ทันใดนั้น ใบหน้าของผู้พันก็มืดลง “คุณสองคนคิดว่าผมโง่หรือยังไงกัน?! แค่สี่หมัดก็ทำให้อู๋ห่าวอยู่ในสภาพนั้นเลยงั้นรึ? ไปดูหน้าของเขาสิว่าน่าสงสารแค่ไหน! เขาเอาแต่บ่นพึมพำในห้องไม่หยุด เขาต้องถูกรถชนแน่ ๆ ยังไงก็เถอะ รีบบอกฉันมาเลย ไม่ต้องไปกลัวอะไรทั้งนั้น ทุกคนมีฉันคอยหนุนหลังอยู่แล้ว… ให้ตายเถอะ! ใครมันบังอาจกล้ามาทำร้ายนักสู้มือฉมังแห่งกองทัพเรากัน?! ฉันนี่แหละจะไปจัดการมันเอง!”

ทั้งหวังหยิงและหยานเหว่ยต่างพูดอะไรไม่ออก

“ถ้าอย่างนั้น ผมว่าผู้พันก็น่าจะรอจนกว่าอู๋ห่าวตื่น แล้วถามเขาดูเองนะครับ” หยานเหว่ยไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

หลังจากที่อู๋ห่าวตื่นขึ้นมา เขาก็พลันมองไปยังผู้พันที่นั่งอยู่ข้างเตียง ทันใดนั้น ผู้พันก็พลันเอนตัวเข้าไปถาม “ใครเป็นคนทำนายกัน?”

ทว่า อู๋ห่าวก็เอาแต่บ่นพึมพำ “ผมฝัน… ผมฝัน… ผมฝันเห็นแม่… แม่ครับ”

ผู้พันพลันตบหน้าผากตัวเอง “หยุดแกล้งทำเป็นบ้าได้แล้วน่า บอกฉันมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“งั้นผมขอบุหรี่หน่อย” อู๋ห่าวกล่าว

ผู้พันพลันจุดบุหรี่หนึ่งมวนและยื่นให้อู๋ห่าว ในระหว่างที่อู๋ห่าวสูบบุหรี่เข้าไปจนเต็มปอด เขาก็พลันเผยสีหน้าสุดซีดเซียวและหันไปมองหวังหยิงที่ยืนอยู่หลังผู้พันพร้อมกล่าวคำพูด “ขอตั๋วสำหรับการประลองระหว่างเสี่ยวเฉิงกับผู้นำของแก๊งเต่าดำด้วยนะ ขอที่นั่งด้านหน้าสุดเลยด้วย ฉันอยากจะรู้ว่าหมอนั่นยังเหลือพละกำลังที่อยู่เบื้องหลังหมัดทรงพลังนั่นอีกมากแค่ไหน”

“หมอบอกว่านายต้องพักผ่อนสักหน่อยนะเพื่อน” หยานเหว่ยกล่าว

“ไม่! หมอนั่นบอกว่าหมัดที่ทรงพลังที่สุดของเขาสามารถฆ่าใครคนหนึ่งได้เลย ฉันต้องการเห็นมันกับตา! ฉันอยากรู้ว่าผู้นำระดับแก๊งเต่าดำจะตายด้วยหมัดนั้นหรือไม่!”

“แล้วคุณคิดว่าเสี่ยวเฉิงสามารถเอาชนะผู้นำของแก๊งเต่าดำได้ไหมล่ะ?” หวังหยิงถามขึ้น

“ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องบ้าบออะไรอยู่กันเนี่ย?!” ผู้พันรู้สึกสับสน

อู๋ห่าวพลันดับควันและกล่าวคำพูดกับผู้พัน “เอ่อ… หัวหน้าครับ ผู้ชายที่หวังหยิงพาเข้ามาที่นี่ชื่อเสี่ยวเฉิง เขามาจากกองทัพภาคที่ห้าครับ ผมคิดว่าหัวหน้าควรชวนหมอนั่นเข้ามาที่กองทัพเรานะครับ”

หวังหยิงพลันยืนฟังอย่างมีความสุข

ผู้พันพลันตะคอก “กองทัพภาคที่ห้า? นายไม่กลัวว่าเราจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือยังไงกัน? ถ้าเราจะไปเกณฑ์ใครสักคน อย่างน้อยก็ต้องเริ่มจากกองทัพที่ติดสิบอันดับแรกสิ แต่นี่นายกำลังบอกให้ฉันไปหาเกณฑ์คนจากกองทัพที่ติดอันดับยี่สิบแปดเนี่ยนะ? ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ ที่กองทัพภาคที่ห้าน่ะ มีคนเก่งแค่สองคนเท่านั้นแหละ คนแรกชื่อหลี่เหว่ย ส่วนอีกคนชื่อหลัวอี้ แต่ทั้งสองคนนั้นก็ออกจากกองทัพไปแล้ว เพราะแบบนั้น ปีนี้กองทัพภาคที่ห้าก็น่าจะต้องหล่นไปอยู่อันดับสุดท้ายแน่ ถ้าฉันไปที่นั่นเพื่อเกณฑ์พลทหารมาเพิ่มอีก คนอื่นจะคิดกับฉันว่ายังไงกันล่ะ?”

อู๋ห่าวเผยยิ้มอย่างขนขื่น “ตอนแรกทีผมเจอเสี่ยวเฉิง ผมก็คิดแบบหัวหน้านี่แหละครับ ผมทั้งดูถูกและเหยียดหยามหมอนั่นจนเกือบจะตราหน้าให้เขาเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ แต่สุดท้าย ผมก็ต้องมานอนเจ็บตัวอยู่ตรงนี้”

หยานเหว่ยอดไม่ได้ที่จะกวนตีนเพื่อนรักของตน “ฉันบอกนายแล้วนะว่าอย่า… ดูนายตอนนี้สิ พลังลมปราณหายไปไหนแล้วล่ะ?”

อู๋ห่าวพลันตอบกลับ “นายไม่เข้าใจ หมัดนั่น… ขนาดการป้องกันของพลังลมปราณยังใช้ไม่ได้ผลเลย… มันน่ากลัวมากเลยล่ะ”

ทันใดนั้น หวังหยิงก็มองเห็นความหวังในการเกณฑ์เสี่ยวเฉิงเข้ามาร่วมกับกองทัพภาคที่แปด เธอจึงรีบกล่าวคำพูดกับผู้พันโดยตรง “ผู้พันคะ ลองอ่านประวัติของเสี่ยวเฉิงจากกองทัพภาคที่ห้าดูหน่อยไหมล่ะคะ? ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะให้เราเกณฑ์เขาเข้ามาด้วยค่ะ”

หยานเหว่ยพลันพยักหน้าเห็นด้วย “หัวหน้าครับ ผู้ชายคนนี้ฝีมือดีมากเลยนะครับ ผมเองก็ขอแนะนำเขาด้วยอีกคน!”

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้พันก็พลันมองไปยังอู๋ห่าวด้วยสีหน้าสุดจริงจัง “นายต้องมานอนหยอดน้ำข้าวต้มแบบนี้ก็เพราะหมัดของหมอนั่นจริง ๆ งั้นรึ?”

อู๋ห่าวพลันพยักหน้าทันใด “อันที่จริง ถ้าเป็นคนธรรมดาแล้วโดนแค่สองหมัดแรกเข้าไป พวกเขาก็อาจจะตายได้เลยด้วยซ้ำครับ”

ทันใดนั้น ผู้พันก็พลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้ ฉันจะลองอ่านประวัติของผู้ชายคนนี้ดู ถ้าเขามีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่เราต้องการ เราก็อาจจะเกณฑ์เขาเข้ามาร่วมด้วยได้!“