็ได้ คิ้วของทัตถึงได้กระตุกอย่างแรงในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ไหล่ของเขาเกร็งอย่างเห็นได้ชัดแถมสีหน้ายังบ่งบอกได้เลยว่ายั๊วสุด ๆ แม้จะไม่รู้ว่าทัตกำลังโกรธใครอยู่ก็เถอะ

ให้ตายสิ… ถึงจะน่าหงุดหงิด แต่ก็เป็นอย่างที่พิมว่าเลยแฮะ

ถึงแม้เรื่องบางอย่างมันจะไร้เหตุผล และไม่ควรจะโกรธ แต่เราก็กลับโกรธเพราะอารมณ์มีอำนาจอยู่เหนือเหตุผลและควบคุมไม่ได้

ตอนนี้เราเข้าใจเรื่องนี้แล้ว… เข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมเธอถึงโกรธ

นี่ยังไงเราก็เถียงไม่ชนะพิมเลยสินะเนี่ย… ผู้หญิงอะไรกัน จะสุดยอดเกินไปแล้ว

ทัตที่ได้เห็นผลลัพธ์เมื่อลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่กลับกันระหว่างเขากับพิมแล้วก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของพิมในตอนนี้ขึ้นม รู้แบบนั้นก็มีแต่ต้องยอมรับว่าพิมเป็นฝ่ายถูก

เพราะหากตัวเขาเองยังรู้สึกโกรธในเรื่องไร้เหตุผลแบบนั้นได้ จะไปว่าคนอื่นด้วยเรื่องเดียวกันมันก็ยังไงอยู่

“เห็นไหมล่ะ? สุดท้ายคนเราก็ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เพราะงั้นถึงนายจะไม่ผิดก็เถอะ แต่ถึงฉันโกรธมันก็ไม่ผิดเหมือนกัน” พิมว่าแบบนั้นพร้อมกับชี้นิ้วใส่ทัตที่นั่งติดกัน ความมั่นคงในแนวความคิดของตัวเองแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมีได้ง่าย ๆ

ทัตถึงได้รู้สึกเคารพพิม และในขณะเดียวกันก็หลงใหลในสิ่งนั้นของเธอด้วย

กับตัวเขาที่ไม่เคยกล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดเพราะกลัวผลกระทบที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการโดนคนรอบข้างโกรธหรือเกลียด เนื่องจากมันจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกับคนรู้จัก

เพราะแบบนั้น… เทียบกันแล้วพิมคงเป็นอุดมคติที่ทัตอยากจะเป็นก็คงไม่ผิดนัก เขาถึงได้รู้สึกหวงแหนเธอมากกว่าอะไร รวมถึงคิดว่าจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาสายสัมพันธ์นี้เอาไว้ด้วย

“เข้าใจแล้ว ยังไงก็ขอโทษจริง ๆ นะ” ทัตจึงไม่ลังเลที่จะยอมเอ่ยขอโทษจากใจเป็นครั้งแรก เขาทำแบบนั้นพร้อมกับเอื้อมมือไปสัมผัสมือของพิมด้วย ก็จริงที่มันกะทันหัน แต่พิมกลับไม่ได้รู้สึกตกใจมากไปกว่าดีใจที่ทัตยอมเธอ

เพราะสำหรับมนุษย์คนนึง การยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดมันเป็นเรื่องยากยิ่ง

และสำหรับหญิงสาวคนนึง… คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าดีใจไปกว่านี้อีกแล้ว ที่ชายคนที่เธอรักสามารถทำได้แม้แต่เรื่องยาก ๆ แบบนั้นเพื่อเธอ

เพราะทัตสามารถยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายแพ้… เป็นคนที่พยายามรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นมากกว่าจะมาสนความพอใจของตัวเองแบบนี้อันเป็นสิ่งที่พิมไม่สามารถทำได้ เธอถึงได้รู้สึกชื่นชมและหลงไหลทัตในจุดนั้น

และมันก็ช่วยทำให้พิมเรียนรู้ที่จะทำแบบเดียวกันกับทัตด้วย

“ให้ตายสิ… ฉันหงุดหงิดตัวเองจริง ๆ ที่ดันยกโทษให้นายง่าย ๆ เนี่ย” พิมถึงได้พ่นลมออกจมูกอีกครั้งเหมือนไม่พอใจ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้นแน่ ดูจากแก้มที่แดงระเรื่อกับรอยยิ้มที่กำลังฉีกจนหุบไม่ลงก็รู้

“ใจดีจังเลยนะ ขอบใจนะพิม” ทัตเองก็รู้แบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มให้กับความน่ารักน่าชังของเธอ

“ฮึ”

พิมที่หายโกรธสนิทแล้วในตอนนี้ไม่เหลืออะไรนอกจากความดีใจ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังทำเป็นพ่นลมออกทางจมูกเหมือนกับยังไม่พอใจอยู่

ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากกลบเกลื่อนความดีใจที่อยู่ในอกนั่นแล ใจจริงเธออยากจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นเสียด้วยซ้ำที่ถูกทัตใจดีด้วยขนาดนั้น

“อะแฮ่ม!” แต่ที่ทำแบบนั้นไม่ได้ก็เป็นเพราะในรถมีคนอื่นอยู่ด้วย… เสียงกระแอมของฝ้ายที่นั่งอยู่ข้างทัตด้วยสีหน้าเอียงอายคือสิ่งที่ช่วยเรียกสติของทัตกับพิม

“คือว่า… ตรงนี้มีพวกเราอยู่ด้วยนะครับ”

เช่นเดียวกับคิวที่พูดพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ และคิดว่าเขาคงทำแบบนั้นมาสักพักแล้วแต่หาโอกาสพูดขัดทัตกับพิมไม่ได้เสียที

ไม่สิ… อันที่จริงทั้งกิฟและเบลที่มองมาทางทัตกับพิมด้วยความสนใจราวกลั่นแกล้ง รวมถึงลินดาที่ประหม่าไม่เบาเพราะเหมือนเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเกิดขึ้นต่อหน้าเองก็คงเหมือนกัน

ถึงตรงนี้ทัตกับพิมก็รู้สึกตัวแล้วว่าพวกเขาเผลอหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวกันแค่สองคน

และด้วยความสัตย์จริง… เมื่อครู่พวกเขาลืมไปเสียสนิทว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย มันถึงรู้สึกน่าอายจนแทบอยากจะมุดดินหนีเมื่อถูกคิวพูดแทงใจดำแบบนั้น

“เหม็นกลิ่นความรักว่ะ… นี่พวกเราอยู่ระหว่างลาดตระเวนนะเฮ้ย! ตั้งใจหน่อยสิวะ!”

ยิ่งได้ยินคำพูดแสดงความหงุดหงิดจากสินเข้าไปด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงนั่นแหล่ะทัตกับพิมเลยเถียงไม่ออก ความรู้สึกอายเลยแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดไปแทน

“ขอโทษทีนะ วันหลังพวกเราจะระวังกว่านี้” ทัตขอโทษไปตามตรงเพราะไม่มีอะไรจะแก้ตัว สีหน้าของเขารู้สึกผิดอย่างปากว่าจริง ๆ แถมยังโค้งตัวให้สินด้วย เจอแบบนั้นสินก็เลยได้แต่เดาะลิ้นเพราะรู้สึกโกรธทัตต่อไม่ลง

“…แต่ก็ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยนี่” ในขณะที่พิมนั้นตรงข้ามกับทัต

ไม่สิ… ที่จริงเธอเองก็รู้สึกผิดอยู่หรอก เพียงแต่ไม่พอใจที่ถูกตวาดใส่ก็เท่านั้นเอง จึงกลายเป็นอีกครั้งที่พิมทำหน้างอนตุ๊บป่องออกมา แต่หนนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ทัตหากแต่เป็นสิน

แถมดูเหมือนพิมจะไม่ได้ตัวคนเดียวเสียด้วย

“รังแกผู้หญิงเหรอ” คนแรกที่ช่วยพิมคือเบลที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงจังกึ่งหยอกล้อ

“นายนี่มันเหลือเกินจริง ๆ น้า” เช่นเดียวกับกิฟที่นั่งอยู่ติด ๆ กัน ดูท่านอกจากตั้งใจจะเข้าข้างพิมแล้ว พวกเธอยังตั้งใจจะยั่วโมโหสินด้วย

“ละ แล้วมันจะทำไมล่ะฟะ!” แต่ถึงจะถูกสองสาวรุม สินก็ไม่มีท่าทีจะยอมแพ้เลยสักนิด นี่คงเป็นบุคลิกของเขาที่ไม่คิดยอมคนอื่นง่าย ๆ ซึ่งก็เห็นกันอยู่

แต่ก็จนกระทั่ง…

“นะ นั่นสิคะ… ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงกันเลย พิมน่าสงสารออก”

“อึก… เรื่องนั้นมัน…”

แต่พอสินถูกลินดาพูดเตือนเท่านั้นแหล่ะ สินก็ถึงกับสะอึกกระตุกจนนิ่งไปเลย นั่นทำให้ทุกคนอมยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับสินที่เป็นได้แค่กระต่ายตัวน้อยต่อหน้าหญิงสาวที่ขี้กลัวที่สุดในกลุ่มอย่างลินดา

ท่าทางของเขายิ่งทำให้ทัตกับพิมที่เป็นสมาชิกใหม่รู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นสินทำตัวเหนียมขนาดนั้นมาก่อนแม้แต่กับฝ้ายเองก็ตามที

ไอ้แบบนี้มัน… หรือว่าเจ้าหมอนี่จะชอบลินดา————

“มอนสเตอร์ครับ! มีมอนสเตอร์อยู่หน้าขบวน!!!”

บรรยากาศแห่งความสงบสุขคงอยู่ได้ไม่ทันไร ความเป็นจริงอันโหดร้ายก็เข้ามาตะบันหน้าทุกคนจนปรับอารมณ์แทบไม่ทัน

แต่ถึงแบบนั้นก็ต้องทำ… คำพูดของคนขับรถจึงทำให้สมาชิกทุกคนในรถบรรทุกตื่นตัวขึ้นมา ในขณะที่ขบวนรถนั้นชะงักทันทีที่ได้ยินข้อมูลนั่นผ่านเครื่องมือสื่อสาร

“ทุกคนลงจากรถทันทีค่ะ!”

“ “ “ “ “ครับ! / ค่ะ!” ” ” ” ”

พอได้ยินคำสั่งของฝ้าย ทุกคนก็ส่งเสียงตอบรับในทันที แต่ในจังหวะที่ทัตกับพิมตอบกลับ ฝ้ายก็ลอดตัวเองผ่านช่องหน้าต่างออกจากตัวรถไปก่อนแล้ว

เธอเป็นคนแรกที่เห็นกลุ่มของมอนสเตอร์ที่ยืนขวางขบวนรถห่างออกไปประมาณ 30 เมตร

พวกมันเป็นมอนสเตอร์ประเภทกบที่มีขนาดยักษ์ ผิวสีน้ำเงินท้องสีขาว ตัวอวบอ้วนแต่ไม่มีกระดองแบบที่ทัตเคยเจ แต่ขนาดนั้นใหญ่กว่ามาก ส่วนสูงของมันราว 3 เมตรเห็นจะได้ ส่วนจำนวนนั้นมีอยู่ทั้งหมด 7 ตัว

ฟุ่บ!

สิ่งแรกที่ฝ้ายทำหลังเท้าลงถึงพื้นถนนแล้วไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการเรียกหอกคู่กายให้ออกมาปรากฏในมือ แล้วง้างไปด้านหลังทั้งที่ยังหันคมเข้าใส่เจ้ากบตัวหน้าสุดที่อยู่ห่างออกไป

“ย้า!!!”

ก่อนจะเขวี้ยงหอกในมือจนพุ่งทะยานออกมาราวกับนักกีฬาพุ่งแหลน

หอกสีดำอันวิจิตรนั่นพุ่งผ่านอากาศเข้าใส่เจ้ากบที่อยู่ตัวหน้าสุดอย่างไร้ความปราณีแถมยังสุดแรงเกิดของฝ้ายอีกต่างหาก ด้วยเหตุนั้น พริบตาที่ปลายคมหอกสัมผัสเข้ากับหน้าท้องนุ่ม ๆ ของเจ้ากบ ร่างของมันก็ถูกเจาะเป็นรูโหว่ในทันที

ไม่เพียงเท่านั้น… หอกยังคงพุ่งต่อไปจนเจาะร่างของเจ้ากบอีกตัวที่อยู่ข้างหลังด้วย กลายเป็นว่ามีกบยักษ์เคราะห์ร้ายถึงสองตัวในการโจมตีครั้งเดียวของฝ้าย

ยอดไปเลย… การโจมตีเดียวก็เก็บมอนสเตอร์เลเวล 60 ไปได้ถึง 2 ตัวพร้อมกัน

แถมเจ้าอาวุธที่ดรอปจาก Chivalry นี่ก็สะดวกจริง ๆ… เพราะในทันทีที่หอกขว้างออกไปถึงจุดที่พอใจแล้ว ฝ้ายก็สามารถสั่งให้มันหายไปแล้วเรียกกลับมาอยู่ในมือได้ทันทีด้วย

คงพูดได้แค่ว่าสมแล้วจริง ๆ ที่เป็นคนที่มีเลเวลสูงถึง 120

ทัตประเมินสิ่งที่ตาเห็นแล้วก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายกับความสามารถในการต่อสู้ของน้องสาวตัวเอง ในขณะที่ลงจากรถมาพร้อม ๆ กับพิมและพุ่งไปอยู่ข้าง ๆ ฝ้ายเรียบร้อย

“แต่จะว่าไป… เธอจะไม่ฟังเลเวลของพวกมันก่อนเหรอ?” ทัตเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ เพราะฝ้ายกระโจนลงไปสู้กับพวกนั้นโดยไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายอาจจะแข็งแกร่งกว่า

“หนูไม่คิดว่าเจ้ากบนั่นจะเก่งหรอกค่ะ… หรือต่อให้เก่ง แต่เรื่องที่ต้องจัดการพวกมันก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดีจริงไหมคะ?”

คำตอบของฝ้ายนั้นเถรตรง แต่ก็ถูกต้องและชัดเจน เรียกว่าเป็นการตัดสินใจที่เฉียบคมสมแล้วกับที่ทุกคนยอมรับให้เธอเป็นหัวหน้าทั้งที่ส่วนสูงและอายุน้อยกว่าทุกคนในกลุ่มแท้ ๆ

อย่างไรก็ดี… ศึกนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และเหล่าสมาชิกกลุ่มลาดตระเวนทุกคนเองก็รู้อยู่

“ถึงเวลาเอาจริงแล้ว!!!!”

คนแรกที่กระโจนออกไปหาพวกกบคือสิน เข้าตะโกนลั่นราวกับท้าทายพวกกบ และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้พวกมันที่เหลืออีก 5 ตัวหันมามองเขากันหมด

สิ่งที่สินทำคือการถีบพื้นเข้าสู่ระยะประชิดก่อนจะง้างดาบไทยไปข้างหลังแล้วจ้วงแทงใส่ท้องนุ่ม ๆ ของเจ้าตัวที่อยู่หน้าสุดจนเครื่องในของมันไหลออกมาก่อนจะกรีดเปิดท้องของมันอีกต่อจนเลือดของมันสาดกระเซ็นไปทั่ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่าการโจมตีของสินรุนแรงมากขนาดไหนทั้งที่เขายังไม่ได้เคลือบด้วยเวทมนตร์ด้วยซ้ำ

“ไปตายซ้าาาาาาา!!!!”

อีกคนที่พุ่งเข้ามาด้วยกันคือกิฟที่เป็นสายแนวหน้าเหมือนกัน

เธออาบกระบอกเหล็กในมือตัวเองด้วยเวทไฟซึ่งเป็นเวทโจมตีที่อานุภาพรุนแรงที่สุด สิ่งที่บ่งชี้ในเรื่องนั้นคือ พริบตาที่กระบองอาบเพลิงของกิฟเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับเจ้ากบยักษ์ มันก็กระเด็นไปหลายตลบก่อนที่จะหงายท้องมองดูดาวในสภาพที่ท้องไหม้ดำปี๋

เมื่อศัตรูหายไป 2 ย่อมเหลืออีก 3

และอีกสามตัวที่เหลือก็อาศัยจังหวะที่แนวหน้าทั้งสองอย่างสินกับกิฟโจมตีพวกตัวเองพุ่งเข้าไปหาพวกทัตที่ดูท่าทีอยู่แนวหลังแทน ทั้งอย่างนั้นฝ้ายกลับไม่มีท่าทีจะทำอะไรจนรู้สึกว่าทัตกับพิมจะต้องออกโรงเอง

แต่ก่อนหน้าที่จะเป็นแบบนั้น เบลก็เดินนำหน้าพวกทัตออกมาก่อน

ในมือของเธอมีมีดสั้นแบบเดียวกับที่เธอลับคมมาตลอด มันคาบอยู่หว่างนิ้วในมือของเธอทั้งสองข้างรวมแล้วทั้งหมด 6 เล่มออกมาจากที่เหน็บไว้ในฝักข้างลำตัวของเธอเอง

ฟุ่บ!

พริบตาถัดมา เบลสะบัดมืออย่างแรงเหมือนสะบัดน้ำหลังล้างมือ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มีดที่อยู่หว่างนิ้วของเธอคงจะเป็นหยดน้ำ

ไม่สิ… มันรุนแรงกว่าหยดน้ำแน่ ๆ เพราะถูกเสริมด้วยเวทลมทำให้มีดทั้งหมดพุ่งทะลวงสายลมเหมือนจรวด แถมยังพุ่งเข้าใส่ดวงตาของกบทั้งสามตัวที่เหลืออย่างแม่นยำจนมันเสียหลักและร้องออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

“ฝากด้วยนะลินดา” นั่นคือคำพูดสั้น ๆ ของเบลหลังกำจัดความสามารถในการมองเห็นของพวกมันที่เหลือไปแล้ว

“เข้าใจแล้วค่ะ!” เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กสาวที่เหลืออีกคนอย่างลินดาเดินออกมาเคียงกับเบล

น้ำเสียงของเธอไม่มีการสั่นเครือ มือที่ยืนออกมาแล้วเล็งไปยังกบทั้งสามตัวไม่มีการลังเล สิ่งที่ยืนยันได้ยิ่งกว่าอะไรคือลูกไฟที่ขนาดใหญ่พอ ๆ กับเจ้าพวกกบยักษ์จำนวนสามลูกที่ปรากฏขึ้น เธอร่ายมันในเวลาเพียงหนึ่งวินาทีเพื่อขยายขนาดของเวทยิงไฟให้มีขนาดมากกว่าแบบธรรมดา

ก่อนที่จะปล่อยให้มันพุ่งเข้าใส่กบยักษ์จนร่างของพวกมันอาบด้วยเปลวเพลิง ดูเหมือนผิวที่ชุ่มชื้นของมันจะทานทนความร้อนระดับนี้ไม่ไหว เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เขาว่า ‘น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ’

“ฮึ่ย… เจ้าพวกน่าขยะแขยง”

แต่พวกมันก็ยังไม่ได้ตายสนิทดี คนที่รับหน้าที่ไปซ้ำศพเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่ามันตายแน่แล้วคือคิวที่เดินไปแล้วเอาปลายหอกแทงใส่ท้องของพวกมันทุกตัว ดูท่าเขาจะหงุดหงิดนิดหน่อยตรงที่ไม่ค่อยได้แสดงฝีมือ

แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น… เพราะทัตรู้ว่าความเสียหายที่พวกกบได้รับจากเวทมนตร์นั้นไม่ได้ทำให้พวกมันตายทันที หากเทียบเป็นเกมพวกมันคงเสีย HP ไปประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดได้กระมั้ง

ด้วยเหตุนั้น การที่คิวสามารถใช้หอกฆ่ามันได้ในการโจมตีครั้งเดียวแม้จะไม่ใช่จุดตาย จึงเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าพลังของคิวคนนี้เองก็มีมากพอตัวเช่นกัน

ให้ตายสิ… ไม่ใช่แค่ฝ้าย แต่ทุกคนในกลุ่มเองก็แข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ๆ เลยแฮะ

สินเป็นพวกมุทะลุเหมือนกับกิฟ ดูไปแล้วเหมือนทำงานร่วมกันคนอื่นไม่ได้ แต่ก็รับหน้าที่เป็นแนวหน้าที่ดีให้กับเพื่อน

ในขณะที่เบล ลินดาและคิวเป็นแนวหลังที่คอยเก็บกวาดงานที่เหลือได้อย่างหมดจด

หรือต่อให้ทำไม่สำเร็จ แต่ก็ยังมีปราการสุดท้ายอย่างฝ้ายอยู่อีก

ทุกคนรู้จุดยืนของตัวเอง และเปลี่ยนมันเป็นจุดแข็งได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังประสานงานกันได้อย่างคล่องแคล่วแม้จะมีจำนวนคนไม่มาก

คงพูดได้แค่ว่าเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ แฮะ… น่าอิจฉาอยู่หน่อย ๆ นะเนี่ย

ทัตเห็นแบบนั้นแล้วก็อดคิดไม่ได้ เพราะตัวเขาหากจะว่ากันตามตรงคือเป็นพวกที่ไม่ชอบสร้างปฏิสัมพันธ์เกินความจำเป็น ดังนั้น การร่วมมือกับคนอื่นนอกเหนือจากคนที่สนิทด้วยอย่างพิมหรือฝ้ายจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเขา

ยิ่งกับเรื่องที่ต้องฝากแผ่นหลังให้กันในการต่อสู้ซึ่งต้องใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่าปกติแบบนี้ ก็ยิ่งแล้วใหญ่

“สุดยอดไปเลยนะ” ทัตรู้สึกจุกในอกด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง อาจเพราะแบบนั้น เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมออกมาตามตรง อย่างน้อยก็เพื่อคลายอารมณ์พวกนี้ออกเสียบ้าง

“เฮอะ! ของมันแน่อยู่แล้ว!”

“ไอ้พวกกี้ ๆ แบบนี้มันกระจอกจะตายไป”

และดูเหมือนจะมีคนยอมรับคำชมนั้นด้วย ซึ่งก็คือสินกับกิฟ… ถึงจะดูไม่ค่อยซื่อตรงเท่าไหร่ก็เถอะ

“แต่ถ้าพวกเขาเก่งกันขนาดนี้… เราก็ไม่มีจังหวะให้ออกโรงน่ะสิ” แต่ทั้งที่สถานการณ์มันน่าไว้ใจ พิมกลับรู้สึกเหงาหงอยไปแทนเสียนี่ ซึ่งก็ใช่ว่าทัตจะไม่เข้าใจเธอนักหรอก

“ฮะฮะ ก็คงอย่างนั้นแหล่ะ”

ทัตจึงหัวเราะอุบให้กับพิมที่เริ่มทำแก้มป่องอีกครั้ง แต่คราวนี้เกิดจากเหตุผลน่ารักน่าชังเหมือนกับเด็กที่พลังงานล้นเหลือแต่กลับไม่มีอะไรให้ทำ

แต่อย่างไรก็ดี… เป็นเพราะตอนนี้ได้เกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว จึงมีแนวโน้มที่จะถูกมอนสเตอร์โจมตีอีกได้ทุกคนเลยต้องเปลี่ยนแผน โดยการกระจายตัวไปรอบขบวนเพื่อสอดส่องมอนสเตอร์และเดินไปพร้อมกับขบวนแทนที่จะนั่งบนรถเหมือนก่อนหน้า

เพราะต้องบอกว่าคำพูดของสินกับกิฟนั้นเป็นความจริง มอนสเตอร์ที่เจอในหนแรกนั้นไม่ใช่ตัวอันตรายที่น่ากังวล แต่เพราะยิ่งเคลื่อนตัวก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเจอมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น และหากมันปรากฏตัวขึ้นมา การที่นั่งอยู่บนรถมันอาจไม่ทันการ

เพราะถึงจะพูดยังไงพวกคนขับก็เป็นแค่คนธรรมดา แถมเพราะขับรถอยู่ ทัศนวิสัยย่อมมีจำกัดในการสอดส่องรอบ ๆ

และเพื่อกำจัดจุดอ่อนนั้น พวกทัตก็เลยต้องรับหน้าที่เป็นคนคอยสอดส่องด้วยการล้อมขบวนรถเอาไว้นั่นเอง

และใช่… ข่าวร้ายก็คือระหว่างทางพวกเราก็เจอมอนสเตอร์เข้าอีกจริง ๆ

แต่พวกมันก็ไม่ได้ตึงมือมากถึงขนาดที่จะกำจัดไม่ได้หรือทำให้เราเสี่ยงตาย

แน่นอนว่าฉันกับพิมเองก็ไม่ได้มีปัญหากับพวกมันนัก

ไม่สิ… ที่จริงสำหรับพิมเองก็เป็นปัญหาอยู่

เพราะถ้าเทียบกับคนอื่นที่เลเวลเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ส่วนฉันเลเวล 60 พิมน่ะมีเลเวลแค่ 40 จึงยังถือว่าต่ำอยู่สำหรับศัตรูที่มีเลเวลประมาณ 60-70

ด้วยเหตุนั้น ฉันเลยจะเป็นแนวหน้าที่คอยจัดการเก็บกวาดงานของพิมให้ นั่นก็เพื่อให้พิมมีโอกาสได้รับค่าประสบการณ์ด้วยนั่นแหล่ะ เลเวลของเธอจะได้อัพขึ้นมาไว ๆ

และอันที่จริงก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวด้วยที่ดูแลเธออยู่… ฝ้ายเองก็เป็นอีกคนที่มองเราสองคนอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ตลอดที่เดินเท้า

แน่นอนว่าสาเหตุคงไม่ใช่เรื่องอะไรอื่นนอกจากเป็นห่วงว่าการเดินเท้าเป็นเวลานานจะทำให้เรากลับมารู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผล

ซึ่งถ้าถามว่ารู้ได้ไง ก็เป็นเพราะว่าฝ้ายเข้ามาถามเองนั่นแหล่ะ ว่าอาการบาดเจ็บของฉันเป็นอะไรไหม

แต่เรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเลยสักนิด… ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณสเตตัสความสามารถทางกายของพวกเราที่ทำให้ตอนนี้พละกำลังเหนือมนุษย์มนาไปไกลโขแล้วนี่แหล่ะ

ถึงแบบนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้ฉันฉุกคิดเกี่ยวกับฝ้ายอยู่…

เพราะตามปกติตอนที่ฉันยังอยู่บ้าน ฝ้ายไม่ได้แสดงออกว่าเป็นห่วงฉันมากถึงขนาดนี้เลย

ตอนแรกก็คิดว่าเธอเป็นห่วงเพราะสถานการณ์มันอันตรายเฉย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะห่วงคนอื่นในตอนที่สถานการณ์มันสมควรให้เป็นห่วง…

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่นั้น ต่อให้ไม่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ฝ้ายก็ดูเหมือนจะเป็นห่วงฉันอยู่ตลอดเวลาจนเห็นได้ชัด แถมยังถามบ่อยมาก

อาจเพราะหนนี้พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดเพราะมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นด้วย ก็เลยสังเกตเห็นเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าปกติ

นั่นทำให้พอมานึกดู… ตอนที่อยู่บ้านฝ้ายเองก็เข้าหาฉันบ่อยครั้งด้วยเรื่องที่ไม่จำเป็นเยอะอยู่เหมือนกัน

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็เช่นว่า… อยากให้สอนการบ้านให้ ทั้งที่เป็นหัวข้อที่ตัวเองเข้าใจดีอยู่แล้ว

วันไหนที่พ่อแม่ไม่อยู่ก็อยากจะทำกับข้าวให้เรากินบ้างล่ะ พยายามจะช่วยงานบ้านที่เป็นหน้าที่ของเราบ้างล่ะ

หรือช่วงว่าง ๆ ก็ยังมีความพยายามที่จะชวนเราเล่นเกมด้วยกันบ้างล่ะ

ถึงช่วงหลัง ๆ จะมีน้อยลงเพราะเราเป็นฝ่ายตีตัวออกห่างไปอยู่นอกบ้านซะเองก็เถอะนะ

ซึ่งนั่นมันถือเป็นเรื่องแปลก สำหรับเด็กผู้หญิงที่ทำสีหน้าเย็นชาแถมยังแผ่บรรยากาศประมาณว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน” ตลอดเวลาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน

มันก็เลยพาลให้คิดมาตลอด ว่าฝ้ายเข้าหาเราด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่างมากกว่าเพราะเป็นห่วงหรืออยากสนิทกับเราจริง ๆ

ในช่วง ม.ต้นที่ฝ้ายปรับตัวเข้ากับพ่อและบ้านใหม่ได้แล้ว เช่นเดียวกับที่พ่อเองก็ปรับตัวเข้ากับคุณแม่และฝ้ายได้แล้วเหมือนกัน

ในขณะที่ฉันนั้นยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาตลอดตั้งแต่ตอนที่พ่อแต่งงานใหม่ เลยไม่อาจสนิทใจกับคุณแม่ได้ และแน่นอนว่าฝ้ายที่เป็นลูกสาวเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันด้วย

ตลอดมาฉันเลยอดคิดไม่ได้… ว่าที่ฝ้ายพยายามตีสนิทฉันก็เป็นเพราะเธออยากจะรักษาความสัมพันธ์ของบ้านใหม่ที่เธอมีเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้ทำเพราะเป็นห่วงฉันหรืออยากจะสนิทกับฉันจริง ๆ แต่อย่างใด

เพราะงั้นก็เลยไม่ได้รู้สึกสนิทใจกับฝ้ายเท่าไหร่นัก… แต่ในขณะเดียวกันก็ทำใจไม่ชอบเธอไม่ลงเหมือนกัน เพราะมันก็เป็นไปได้อยู่ว่าเธออยากจะสนิทกับฉันจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพราะว่าทำไปเพื่อให้คนในบ้านอย่างพ่อหรือแม่สบายใจเสมอไป

อยากจะสนิทกว่านี้ก็ทำไม่ได้เพราะติดข้องใจ หรืออยากจะหายหน้าตัดขาดกันไปเลยก็ทำไม่ได้เพราะรู้สึกเห็นใจเธอที่พยายามเข้าหา หรือต่อให้เธอไม่ได้ทำเพราะเป็นห่วงแต่ฉันก็อยากตอบแทนเธอความใจดีของฝ้ายบ้างอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นในฐานะของพี่ชายที่ไม่ได้ดีเด่อะไรนัก

เพราะความรู้สึกของฉันมันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนั้นแหล่ะ… ก็เลยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเวลาอยู่กับฝ้ายตลอดมา

แต่ต้องขอบคุณเหตุการณ์มอนสเตอร์บุกนี้… ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้เห็นฝ้ายเผยความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อฉันออกมามากขนาดนี้

ยิ่งได้รู้ด้วยว่าเธอแอบปกป้องฉันมาตลอด แถมยังสั่งลูกน้องอย่างมิ้นให้ปกป้องฉันอยู่หลังฉากแม้จะเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด ทั้งที่ต่อให้ฉันตายฉันก็จำอะไรไม่ได้แท้ ๆ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องฉัน

เพราะงั้นมันก็เลยทำให้ฉันคิดว่าบางที… ฝ้ายอาจจะเป็นห่วงฉันและอยากสนิทกับฉันจริง ๆ ก็ได้

ถึงแม้จะไม่เข้าใจก็เถอะ ว่าทำไมเธอถึงได้ยึดติดที่อยากจะปกป้องเราขนาดนี้กัน

ว่าตามตรง… ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันก็เถอะ แต่การจะหาคนที่คอยเอาใจใส่กันขนาดนี้ก็ยังนับว่าหายากมาก

แล้วนี่เรากับฝ้ายยังไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกันด้วย… มันถึงเป็นเรื่องแปลกที่เธอไว้ใจเราและเข้าหาเราตั้งแต่ช่วงที่พบกันใหม่ ๆ ทั้งที่ครั้งแรกออกจะไม่อยากคุยกับเราด้วยซ้ำแท้ ๆ

นี่เลยเป็นปริศนาที่ยังไขไม่กระจ่าง… และจนกว่าจะรู้ว่าทำไมฉันก็คงจะกลัวฝ้ายต่อไป

…กลัวว่าสุดท้ายแล้วเธอจะไม่ได้เป็นห่วงและอยากสนิทกับฉันจริง ๆ

เพราะถ้ามันกลายเป็นว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่คิดว่าเธอเป็นครอบครัว… มันก็คงจะเจ็บปวดเอาเรื่องแหล่ะนะ

ทัตคิดแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

เขาได้แต่บ่นว่า “ฉันช่างเป็นคนขี้น้อยใจอะไรขนาดนี้นะ” เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว

แต่พอมานึกดู ทัตย่อมมีเหตุผลที่จะให้อภัยตัวเองในเรื่องนั้นอยู่แล้ว… อย่างน้อย ๆ ก็เป็นความชอบธรรมในเรื่องที่อดกลั้นความไม่พอใจของตัวเองเพื่อให้ครอบครัวทั้งสามคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขแม้จะไม่รวมตัวเขาอยู่ในนั้นก็ตาม

นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ไม่สิ… นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกและเก็บอยู่ในอกของเขามาตลอด ความรู้สึกนี้จึงมักจะปะทุขึ้นมาในทุกครั้งที่มองหน้าหรือสังเกตสังกาฝ้ายที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้

“มีอะไรรึเปล่าคะ?”

แต่ดูเหมือนจะมองมากเกินไปหน่อย… มากพอให้ฝ้ายที่เดินอยู่ข้างขบวนรถห่างออกไปข้างหน้าของทัตกับพิมพอสมควรสังเกตเห็นว่าทัตกำลังจ้องเธออยู่

“เปล่าหรอก โทษทีนะ” แน่นอนว่าทัตไม่บอกหรอกว่าคิดอะไรอยู่ เขาจึงขอโทษกลบเกลื่อน

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยค่ะ” แต่ที่ได้กลับมาจากฝ้ายกลับเป็นการส่ายหน้าเบา ๆ

เพราะสำหรับฝ้ายนั้น เธอไม่ได้ไม่ชอบใจที่โดนทัตจ้อง

หรือถ้าจะให้พูด… อันที่จริงเธอชอบใจด้วยซ้ำ เพียงแต่สงสัยเท่านั้นเอง

“หัวหน้า ถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว” คำพูดของเบลที่อยู่ด้านหน้าของฝ้ายอีกทอดหนึ่งช่วยดึงสติให้ฝ้ายกลับมาสนใจสถานการณ์ ดูเหมือนตอนนี้การเดินทางจะมาถึงจุดหมายของวันนี้แล้ว

หลังจากเดินทางผ่านลานจอดรถของซุปเปอร์มาร์เก็ตจนมาถึงทางเข้าห้าง ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติที่จอดขบวนรถสี่คันไว้ที่หน้าทางเข้าคงจะโดนคนอื่นโกรธเป็นแน่แท้ แต่แน่นอนว่าไม่มีปัญหา เพราะแม้แต่ยามเองก็นอนเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ในห้องยามหน้าทางเข้าไปแล้ว

“กิฟ เบลแล้วก็ลินดาคอยปกป้องขบวนรถอยู่ตรงนี้นะคะ… ส่วนที่เหลือตามฉันเข้าไปช่วยกันขนของที่จำเป็นมาขึ้นรถกันค่ะ”

“ “ “ “ “รับทราบ!” ” ” ” ”

ทุกคนขานรับคำสั่งของฝ้ายในทันที หนนี้ทัตกับพิมเองก็ขานรับได้ทันเหมือนกัน และดูท่าฝ้ายก็ยังคงตั้งใจจะเก็บทัตไว้ใกล้ ๆ ตัวอยู่เหมือนเดิมจึงสั่งให้เขาตามมาด้วย และแน่นอนว่าทัตไม่รู้เรื่องนั้น

ส่วนทางทัตนั้นเพียงแค่เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วก็หลิ่วตาตาม หลังจากได้เห็นว่าสมาชิกที่เหลืออย่างสินกับคิวเดินไปหยิบรถเข็นมาคนละคันเป็นการเตรียมพร้อม เขากับพิมก็ไม่คิดทำให้คนอื่นเสียเวลาจึงเดินไปดึงรถเข็นออกมาจากที่เก็บซ้อนกันไว้พร้อมกับฝ้ายเช่นกัน

นั่นเลยทำให้ตอนนี้ทัต พิม ฝ้าย สินและคิวกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของประตูห้าง โดยนอกจากอาวุธประจำกายแล้วก็มีรถเข็นประจำตัวกันหมดทุกคน

แต่ทั้งอย่างนั้นกลับไม่มีใครเป็นคนนำเข้าไปในตัวห้างก่อนสักทีด้วยสาเหตุที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจแต่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลย

นั่นเพราะมีสัญญาณไม่ดีมาตั้งแต่ทางเข้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ถูกทำลายจนแหลกเป็นชิ้น ๆ แถมด้วยการโจมตีที่มีรอยคมบาดลึกเหมือนใช้ใบมีดยักษ์วาดผ่าน จึงทำให้คิดได้ว่าที่นี่อาจมีตัวอันตรายอยู่ขึ้นมา

“ฉันใช้สกิลพรางกายให้ทุกคนก่อนเข้าไปดีไหม”

“…หนูคิดว่าเป็นความคิดที่ดีค่ะ”

พอได้ยินข้อเสนอของทัตฝ้ายก็พยักหน้าตอบรับในทันที ดูท่าเธอเองก็กำลังคิดแบบเดียวกับทัตและกำลังจะออกปากขอ เพียงแต่ในช่วงระยะเวลาที่ลังเลก็ดันถูกทัตพูดตัดหน้าเสียก่อน

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับฝ้าย เพราะสำหรับเธอแล้วมันรู้สึกเกรงใจเอามาก ๆ ที่ต้องขออะไรทัตแต่ละอย่าง เพราะไม่รู้ว่ามันจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับเขารึเปล่า

“หวังว่าจะไม่เจอมอนสเตอร์อะไรโหด ๆ นะ” พิมบ่นโอดโอยแบบนั้นในขณะที่ทัตเริ่มร่ายสกิลพรางกายให้กับเธอ

“หนูไม่อยากทำลายกำลังใจหรอกนะคะ… แต่ถ้านับจากจุดที่ผู้มีพลังอย่างเราอยู่ในตอนเกิดเรื่อง ที่นี่จะมีมอนสเตอร์ที่โหดกว่าบนถนนก็ไม่แปลกหรอก” ฝ้ายพูดแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้พิม ทำให้พิมยิ้มแหย ๆ ตอบกลับมา

“เพราะแบบนั้นถึงต้องใช้สกิลพรางกายไง” ในขณะที่ทัตเอ่ยให้กำลังใจพิมในขณะที่ร่ายสกิลใส่ฝ้ายบ้าง

“อื้ม! นั่นสินะ”

ได้ยินคำพูดพร้อมกับรอยยิ้มปลอบใจของทัตทำให้พิมใจชื้นขึ้นเยอะ เห็นชัดว่าทุกคนย่อมมีเวลาที่ไม่อยากจะยอมรับความจริงอยู่บ้างเป็นธรรมดา

“ทุกคนทิ้งรถเข็นไว้หน้าทางเข้าก่อนนะคะ… เดี๋ยวฉันจะเป็นคนนำเองค่ะ พี่พิมกับพี่ทัตตามหลังหนู ส่วนหลังสุดฝากสินกับคิวช่วยดูแลด้วยนะคะ”

“เข้าใจแล้ว” สินตอบกลับพอเป็นพิธีแต่ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งขัน

“ตามที่สั่งเลยครับ!”

ในขณะที่คิวนั้นยิ้มพริ้มตอบรับเหมือนเพิ่งได้รับคำอวยพรจากเทพธิดา ไม่สิ… บางทีเขาคงคิดแบบนั้นจริง ๆ กระมัง

แต่ที่เหมือนกันเลยก็คือทุกคนทำตามที่ฝ้ายบอกอย่างว่าง่ายเหมือนกับที่ผ่านมา

หลังจากนั้นพวกเราก็เคลื่อนพลเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต

ต้องขอบคุณที่ทางเข้าถูกพังไปแล้ว ไม่อย่างนั้นในตอนที่เดินผ่านประตูอัตโนมัติมันก็จะมีเสียงเตือนตอนที่พวกเราเดินเข้าไป ซึ่งหากข้างในซุปเปอร์มาร์เก็ตมันมีตัวอะไรอยู่ เสียงนั้นก็จะดึงดูดให้พวกมันเข้ามาหา นับเป็นฝันร้ายได้เลย

พอผ่านบริเวณที่เป็นเคาน์เตอร์คิดเงินก็เริ่มจะเห็นศพของคนทั่วไป ทั้งแม่บ้านที่มาจ่ายตลาดรวมถึงพนักงาน

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย แต่พิมไม่นั้นค่อยรู้สึกอะไรกับภาพน่าสะอิดสะเอียนพวกนี้แล้ว บางทีคงชินแล้วล่ะมั้ง

แล้วก็… พูดแบบนี้คงจะเสียมารยาทกับคนตาย

แต่การได้เห็นวิธีที่คนพวกนี้ถูกฆ่ามันทำให้ประมาณการถึงคุณลักษณะของมอนสเตอร์ที่อยู่ที่นี่ได้พอประมาณ

อย่างแรกเลยก็คือแผลถูกฟันขนาดใหญ่… เห็นได้ชัดจากศพส่วนใหญ่ที่ถูกฟันขาดครึ่งท่อน

บางศพนั้นถูกเหยียบจนพื้นแตกทำให้เห็นรอยเท้าเป็นกีบยักษ์… นี่ก็ประเมินความสูงของศัตรูได้เหมือนกัน

“ฝ้าย”

“ค่ะ”

ทัตเอ่ยทักฝ้ายที่เดินนำหน้าเพราะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ลิบ ๆ บริเวณชั้นวางสินค้าที่อยู่ห่างออกไป แต่ดูเหมือนว่าฝ้ายเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน

และอันที่จริง… คิดว่าทุกคนในกลุ่มเองก็สังเกตได้แล้วตั้งแต่ที่พื้นดินมีการสั่นไหวเป็นพัก ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ แต่มันมาชัดเจนเอาก็ตรงที่ได้มาเห็นร่างของศัตรูที่กำลังเดินพ้นชั้นวางสินค้าออกมา แถมยังใช้มือจับชั้นวางชั้นบนสุดจนขวดแก้วเครื่องปรุงตกลงมาแตกเต็มพื้นไปหมด

ร่างภายนอกของมันคล้ายกับมนุษย์ร่างกำยำที่มีร่างกายสูงใหญ่ถึง 5 เมตร แต่ผิวของมันมีขนสีน้ำตาลอิฐแดง เท้าของมันที่เป็นมนุษย์กลับมีกีบเท้าเหมือนสัตว์สี่ขา ที่น่ากลัวกว่านั้นคือหัวของมันไม่ใช่มนุษย์หากแต่เป็นกระทิงที่มีเขาสองข้างแหลมคมราวกับหอก

ยังไม่นับอาวุธคู่กายของมันที่เป็นขวานสองคมยักษ์ ใบมีดของมันกว้างใหญ่กว่ามนุษย์ผู้ใหญ่คนนึงเสียอีก ไม่แปลกใจเลยที่คนทั่วไปจะถูกมันผ่าออกเป็นสองซีกได้ง่าย ๆ บนใบมีดถึงเต็มไปด้วยคราบเลือดมากมายขนาดนั้น

ทัตเองก็เคยเห็นสัตว์ประหลาดรูปแบบนี้มาก่อน แต่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้เห็นของจริง จึงใช้สกิลวิเคราะห์เพื่อความยืนยันให้แน่ใจ แล้วผลลัพธ์ก็ปรากฏว่า…

คิงมิโนทอร์ (LV-95)

ประเภท : Boss

ความสามารถทางกาย: 171

สกิล: ทักษะจู่โจม (Knight) , เสริมพลังกาย , ซิกส์เซนส์

เวทมนตร์ : ไฟ

จุดอ่อน : ศีรษะ, เวทมนตร์ธาตุดิน น้ำ น้ำแข็ง

บอสอีกแล้วเหรอ!? แถมยังมีเลเวลมากกว่า 50 เลยมีสกิลของผู้ที่เกิดการตื่นด้วย!

แบบนี้ก็เหมือนกับเจ้าราชามนุษย์หมาป่าที่เรากับพิมหนีมาเมื่อวานซืนเลยน่ะสิ!

เวรแล้ว… นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลยนะเนี่ย

ทัตที่กำลังเหงื่อตกคิดแบบนั้นอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อได้เห็นสเตตัสของมอนสเตอร์ที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นอย่างนี้ นั่นรวมถึงพิมที่มีประสบการณ์พอ ๆ กับทัตด้วย

ไม่สิ… อย่าว่าแต่ทัตเลย… แม้แต่สิน และคิวเอง หรือแม้แต่ฝ้ายที่มีเลเวลสูงกว่ามัน พอได้เห็นรูปลักษณ์อันน่าเกรงขามรวมถึงอาวุธทรงพลังที่น่าหวาดหวั่นของมันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้าจนกัดฟันแน่นเหมือนกัน

ท่าทางของพวกฝ้ายที่ผิดกับตอนที่สู้กับมอนสเตอร์บนท้องถนนราวกับเป็นคนละคนจึงทำให้ทัตตระหนัก… ว่าต่อให้มีเลเวลสูงกว่ามอนสเตอร์มากแค่ไหน แต่กับบอสแล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ไว้วางใจได้อยู่ดี

และโชคร้ายเหลือเกินที่หนนี้ไม่มีทางเลือกในการหนีเหมือนกับครั้งที่แล้ว เพราะถ้าจะไปหาซุปเปอร์มาร์เก็ตอื่นที่ไกลจากนี่ มันก็ยิ่งเสี่ยงที่จะเจอกับมอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูงกว่าเจ้าตัวนี้เสียอีก ครั้นจะแอบคนของในขณะที่หลบเลี่ยงเจ้าตัวนี้ไปด้วยก็เสี่ยงเกินไป

ดังนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลือในตอนนี้… คือต้องสู้เท่านั้น

❖❖❖❖❖