บทที่ 201 เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 201 เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
มือข้างหนึ่งของเฟิ่งชิงหัวยังคงจับอยู่ที่เข็มขัดของเขา อีกมือหยิกที่ไหมสวรรค์ของเขาอย่างไม่ยอมแพ้

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เฟิ่งชิงหัวก็เอ่ยว่า “ข้าก็แค่อยากทดสอบสักหน่อยว่ารังไหมนี้ยาวแค่ไหน จะได้ดูว่ามูลค่าของมันเป็นเท่าไหร่”

“อย่างนั้นเจ้าคำนวนออกมาแล้วหรือยัง”

“เกือบแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ในเมื่อคำนวนออกมาแล้ว แล้วทำไมมือของเจ้าถึงหยิกข้าอยู่อีก” จ้านเป่ยเซียวกล่าวแล้วก้มหน้าลงมองมือเล็กๆ นุ่มๆ ของเฟิ่งชิงหัว

ริมฝีปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุก ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คือว่า ไม่ใช่อย่างนั้น กำลังจะปล่อยอยู่พอดี”

ระหว่างที่กล่าวก็ปล่อยอย่างไม่ค่อยยินดีนัก

“เอาล่ะ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด อย่ารบกวนข้าที่นี่อีกเลย” จ้านเป่ยเซียวทำท่าทางรำคาญใจ

ระหว่างที่กล่าวก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมจะเดินเข้าไปในห้อง

เฟิ่งชิงหัวร้อนใจขึ้นมา จะปล่อยให้ไปแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไปแล้ว นางจะยังเห็นไหมสวรรค์ได้อยู่อีกหรือ

“ท่านอ๋อง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าสองสามวันนี้ข้าจะคอยดูแลท่าน เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านควบคุมตัวเองไม่ได้อีก” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยท่าทางเกินจริง

จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว “อ้อ อย่างนั้นเจ้าก็ออกไปนอนบนเก้าอี้นุ่มด้านนอกก็แล้วกัน อย่ามาอยู่ใกล้ข้าเกินไป เวลาที่ข้าหลับ ข้าไม่ชอบให้มีคนมานอนอยู่ข้างๆ ข้า”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ แล้วมองแผ่นหลังของจ้านเป่ยเซียวด้วยความสงสัย

เวลาที่เขานอนไม่ชอบให้มีคนอยู่ข้างๆ เขางั้นหรือ?

ทำไมนางไม่เห็นรู้เลย?

ก่อนหน้านี้นางถูกเขาบังคับให้นอนกับเขาบนเตียงตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ

แต่ใครใช้ให้เขามีของที่นางอยากได้เองเล่า? แน่นอนว่าเขาพูดอย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้นเฟิ่งชิงหัวอยากจะยื่นมือออกไปจับหัวไหล่ของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้ “ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกว่าสองวันที่ผ่านมานี้ ท่านใช้เท้ามากเกินไป ข้าเลยกลัวว่าคืนนี้ท่านจะมีผลกระทบข้างเคียง ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านดีไหม”

“ไม่ต้อง ถ้าข้ามีอะไรเจ้าค่อยเข้ามา”

“ได้อย่างไร ช่วงนี้ข้านอนหลับเป็นตาย ข้ากลัวว่าจะทำให้เกิดผลกระทบไม่ดีกับท่านได้นะ”

จ้านเป่ยเซียวเตรียมจะนั่งลงบนเตียงก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาจึงได้แต่เลิกคิ้วมองนาง “แล้วไง? เจ้าอยากนอนบนเตียงเดียวกับข้างั้นหรือ”

เฟิ่งชิงหัวมองไปที่เตียงด้านหลังของคนทั้งสอง พื้นผิวสีดำ ผ้าคลุมสีดำ ที่นอนล้วนเป็นสีดำทั้งผืน

เฟิ่งชิงหัวรีบพยักหน้า “ไม่ๆๆ ท่านอ๋องพักผ่อนเถิด ข้านอนตรงนี้ก็ได้” ระหว่างที่พูดก็ชี้ไปที่วางเท้า

จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแล้วจ้องไปที่มือของเฟิ่งชิงหัวที่จับไหมสวรรค์เอาไว้อย่างไม่ยอมวางมืออย่างไม่สบอารมณ์ ของชิ้นนี้ต่อให้ประณีตแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่ผ้าต่วนผืนหนึ่งเท่านั้น ทำไมนางถึงทำท่าราวกับว่าไม่อยากวางมันลงเช่นนี้

สรุปแล้วนางชอบจริงๆ หรือว่าแค่อยากใช้ผ้าต่วนผืนนี้เพื่อเข้าใกล้เขา?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้านเป่ยเซียวก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็รู้สึกไม่อยากให้เฟิ่งชิงหัวนอนบนที่วางเท้าขึ้นมา จึงหันไปกล่าวว่า “เตียงก็ออกจะใหญ่ เจ้าขึ้นมานอนได้”

เฟิ่งชิงหัวรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ อากาศร้อนจะแย่ ข้านอนที่ที่วางเท้าก็ได้ แม้ว่าอากาศจะร้อนแต่ก็ยังเย็นอยู่บ้าง”

ล้อเล่นรึเปล่า นางจะยอมขายหน้าเพราะเข็มขัดเส้นเดียวได้อย่างไร นางจะไม่ยอมสูญเสียคุณธรรมอย่างเด็ดขาด การนอนร่วมเตียงกับคนอื่นเช่นนี้ นางไม่มีทางทำอย่างแน่นอน

สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นจึงเอาหน้าซุกลงที่เตียงและไม่ได้กล่าวอะไรกับเฟิ่งชิงหัวอีก เฟิ่งชิงหัวสัมผัสได้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ขอเพียงแค่ไหมสวรรค์อยู่ที่เขาก็พอ

นางนอนลงตรงที่วางเท้า เฟิ่งชิงหัวกำลังครุ่นคิดต่อ ในขณะที่นางจะลองสำรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียง “ตึ้ง” นางรู้สึกถึงแรงที่มาลากนางไป ทำให้หน้าผากของนางกระแทกเข้ากับขาเตียง

เฟิ่งชิงหัวลองเอามือลูบดูและรู้สึกว่าบริเวณที่หน้าผากโดนกระแทกนั้นเกิดนูนขึ้นมา จนหัวของนางเกิดเสียงหึ่งๆ ขึ้นมา

เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นมาจากที่วางเท้าพลางเอามือกุมหัวเอาไว้ จากนั้นจึงมองไปที่เขาที่เขยิบจากนอกเตียงไปด้านในเตียงแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “จ้านเป่ยเซียว ท่านตั้งใจใช่หรือไม่”

จ้านเป่ยเซียวหัวหน้าไปมอง “อะไรหรือ”

“อย่าบอกว่าท่านไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ข้าโดนขาเตียงกระแทกหัว” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างพยายามสงบความเดือดดาล “ปกติเวลาท่านหลับ ท่านไม่เคยพลิกตัว อีกอย่างเมื่อกี้นี้ท่านยังไม่ได้หลับด้วยซ้ำ!”

“อ่อ ไม่ได้สังเกต พอได้ยินการเคลื่อนไหวอยู่ข้างๆ เตียงก็รู้สึกรำคาญจึงเขยิบเข้าไปด้านใน” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

เฟิ่งชิงหัวกัดฟันแน่น “อย่างนั้นท่านก็รีบนอนเถิด”

“ข้ายังไม่ได้อาบน้ำ จะนอนได้อย่างไร”

“อย่างนั้นท่านนอนทำไมเล่า”

“ก็แค่อยากพักผ่อน”

ในใจของเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากฟันจ้านเป่ยเซียวให้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็พยายามเตือนตัวเองเป็นร้อยๆ รอบว่าเขาเป็นคนป่วย ไว้ชีวิตเขาไปเถิด

จ้านเป่ยเซียวมองไปที่รอยนูนของหน้าผากเฟิ่งชิงหัว ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา รังไหมเพียงเส้นเดียวจะไปสำคัญกว่านางได้อย่างไร การทำให้นางต้องเจ็บตัวเช่นนี้ นับว่าไม่คุ้มค่าเลยสักนิด

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จ้านเป่ยเซียวจึงอ้าปากแล้วเอามือดึงรังไหมออกมาจากเอวแล้วโยนทิ้งลงบนพื้น

ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวกำลังทำการตัดสินใจอย่างยากลำบาก สุดท้ายแล้วต้องเสียเวลาไปหนึ่งวันเพื่อไหมสวรรค์หรือว่าควรจะเลือกยอมแพ้จากรังไหมแล้วไปที่หมู่บ้านอื่นดี

และในตอนนั้นเองก็เห็นไหมสวรรค์มัดหนึ่งถูกโยนลงมาจากเตียง หล่นมาข้างตัวนางอย่างง่ายๆ นางกะพริบตาอย่างไม่อยากจะเชื่อและคิดว่านางตาฝาดไปหรือไม่

แต่เส้นไหมที่มีสีขาวราวหิมะนั้น หากไม่ใช่ไหมสวรรค์แล้วจะเป็นอะไรไปได้

“ท่าน ท่านอ๋อง? ไหมสวรรค์ของท่านร่วงลงมาแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าวพลางเอามือทั้งสองข้างดึงจากอีกด้านหนึ่ง แล้วเอาไหมสวรรค์ซุกเข้าไปในอกของตนเอง

จ้านเป่ยเซียวมีหรือที่จะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของนาง ไหนจะท่าทางราวกับคนที่หลงไหลในเงินทองของนางนั่นอีก เขาพยายามกลั้นขำเอาไว้แล้วทำเสียงแข็งกล่าวว่า “อ่อ หล่นบนพื้นแล้วหรือ อย่างนั้นก็ไม่เอาแล้ว”

“ดียิ่ง!” เฟิ่งชิงหัวตอบรับแล้วรีบเอาไหมสวรรค์มาพันไว้รอบเอวของตนเอง แล้วนางก็รู้สึกราวกับยกภูเขาหนักๆ ออกจากอก

หลังจากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก

“เดี๋ยวก่อน ข้าจะอาบน้ำแล้ว” จ้านเป่ยเซียวมองไปที่เฟิ่งชิงหัว

แต่เฟิ่งชิงหัวกลับเอ่ยโดยไม่หันหน้ามามองด้วยซ้ำว่า “ท่านค่อยๆ อาบน้ำไปเถิด ข้ามีธุระ ข้าขอตัวก่อน”

จ้านเป่ยเซียวจ้องแผ่นหลังของนางอยู่นาน จากนั้นจึงยิ้มออกมาด้วยความโกรธ

ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง พอได้ของที่ตนเองต้องการแล้วก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

พอเฟิ่งชิงหัวหาม้าของจวนอ๋องได้หนึ่งตัว ก็รีบมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของจวนเฉิงเซี่ยงทันที

เฟิ่งชิงหัวออกเดินทางไปในจังหวะไม่ดีนัก เดินทางออกไปได้เพียงครึ่งทางฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ นางฝ่าฝนเดินทางไปข้างหน้า เมื่อไปถึงหมู่บ้านตัวของนางเปียกโชกอย่างไม่เหลือพื้นที่แห้ง

นางจึงจัดการกับเสื้อผ้าที่เปียกฝน จากนั้นก็เดินเข้าไปในหมู่บ้าน

หากเทียบทั้งหมู่บ้านกับจวนเฉิงเซี่ยงแล้วนับว่าใหญ่กว่ามาก แถมยังแบ่งออกเป็นหลายเรือน เฟิ่งชิงหัวเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก นางจึงยังเดาไม่ถูกว่าจะต้องเดินไปทางไหน

ภายใต้หมอกฝนที่เกิดจากฝนห่าใหญ่ ทำให้บรรยากาศโดยรอบปกคลุมไปด้วยหมอกหนาๆ แม้แต่โคมไฟที่อยู่ไกลๆ ยังดูริบหรี่

เฟิ่งชิงหัวเดินไปตามทางที่หนานกงลู่ซิ่วบอกมุ่งหน้าเดินเข้าในระเบียงทรงแปดเหลี่ยม พลางได้ยินเสียงดนตรีเครื่องสายดังแว่วมาแต่ไกลๆ

กลางคืนที่มีฝนโปรย แถมยังได้ยินเสียงดนตรีวุ่นวายเช่นนี้ ดูรูปการณ์แล้วนางน่าจะมาถึงสถานที่ที่ถูกต้องแล้ว เฟิ่งชิงหัวคิดในใจ

นางเดินเข้าไปยังมุมๆ หนึ่งของหอแสดง เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าไปด้านในได้อย่างไร ทันใดนั้นก็เห็นสตรีแรกรุ่นเดินเข้ามาสองสามคนจากที่ไกลๆ

เฟิ่งชิงหัวแอบเข้าไปซุ่มอยู่ด้านหลังแล้วลากคนหนึ่งออกมาจากนั้นทำให้นางหมดสติไป ก่อนจะเอาเสื้อผ้าของนางมาใส่เองแล้วหันไปมองใบหน้าของสาวคนนั้นเล็กน้อย และหยิบยาน้ำออกมาจากแล้วเทลงบนใบหน้าของตนเองแล้วลูบสองสามที จากนั้นจึงเดินตามผู้หญิงกลุ่มนั้นเข้าไปในหอแสดง

ด้านในการแสดงเพิ่งจะจบไป นางรำกลุ่มนั้นยังคงไม่ออกไป แต่นั่งพักผ่อนอยู่บริเวณมุมห้อง

เฟิ่งชิงหัวกวาดตามองไปรอบด้าน แต่ก็ยังคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติแต่อย่างใด มีเพียงผู้หญิงที่สลับกันป้อนน้ำให้เพื่อนเท่านั้น

มีผู้ชายสี่คนที่สวมใส่ชุดสีดำทั้งชุด โดยปกคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนดูใบหน้าไม่ออกว่าเป็นใคร