บทที่ 200 เฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 200 เฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
การจับกลุ่มที่ประหลาดนี้ทำให้หลิวหยิ่งไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ในชั่วขณะ แม้แต่สัมภาระก็ยังลืมไปเลย

ไหมสวรรค์นี้ที่ท่านอ๋องหามานั้น หรือเป็นไปได้ว่าไม่ใช่ว่าจะมอบให้พระชายา แต่เอามามัดพระชายาเอาไว้?

เร่งควบรถม้าไปพลาง ในใจของหลิวหยิ่งก็ยังคงขัดแย้งกันไปด้วย

“หลิวหยิ่ง รถม้าควบได้ช้าเช่นนี้ เจ้าไม่ได้ทานข้าวมาหรือไง?” ทันใดนั้นก็มีเสียงของนายท่านตัวเองดังออกมาจากในรถม้า

หลิวหยิ่งจู่ๆ ก็ยกแส้ขึ้นฟาดไปสองที รถม้าก็วิ่งเร็วขึ้นอีก

ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนยวบของพระชายาดังออกมาจากด้านใน: “อันที่จริงแล้ว ไม่ต้องเร็วเช่นนั้นก็ได้ ก็ไม่ได้รีบร้อนจะกลับจวนอ๋องเร็วขนาดนี้หรอก”

“ในจวนอ๋องของข้ายังมีธุระสำคัญ”

“แต่ว่า ข้ายังศึกษาวิจัยออกมาไม่สำเร็จเลยนะ”

“ข้าแค่บอกว่าให้เจ้าดูเฉยๆ ไปบอกให้เจ้าศึกษาวิจัยตลอดทางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“งั้น งั้นก็ช้าหน่อยเถอะ ข้าใกล้จะมองไม่ชัดเจนแล้ว”

“อืม งั้นก็ช้าหน่อยเถอะ”

ดังนั้น หลิวหยิ่งก็เลยลดความเร็วของรถลงมาอีก สีหน้าท่าทางที่แสดงออกบนใบหน้านั้นแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ

ที่แท้นี่ก็คือแผนของท่านอ๋อง ก็เพื่อให้พระชายาได้พูดคุยกับเขามากหน่อย?

หลิวหยิ่งที่ติดตามท่านอ๋องมาหลายปีรู้สึกว่าตนเองก็ยังไม่เข้าใจ

ไม่ใช่จะเอาใจพระชายา ทำให้พระชายาดำดิ่งลงไปในความอ่อนโยนของนายท่านจนโงหัวไม่ขึ้น หลงใหลอย่างดิ่งลึกตั้งแต่นี้ไป ไม่ยินดีอย่างยิ่งต่อท่านอ๋องงั้นเหรอ?

ทำไมความรู้สึกในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสำเร็จแล้ว นายท่านคิดหาวิธีจนสุดหนทางเพื่อที่จะให้พระชายามาพูดจาดีๆ กับตนเอง?

แผนการในการตื๊อภรรยาเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจเท่าไร ในเล่มบทละครก็ไม่ได้สอนเช่นนี้เลย

ตอนที่รถม้าถึงจวนอ๋อง เฟิ่งชิงหัวมีความไม่อยากลงรถอยู่บ้าง ยังคงนั่งขัดสมาธิศึกษาวิจัยอยู่บนรถม้าต่อไป

ด้านในหัวสมองของนางมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ไหมสวรรค์แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง แต่ว่าหากนางสามารถใช้ของอย่างอื่นมาทดแทนได้ หรือว่าคิดวิธีการที่จะเสริมให้มั่งคงแข็งแรงยิ่งขึ้น เป็นไปได้ไหมว่าจะสามารถทำของที่มีความคล้ายคลึงกับไหมสวรรค์?

จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ข้างรถม้า ยื่นมือดึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม: “เจ้ายังจะจดจ่ออยู่ถึงเมื่อไหร่?”

ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ถูกคนขัดจังหวะขึ้น แนวความคิดก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ลืมไปหมดเลย แล้วจ้องไปยังจ้านเป่ยเซียวด้วยความขัดเคือง: “เจ้ารีบร้อนอะไร! ข้าก็แค่ไม่ไปไหนแล้วแค่นั้น”

ในขณะที่พูดอยู่มือทั้งสองข้างก็ทำท่าทางกอดอกราวกับว่าจะควบรวมไปกับรถม้าให้เป็นหนึ่งเดียวไปเลย

จ้านเป่ยเซียวหัวเราะเย็นชาออกมาหนึ่งคำ บนมือก็คว้าหมับไป ดึงเฟิ่งชิงหัวออกมาจากในรถม้าทันที แบกไว้บนบ่าแล้วก็เดินเข้าไปด้านในเลย

“โอ๊ย เจ้าปล่อยข้าลงมานะ จ้านเป่ยเซียว เจ้าปล่อยข้าลงมา ข้าคืนไหมสวรรค์ให้เจ้าก็ยังได้อีกหรือไงเล่า?” เฟิ่งชิงหัวถูกแบกอยู่บนบ่าของฝ่ายชายและกำลังดิ้นรนอยู่

จ้านเป่ยเซียวทำเป็นไม่ได้ยิน หึ เดิมก็เป็นของของเขาอยู่แล้ว แค่รัดไว้รอบเอวของนางเท่านั้นเอง จำเป็นจะต้องให้นางเอาคืนเหรอ?

เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “เจ้าปล่อยข้าลงมาเดี๋ยวนี้นะ ข้าไม่ต้องรักษาหน้าตาหรือไง คนเยอะแยะมากมายอย่างนั้นมองอยู่ จ้านเป่ยเซียว เจ้ารีบปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้”

“เจ้าอยากรักษาหน้า? แล้วเจ้าเคยรักษาหน้าข้าเมื่อไหร่บ้างล่ะ? เรียกชื่อจริงของข้าโดยตรงอย่างตามอำเภอใจในจวนอ๋อง ทำอะไรก็ไม่คิดหน้าคิดหลังเลยแม้แต่นิดเดียว ทำร้ายองครักษ์ของข้าแล้วก็วิ่งหนีไปข้างนอก ตอนที่ทำเรื่องพวกนี้เจ้าเคยคิดไหมว่าคนอื่นเขาต้องการรักษาหน้าบ้างหรือเปล่า?”

“ตัวเจ้าเองไม่ใช่บอกว่าข้าอยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น? ตอนนี้เจ้าก็มาคิดบัญชีเก่าอีก มันน่าสนุกนักหรือ?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยอารมณ์อ่อนแรงเล็กน้อย มือหนึ่งยันไหล่ของฝ่ายชายเอาไว้ ครึ่งท่อนของร่างยังอยู่บนบ่าของฝ่ายชายอยู่เลย

“ข้าแค่อยากจะบอกว่าในจวนอ๋องแห่งนี้ หน้าตาอะไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นนั้น ข้าไม่ให้ความสำคัญ ก็แน่นอนว่าก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นกัน” จ้านเป่ยเซียวพูดไปพลางแล้วก็พาเฟิ่งชิงหัวเดินไปทางเรือนหลัก

แต่ไม่ว่าจะเดินผ่านลูกน้ององครักษ์พวกนั้นไป คนพวกนั้นต่างพากันก้มศีรษะเป็นทิวแถว ราวกับว่าไม่เห็นทั้งสองคนก็ไม่ปาน

เฟิ่งชิงหัวถูกวางลงบนเตียงนุ่ม หลังจากนั่งลงแล้วก็รีบมองมายังจ้านเป่ยเซียวด้วยดวงตาทั้งสองข้างที่เปี่ยมไปด้วยความระมัดระวัง มือข้างหนึ่งกดไปยังไหมสวรรค์ที่อยู่รอบเอวอย่างไม่ปล่อยวางอยู่ กลัวว่าเขาจะเอามันไป

มองอยู่นานขนาดนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งเสียดาย

จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นเตรียมที่จะดึงมันออก ถูกเฟิ่งชิงหัวจับเอาไว้หนึ่งส่วนอย่างตาไวมือไว ดวงตาก็กะพริบปริบๆ ไปมา: “ท่านอ๋อง ข้าว่าโดยปกติเจ้าก็ไม่ได้ใช้ งั้นก็สู้ให้ข้าดูอีกสักหน่อยเถอะ?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช้?”

“ใช้ทำอะไร?” นางก็เห็นว่าเขาแค่ใช้มันมามัดนางเอาไว้เท่านั้นเอง

“ข้ามีที่จะต้องใช้มันเยอะแยะมากมาย ยังจะต้องมาอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดทีละข้อๆ งั้นหรือ?”

“งั้น เป็นไปได้ไหมว่าจะมัดไว้บนตัวข้าก่อน รอจนถึงตอนที่เจ้าต้องใช้ประโยชน์แล้วค่อยมาดึงออกไป? เสด็จพ่อไม่ใช่บอกไว้แล้วหรือ? เจ้าจะต้องให้ความร่วมมือกับข้าในการสืบคดีฆาตกรรม พวกเราจะต้องเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกันนะ” เฟิ่งชิงหัวมองมายังจ้านเป่ยเซียวที่ทำตาปริบๆ อยู่

“เสด็จพ่อเคยพูดไว้ว่าจะให้ข้ายืมไหมสวรรค์ให้เจ้าเหรอ?”

“อันนี้น่ะเหรอ ไม่ต้องพูดก็ได้กระมัง?”

จ้านเป่ยเซียวตวัดสายตามองไปยังเฟิ่งชิงหัวอย่างเชื่องช้าอยู่ครู่หนึ่ง: “อยากได้เช่นนี้เลย?”

เฟิ่งชิงหัวกะพริบตาไปมา ดูใสซื่อมาก

จ้านเป่ยเซียวค่อยๆ เอาอีกด้านหนึ่งของไหมสวรรค์ผูกไว้รอบเอวของตนเองอย่างช้าๆ แล้วก็ยัดเข้าไปในเอวโดยตรง จากนั้นก็หันมาแบมือออกต่อเฟิ่งชิงหัว: “อยากได้? ก็ตามมา”

ในขณะที่พูดอยู่ก็เดินไปทางโถงหน้า เฟิ่งชิงหัวก็ได้เพียงรีบตามติดขึ้นมาทันที ไหมสวรรค์ที่อยู่บนตัวก็ถูกนางหยิบออกไป แล้วผูกไว้บนข้อมือ ป้องกันจ้านเป่ยเซียวถือโอกาสตอนที่นางไม่สนใจก็เก็บของล้ำค่านั้นไปเลย

นางคิดไว้ดีแล้ว พอของมาอยู่ในครอบครองของนาง ไม่ง่ายขนาดนั้นที่จะให้เขามาเอากลับไปได้ ยังไงก็ต้องรอนางทำการศึกษาวิจัยออกมาเป็นเหตุเป็นผลให้ได้เสียก่อน

ทั้งสองคนนั่งลงแล้วเริ่มรับประทานอาหาร ไหมสวรรค์ก็รัดไว้ระหว่างคนทั้งสองอยู่

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จ้านเป่ยเซียวกลับไปดูตำราที่ห้องหนังสือ เฟิ่งชิงหัวก็ตรวจสอบเอกสารที่เหยียนหรูชิงส่งมาให้อยู่ด้านข้าง

คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ คนหนึ่งก็ย้ายม้านั่งเล็กตัวหนึ่งมานั่งอยู่ด้านข้าง อยู่ห่างไกลกันไม่ถึง 2 เมตร

จ้านเป่ยเซียวเงยศีรษะมองมาที่นางเป็นครั้งคราว กลับรู้สึกว่าหากสามารถรัดตัวนางไว้แบบนี้เพื่ออยู่เป็นเพื่อนตนตลอดชีวิตก็นับว่าไม่เลวทีเดียว

เฟิ่งชิงหัว ณ ตอนนี้กลับมองไปด้านบนกองเอกสารด้วยใจจดใจจ่ออยู่ ด้านบนนั้นล้วนเป็นการสืบประชากรที่หายตัวไปจำนวนหนึ่งทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้นางวาดเค้าโครงรูปพรรณสัณฐานกรอบอายุให้เหยียนหรูชิง ต่อมาเขาก็เอาภาพนี้ส่งมอบขึ้นมา

คนที่อยู่ด้านบนนี้ส่วนใหญ่ต่างเป็นคนที่สูญหายไปอย่างติดต่อกัน บ้างก็หายตัวไปยาวนานถึง 10 ปี บ้างก็กลับเป็นการหายตัวไปหลายเดือน โดยพื้นฐานแล้วในระยะเวลาเดียวกันคนที่หายไปก็เพียงแค่ 1-2 คน ก็ไม่ง่ายที่จะดึงดูดความสงสัยจากคนอื่นขึ้นมาได้ หากไม่ใช่เฟิ่งชิงหัวจะสำรวจ กลัวแต่เพียงว่ายกเว้นญาติพี่น้องก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ได้เพียงแค่คิดแต่ว่าพวกเขาออกไปทำธุระด้านนอกเท่านั้นเอง

ลักษณะพิเศษของคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างเป็นผู้แข็งแรงกำยำอย่างผิดแปลกออกไปทั้งนั้น ส่วนมากก็จะเป็นพวกขนกระสอบทรายที่ท่าเรือ หรือเป็นเด็กหนุ่มที่มีพลังแรงกายอยู่บ้าง

บัดนี้สามารถแน่ใจได้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้มีความเกี่ยวข้องกับหนานกงจี๋ แต่ว่าหนานกงจี๋จับเด็กหนุ่มกำยำพวกนี้ไปทำอะไรและทดลองทำอะไร?

ยังมีอีกเมื่อปีนั้นหลังจากที่หนานกงจี๋และท่านแม่ของนางได้คำนับตามพิธีเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายจากกันไป เหตุใดท่านแม่ตกไปในมือของเขาอีก ถูกเขากักขังเอาไว้?

ต้องมีสาเหตุอะไรในนั้นอีกแน่เลย?

หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวเอาเรื่องพวกนี้มัดรวมให้เกี่ยวพันกันหมดแล้วก็ยังต้องตัดสินใจที่จะไปจวนนอกที่อยู่ชนบทของหนานกงจี๋สักรอบหนึ่ง

บัดนี้นางเพิ่งจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ต้องรีบอาศัยโอกาสที่หนานกงจี๋ยังไม่ทันที่จะเริ่มจัดวางแผนการออกมา แล้วก็เร่งรีบไปเสียหนึ่งรอบ

พอเงยศีรษะขึ้นมา เฟิ่งชิงหัวก็เห็นจ้านเป่ยเซียวเท้าศีรษะไว้อยู่ ฟุบอยู่บนโต๊ะหนังสือดำดิ่งสู่การหลับลึกไปแล้ว

เฟิ่งชิงหัวมองดูไหมสวรรค์ที่อยู่บนร่าง ใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย เดินเข้าไปอย่างย่องเบา คิดว่าจะแก้มัดปมนั้นที่จ้านเป่ยเซียวผูกเอาไว้ออก

คืนนี้ก็จะได้ลองอานุภาพของไหมสวรรค์พอดี ดูว่าร้ายกาจกว่าของนางหรือไม่ ในใจของเฟิ่งชิงหัวคิดเช่นนั้น

กำลังแก้มัดอยู่ ทันใดนั้นมือก็ถูกคนจับเอาไว้แน่น เดิมนั้นจ้านเป่ยเซียวหลับตาไว้ไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่ ในตอนนี้กำลังจ้องมาที่นางอยู่แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา: “นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”