หวังซีตบมือ “ดียิ่งแล้ว!”
นางไม่ได้กลัวว่าคุณหนูพานกับซือจูออกเรือนวันเดียวกันแล้วตัวเองจะเลือกไม่ถูก แต่รู้สึกว่าคุณหนูพานควรได้ออกเรือนอย่างมีความสุขและครื้นเครงถึงจะถูก การออกเรือนวันเดียวกับซือจูนับเป็นเรื่องอะไรกัน
อย่างไรก็ตาม จากเรื่องนี้ก็พอมองออกว่าตระกูลพานหาได้มีสถานะสูงส่งในสายตาของตระกูลหลิว ไม่อย่างนั้นแม้แต่เรื่องวันงานแต่งเช่นนี้จะไม่มีวันที่แน่นอนได้อย่างไร
นางอดเตือนสติคุณหนูพานเสียงอบอุ่นไม่ได้ว่า “เด็กสาวนั้นสินเจ้าสาวถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในอนาคตอันใกล้นี้ข้าตั้งใจว่าจะเปิดร้านเครื่องประทินโฉมในจิงเฉิงสักร้านหนึ่ง เจ้าอยากร่วมลงทุนด้วยหรือไม่”
หวังซีชอบที่คุณหนูพานเข้าใจอะไรอย่างปรุโปร่ง รู้สึกว่าทุกคนมาร่วมสร้างเงินทองด้วยกันได้
คุณหนูพานครุ่นคิดพลางกล่าว “มีใครร่วมบ้าง”
“พี่สาวเคอ” หวังซียิ้มตอบ “ทุกคนได้กำไรมาใช้จ่ายบ้างเล็กน้อย”
นี่เป็นถ้อยคำจากใจจริงของนาง
นางตัดสินใจแล้วว่าตอนไปจากจิงเฉิงจะทิ้งหวังสี่ไว้ที่นี่ให้หลงจู๊ใหญ่ใช้งาน หวังหมัวมัวเองก็อายุมากแล้ว ถึงวัยใช้เวลากับหลานๆ อย่างมีความสุขได้แล้ว ไม่อาจให้นางกับบุตรชายอยู่ห่างกันเป็นพันลี้ ก็เลยจะให้หวังหมัวมัวรั้งอยู่ที่จิงเฉิงด้วย
แต่เนื่องจากหวังหมัวมัวเป็นหนึ่งในคนที่นางไว้ใจ อีกทั้งเป็นบ่าวของตระกูลหวัง ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมมาไม่น้อย นางจึงพอจะมีหัวด้านทำการค้าและคำนวณบัญชีอยู่หลายส่วน หวังซีก็เลยอยากเปิดร้านให้หวังหมัวมัวดูแลสักร้านหนึ่ง หากวันใดที่นางมาเที่ยวจิงเฉิง ก็จะได้มีกิจการเป็นของตัวเองด้วย
คุณหนูพานรู้สึกว่าการร่วมกันทำการค้านั้น การค้าถือเป็นเรื่องเล็ก คนที่ร่วมมือด้วยต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด หวังซีกับฉังเคอล้วนเป็นคนไม่เลวเลย อีกอย่างนางยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลหลิว ตระกูลหลิวก็มีเรื่องตำหนิติเตียนนางมากมายแล้ว นางไม่รู้สึกว่านี่เป็นการเกี่ยวดองที่ดีอะไรนัก ดังนั้นการจะรักษาผลประโยชน์และซ่อนสินเจ้าสาวของตัวเองอย่างไร จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว
“ข้าคิดว่าเป็นไปได้” นางกล่าวอ้อมๆ “อย่างไรก็ตาม เกรงว่าตอนนี้ข้ายังไม่อาจนำเงินออกมามากมายได้ จะให้ดีที่สุดต้องรอหนึ่งถึงสองปีหลังจากออกเรือนแล้ว ข้าค่อยๆ จัดการสินเจ้าสาวไปทีละน้อยถึงจะดี”
คุณหนูพานเป็นคนฉลาดอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ
หวังซีดีใจมาก ขยิบดวงตากลมโตที่กระจ่างใสดุจน้ำพลางกล่าว “พี่สาวพานวางใจเถอะ ถึงเวลาข้าจะเขียนหนังสือสัญญาให้เจ้า เจ้านำหนังสือสัญญาไปฝากไว้ที่ร้านเครื่องประดับของตระกูลข้าก็ได้ ไม่นานมานี้พี่ชายใหญ่ของข้าคิดสร้างบริการเช่นนี้ให้ลูกค้ารายใหญ่ของร้านเครื่องประดับของพวกข้า เจ้าเองก็ไปลองดูได้”
นี่หมายความว่าต้องการมอบทางเข้าพิเศษให้คุณหนูพานนั่นเอง
คุณหนูพานกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มแย้ม พูดถึงวัตถุประสงค์การมาเยือนของนางขึ้นมา “นอกจากรู้สึกว่าควรมาแจ้งเรื่องวันแต่งกับพวกเจ้าด้วยตัวเองแล้ว ยังอยากเชิญเจ้ากับฉังเคอไปกินข้าวที่บ้านสักมื้อในอีกสองวันนี้ด้วย หลังจากข้าออกเรือนไป เกรงว่าคงไม่ค่อยสะดวกนักแล้ว”
หวังซีเข้าความหมายของนางดี สตรีที่ออกเรือนแล้วต้องดูสีหน้าแม่สามี เป็นธรรมดาที่จะทำอะไรก็ไม่ค่อยมีอิสระ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้เลย! เจ้ากำหนดวันที่มา ข้ากับพี่สาวเคอย่อมไปร่วมด้วยอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเป็นวันที่ยี่สิบเดือนสิบก็แล้วกัน” คุณหนูพานยิ้มกล่าว “เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร”
หวังซีกล่าวอย่างขอขอภัยว่า “เปลี่ยนเป็นวันอื่นได้หรือไม่ คุณหนูรองจวนชิงผิงโหวออกเดินทางไปเจียงซีในวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบ ข้ากับคุณหนูใหญ่จวนเจียงชวนป๋อนัดแนะกันเอาไว้แล้วว่าวันที่ยี่สิบเดือนสิบจะไปส่งนางที่บ้านของนาง”
วันที่คุณหนูรองอู๋ออกเดินทางจากเมืองหลวงจริงๆ ในวันนั้น พวกนางจะได้ไม่ต้องไปส่งแล้ว
มากคนก็มากความ พวกนางล้วนเป็นคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน หากถูกคนชนเข้าคงไม่ดีแน่
คุณหนูพานยังไม่ทราบเรื่องของคุณหนูรองอู๋ ได้ยินเช่นนั้นก็รีบสอบถามรายละเอียดไปหลายประโยค เมื่อทราบว่าหลังแต่งงานคุณหนูรองอู๋ต้องติดตามสามีไปหนานชังด้วย จึงถอนใจกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “พวกเขาช่างดี ได้ใช้ชีวิตของตัวเองระยะเวลาหนึ่ง”
หวังซีอยากพูดว่า คุณชายหลิวเป็นบัณฑิต มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบขุนนาง หลังจากนี้ก็จะได้ออกไปรับราชการรอบนอก ถึงเวลาคุณหนูพานเองก็จะได้ติดตามไปด้วยเช่นกัน แต่เมื่อคิดว่าการสอบขุนนางก็เป็นเรื่องที่ต้องดูโชคและวาสนา ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดคุณชายหลิวจะได้รับการแต่งตั้งยศตำแหน่ง นางก็เลยกลืนคำพูดดังกล่าวลงไปเสีย
ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกัน หวังซีรั้งคุณหนูพานให้อยู่รับมื้อกลางวันด้วย ยังเชิญฉังเคอมาร่วมด้วยอีกคน
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าฉังเคอเพิ่งมาถึง ก็ได้เจอกับสาวใช้ของลู่หลิงที่นำป้ายขอเยี่ยมหวังซีมาแจ้งล่วงหน้า บอกว่าช่วงบ่ายลู่หลิงอยากมาเยี่ยมหวังซี
หวังซีตกใจเป็นอย่างมาก
ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้จะนำเทียบมาส่งล่วงหน้าหนึ่งวัน
นางรีบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
สาวใช้ผู้นั้นเป็นคนสนิทของลู่หลิง เม้มปากยิ้มพลางกล่าว “หลายวันก่อนคุณหนูใหญ่ของพวกข้าตามฮูหยินผู้เฒ่าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเหนียงเหนียง บังเอิญเจอกับคุณหนูสี่ถานที่ก็เข้าวังไปคารวะฮองเฮาเหนียงเหนียงเช่นกัน คุณหนูสี่ถานได้ยินว่าคุณหนูรองอู๋ต้องเดินทางไปเจียงซีแล้ว จึงอยากเป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงก่อนที่คุณหนูรองอู๋จะออกเรือนสักงานหนึ่ง ก็เลยเชิญทุกคนไปร่วมสนุกด้วยเจ้าค่ะ…
…คุณหนูสี่ถานอยากเชิญคุณหนูหวังด้วย…
…พอคุณหนูของพวกข้าทราบเรื่อง ก็ขันอาสาเป็นคนนำเทียบเชิญมาส่งให้ท่าน...
…ด้วยเหตุนี้ คุณหนูของพวกข้าจึงต้องนำเทียบเชิญมาส่งให้ท่านเจ้าค่ะ!”
หวังซีและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วหัวเราะเสียงดัง หวังซียิ่งแล้วใหญ่กล่าวขึ้นว่า “นางเอาเทียบเชิญมาส่งให้ข้าเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงแล้วอยากมาแอบอู้อยู่ที่นี่มากกว่า!”
สาวใช้ผู้นั้นทำเพียงหัวเราะไม่กล่าวคำใด
ลู่หลิงค่อยๆ โตขึ้นแล้ว ไม่นานมานี้เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าเชิญอาจารย์จากวังหลวงมาสอนนางทำพวกงานเย็บปักถักร้อย การบ้านของนางจึงเพิ่มมากขึ้นในชั่วพริบตา ไม่ค่อยมีเวลาได้ออกมาเที่ยวเล่นสักเท่าไรแล้ว
หวังซีรับเทียบของลู่หลิงเอาไว้ กล่าวกับสาวใช้ผู้นั้นว่า “เจ้าไปบอกนาง พรุ่งนี้ข้าจะจัดอาหารเลิศรสมารับรองนางอย่างแน่นอน”
สาวใช้ผู้นั้นขานรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยรอยยิ้มแย้ม กลับไปที่จวนเจียงชวนป๋อ
หวังซีจึงเชิญคุณหนูพานกับฉังเคอมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ มาช่วยนางรับแขก
คุณหนูพานไม่ว่าง บอกว่าพรุ่งนี้ต้องไปเยี่ยมสหายเก่าท่านหนึ่งของครอบครัวเป็นเพื่อนมารดา ยังกล่าวด้วยว่า “อนาคตข้าต้องรั้งอยู่ที่เมืองหลวง มารดาข้ากลัวว่าข้าจะไม่มีผู้อาวุโสคอยดูแล จึงฝากฝังข้ากับฮูหยินท่านนี้”
เดิมทีฝากฝังนางไว้กับโหวฮูหยิน
คาดว่าคงรู้สึกว่าจวนหย่งเฉิงโหวกับโหวฮูหยินล้วนพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่
หวังซีไม่กล้าถามนางว่าไปเยี่ยมผู้ใด จึงไปตกลงเวลากับฉังเคอแทน “เจ้าว่างหรือไม่”
“ข้าว่าง!” ฉังเคอเตรียมของสำหรับออกเรือนใกล้เสร็จแล้ว ต่อให้ต้องโชคร้ายไปชั่วขณะหนึ่ง ก็มิใช่เรื่องที่นางไปแก้ไขอะไรได้ ระยะนี้นางจึงทำรองเท้าและถุงเท้าสำหรับใช้ในวันทำความรู้จักญาติอยู่ในบ้าน แต่เรื่องพวกนี้ก็มีบ่าวรับใช้ที่รับผิดชอบงานเย็บปักคอยช่วยเหลือ นางก็เลยค่อนข้างมีเวลาว่างจริงๆ
“เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันตามนี้” ขณะที่หวังซีกล่าว ก็เห็นไป๋กั่วกลั้นยิ้มพลางเดินเข้ามา กล่าวรายงานว่า “สาวใช้ของคุณหนูใหญ่จวนเจียงชวนป๋อมาอีกแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าพอคุณหนูใหญ่ของพวกนางรู้ว่าคุณหนูสี่และคุณหนูพานอยู่ที่นี่กับท่านด้วย นางก็อยากมาเยี่ยมท่านช่วงบ่ายนี้ให้ได้ จะได้ถือโอกาสอยู่รับมื้อเย็นกับท่านด้วย”
หวังซีและคนอื่นๆ หัวเราะฮ่าเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง หวังซียังกล่าวด้วยว่า “เจ้าไปบอกสาวใช้ของนางผู้นั้นว่าไม่ต้องเข้ามาคารวะข้าแล้ว ให้นางไปบอกคุณหนูใหญ่ของพวกนางว่าพวกข้าจะรอนางมาก่อนแล้วค่อยแยกย้าย แล้วก็บอกคุณหนูใหญ่ลู่ด้วยว่าวันนี้ข้าทำอาหารขึ้นชื่อของซงเจียงอย่างเป็ดยัดไส้แปดขุมทรัพย์ เป็นอาหารที่ทำได้ยากยิ่ง ต้องบอกเรือนครัวล่วงหน้าหนึ่งวัน ยังมีปูดองกับปลาซีหูราดน้ำปรุงรสด้วย ล้วนเป็นรายการอาหารที่นางชื่นชอบทั้งสิ้น”
ไป๋กั่วรับคำยิ้มๆ แล้วถอยออกไป
คุณหนูพานชี้หวังซีพลางกล่าว “เจ้ามันคนซุกซนชอบแกล้งผู้คน เจ้าคอยดูเถอะ อย่างมากที่สุดก็หนึ่งชั่วยาม นางต้องเร่งเดินทางมาถึงแล้วเป็นแน่ ข้าว่าเจ้ารีบบอกให้ในครัวทำขนมที่นางชอบกินอีกสักสองสามอย่างแต่เนิ่นๆ ดีกว่า เอาไว้รับรองนางดื่มชาในช่วงบ่าย!” นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า “ตอนกลับข้าเองก็จะได้เอากลับไปด้วย ให้มารดาและพี่ชายของข้าได้ลองชิมด้วยพอดี ตอนนี้ขนมของพวกเจ้ามีชื่อเสียงในจิงเฉิงเป็นอย่างมาก คนจำนวนมากทำขนมลอกเลียนแบบขนมของพวกเจ้ามอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่น แต่ก็ไม่อร่อยเท่าของพวกเจ้า”
ก่อนหน้านี้ที่หวังซีมอบขนมที่บ้านนางทำเองให้ผู้อื่นก็เพื่อสร้างชื่อให้หอสายลมวสันต์ คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงกระตุ้นการค้าของหอสายลมวสันต์เท่านั้น ขนมของบ้านนางยังมีชื่อเสียงตามไปด้วย
หวังซีรู้สึกว่าที่ตัวเองลงแรงไปไม่สูญเปล่า กล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่พี่สาวพานเตือนสติข้า พรุ่งนี้เจ้าต้องไปเป็นแขกที่บ้านผู้อื่นมิใช่หรือ อยากให้ข้าทำมากสักหน่อยหรือไม่ เจ้าเองก็จะได้เอาไปเป็นของฝากด้วย”
คุณหนูพานรู้สึกว่าดียิ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำขนมพรห้าประการของพวกเจ้าให้มากสักหน่อย อันนั้นอร่อย”
ขณะที่พวกนางกำลังหารือว่าจะทำขนมอะไรบ้างอยู่นั้น ลู่หลิงก็เร่งมาถึงอย่างรีบร้อน กล่าวว่า “ข้าคิดว่าควรมาเร็วสักหน่อย จะได้เจอพี่สาวพานด้วย”
นางเคยเจอคุณหนูพานเพียงสองครั้งในงานเลี้ยงหนึ่งเท่านั้น แต่เนื่องจากร่วมทางไปกับหวังซี นางจึงเรียกพี่สาวพานได้อย่างหวานหยดย้อย ทำให้คุณหนูพานชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ลู่หลิงหยิบเทียบออกมา นอกจากหวังซีแล้วยังมีของฉังเคอด้วย ไม่มีของคุณหนูพานเพียงคนเดียวเท่านั้น
ลู่หลิงกล่าวชักชวนนางอย่างกระตือรือร้นว่า “พี่สาวพานเองก็ไปเล่นด้วยกันดีหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าค่อยส่งเทียบเชิญไปให้”
คุณหนูพานรู้สึกกระดากเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าไม่ไปดีกว่า ข้ากับคุณหนูสี่ถานหาได้รู้จักกัน”
“นั่นจะเป็นไรไป” ลู่หลิงไม่ใส่ใจนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทุกคนไปเจอกันสักสองสามครั้งก็รู้จักกันแล้ว! ต่อไปเจ้าต้องใช้ชีวิตที่จิงเฉิงมิใช่หรือ รู้จักคนมากเข้าไว้ย่อมดีกว่า นอกจากนี้คุณหนูของตระกูลถานก็นิสัยดีกันทั้งนั้น เจ้าต้องเข้ากับพวกนางได้อย่างแน่นอน”
คุณหนูพานบอกว่าต้องกลับไปถามมารดาของนางดูก่อน
หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนไม่อาจวิ่งพล่านไปทั่วได้
ลู่หลิงพยักหน้ายิ้มตาหยี คุยเรื่องคุณหนูสี่ถานกับหวังซี “นางถูกฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกตัวเข้าวัง ข้าฟังจากความเห็นของท่านย่าข้าแล้ว ตระกูลถานอยากกำหนดเรื่องงานแต่งของนางให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลายวันมานี้องค์ชายสี่วนเวียนอยู่ข้างวรกายฮ่องเต้เรียกร้องอยากไปปกครองต่างเมือง ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่รู้ว่างานแต่งของนางจะราบรื่นหรือไม่”
หวังซีลอบคิดในใจว่าเฉินลั่วจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อเฉินลั่ว การที่องค์ชายสี่ไปปกครองต่างเมืองก็ใช่จะเป็นเรื่องไม่ดีอะไร อย่างน้อยก็ได้หนีห่างจากเรื่องผิดถูกในจิงเฉิง ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
คุณหนูพานกลับกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “องค์ชายสี่ไปปกครองต่างเมืองแล้วเกี่ยวอะไรกับงานแต่งของคุณหนูสี่ถานด้วย? แต่งงานก่อนแล้วค่อยลงหลักปักฐาน องค์ชายสี่เสกสมรสแล้วค่อยไปรับแต่งตั้งศักดินา ไม่ดีกว่าหรือ”
ลู่หลิงกล่าวอย่างคาดเดาว่า “คงเป็นเพราะเรื่องแต่งตั้งศักดินากระมัง องค์ชายสามกับองค์ชายห้าต่างถูกกักบริเวณก็จริง แต่คงไม่อาจกักบริเวณไปตลอดได้หรอกกระมัง เมื่อออกมาแล้วก็ควรจะส่งไปอยู่ในที่ห่างไกลจากเมืองหลวงเป็นดีที่สุด เรื่องจะให้องค์ชายทั้งหลายไปปกครองที่ไหนจึงกลายเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้กังวลพระทัย คงไม่อาจวันนี้แต่งตั้งเป็นหลู่อ๋องให้ไปปกครองเมืองฉีหลู่ แต่พรุ่งนี้รู้สึกไม่ถูกใจก็เปลี่ยนใจให้ไปปกครองหนานหลิ่ง ไล่คนไปอยู่หนานหลิ่งแทนหรอกกระมัง กล่าวไปกล่าวมา ก็เป็นเพราะฮ่องเต้ยังคิดไม่ตกว่าจะจัดการองค์ชายทั้งหลายอย่างไรดี”
“ดูแล้วการเป็นองค์ชายก็มีเรื่องให้ต้องกังวลเหมือนกัน!” คุณหนูพานทอดถอนใจกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมา
ขนมกินคู่กับน้ำชาในวันนั้นอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง อาหารเย็นก็อร่อย ตอนเดินทางกลับ คุณหนูพานกับลู่หลิงต่างนำขนมกลับไปด้วยเป็นจำนวนมาก
หลังจากที่ฉังเคอกับหวังซีส่งแขกกลับไปแล้ว ระหว่างทางกลับเรือนทั้งสองคนไม่ได้นั่งเกี้ยว แต่ค่อยๆ เดินไปด้วย คุยเรื่องไปเป็นแขกที่ตระกูลถานไปด้วย ฉังเคอยังนัดแนะหวังซีไปตัดชุดที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงในวันพรุ่งนี้ด้วย “นับตั้งแต่เกิดเรื่องของตระกูลซือเป็นต้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สบายทุกๆ สองถึงสามวัน พวกเราเองก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว ถือโอกาสนี้ไปผ่อนคลายสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
หวังซีตอบตกลงในทันที
วันรุ่งขึ้นหลังจากทั้งสองคนไปคารวะเช้าฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จ ก็ไปแจ้งโหวฮูหยินแล้วพาสาวใช้ บ่าวชายและหมัวมัวออกจากจวนไป กระทั่งตกเย็นถึงกลับมา
เพียงแต่ว่าพอพวกนางกลับมาถึงจวนก็เห็นหมัวมัวข้างกายนายหญิงสามกำลังรอพวกนางอยู่ที่หน้าประตูชั้นในด้วยสีหน้าเป็นกังวล
………………………………………………………………….