บทที่ 156 ท่านหมอเหลย

บทที่ 156 ท่านหมอเหลย

ท่านหมอหม่าพูดสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำ คนทั้งหมดในห้องก็เข้าใจความหมายได้ทันที กู้เสี่ยวหวานถึงกับหมดแรง หากไม่ใช่เพราะฉือโถวประคองไว้ก็เกรงว่านางจะล้มไปบนพื้นเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานกลับเอ่ยด้วยความเชื่อมั่น “ท่านหมอหม่า คราวที่แล้วที่ข้ากำลังจะตาย ท่านก็ช่วยข้ากลับมาจากประตูนรกได้ คราวนี้ท่านต้องมีทางออกแน่ ใช่หรือไม่!”

เมื่อเผชิญกับคำถามของกู้เสี่ยวหวาน ท่านหมอหม่าก็ร้อนรนกังวลใจ “คราวที่แล้วก็คือคราวที่แล้ว คราวที่แล้วเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บภายในใด ๆ เจ้าแค่หนาวจนตัวแข็ง อาการบาดเจ็บของกู้เสี่ยวอี้ที่ผิวหนังยังรักษาได้ แต่ชีพจรของนาง ข้าไม่แน่ใจเลย ข้า……ข้าไม่เคยเห็นชีพจรแบบนี้มาก่อน ข้า…ข้าทำอะไรไม่ได้เลย!”

กู้เสี่ยวหวานยืนโซเซ คุกเข่าลงบนพื้นและขอร้อง “ท่านหมอหม่า ช่วยน้องสาวของข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”

ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานคุกเข่าลง ท่านหมอหม่าก็ก้าวไปข้างหน้าประคองนางและพูดอย่างอับจนหนทาง “ข้าก็อยากช่วยเหมือนกัน แต่ข้าเป็นแค่หมอประจำหมู่บ้านที่มีทักษะทางการการรักษาจำกัดและยาก็มีจำกัด ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าไปในเมือง ไปเชิญหมอจากในเมืองมา พวกเขามีทักษะทางการแพทย์ที่ดีและมียาครบถ้วน บางทีพวกเขาอาจสามารถช่วยชีวิตน้องสาวของเจ้าได้!”

ทันทีที่ได้ยินว่าให้ไปหาหมอในเมืองจะสามารถรักษากู้เสี่ยวอี้ได้ กู้เสี่ยวหวานก็รีบลุกขึ้น ฉือโถวก็อุ้มกู้เสี่ยวอี้ขึ้นมา และออกจากบ้านของท่านหมอหม่าในทันที

ท่านป้าจางมองไปที่เสี่ยวอี้ในอ้อมแขนของฉือโถว จากนั้นก็มองกู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างกังวลว่า “เรื่องนี้จะแก้ไขได้อย่างไร เรื่องนี้จะแก้ไขได้อย่างไร!”

กู้เสี่ยวหวานสงบนิ่ง นางมองไปที่ฉือโถวและกล่าวว่า “ฉือโถวรีบไปเตรียมเกวียนวัว ท่านป้าจางพวกเรารีบกลับบ้านพากู้เสี่ยวอี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเจ้าค่ะ!”

“รีบกลับกันเถอะ!” ท่านป้าจางตกลงอย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่ไปไหน เขารีบพูดว่า “เตรียมเกวียนวัวอะไร! ข้ามีรถม้า รถม้าของข้าเร็วกว่า พวกเจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ!”

“ตกลง!”

กู้เสี่ยวหวานและท่านป้าจางรีบพากู้เสี่ยวอี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวอี้บาดเจ็บตรงไหนบ้างจึงจำเป็นต้องตัดเสื้อผ้าส่วนที่เปียกออกไป

เมื่อตัดเสื้อผ้าของกู้เสี่ยวอี้ออก บาดแผลทั้งหมดบนร่างกายของนางก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน

มีรอยขีดข่วนในระดับความลึกต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรอยข่วนของกิ่งไม้

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด อาการบาดเจ็บที่ผิวหนังภายนอก การทายาสิบวันถึงครึ่งเดือนก็จะดีขึ้น กุญแจสำคัญคือตอนนี้กู้เสี่ยวอี้อยู่ในอาการสาหัส อาการเป็นตายเท่ากัน

คราวที่แล้วที่กู้เสี่ยวหวานตายไปแล้วและได้รับการช่วยชีวิตกลับมา เป็นเพราะความบังเอิญ

ครั้งนี้ ท่านหมอหม่าบอกว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้ กู้เสี่ยวหวานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะทรุดตัวลง

ท่านป้าจางรีบประคองเสี่ยวกู้หวานไว้และกล่าวอย่างกังวล “เสี่ยวหวาน เจ้าต้องอดทนไว้! ตอนนี้เสี่ยวอี้ต้องพึ่งเจ้านะ!”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าอย่างหนักแน่นและขบกัดฟันแน่น ตอนนี้ทั้งครอบครัวก็เหลือแค่นางแล้ว

กู้เสี่ยวหวานยับยั้งความเศร้าโศกของตนและสวมชุดชั้นในที่สะอาดให้กู้เสี่ยวอี้ แล้วห่อด้วยผ้านวม จากนั้นทั้งหมดก็ขึ้นรถ และมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

รถม้าเคลื่อนไปด้วยความเร็ว แต่ในความคิดของกู้เสี่ยวหวาน ไม่ว่ามันจะเร็วแค่ไหน มันก็ยังช้าอยู่ดี

รถม้าวิ่งตรงไปยังในเมือง เด็กหนุ่มบอกว่าเขารู้จักคนในร้านขายยา ถ้ามาช้าไปเขาสามารถเคาะประตูร้านขายยาได้

กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขารู้สึกว่าอยากรู้จักเด็กหนุ่มที่อบอุ่นและช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ มากมายนี้

รถม้ามาที่ประตูของโรงหมอ ซึ่งมันยังไม่ปิดทำการ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จะมา

ฉือโถวรีบอุ้มกู้เสี่ยวอี้ไปในด้านใน ก่อนท่านหมอที่มีเคราจะเดินออกมา

เด็กหนุ่มเรียกเขาว่าท่านหมอเหลย

เมื่อหมอเหลยเห็นเด็กหญิงตัวเล็กที่ลมหายใจรวยริน เขาก็เหลือบมองดูอย่างอ่อนโยน และพูดเสียงแผ่วเบา “ช่วยไม่ได้ เตรียมตัวสำหรับงานศพเถอะ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความหวังสุดท้ายของกู้เสี่ยวหวานก็พังทลายลงทันที นางไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย จึงคุกเข่าลงพร้อมกับร้องอ้อนวอนอย่างขมขื่น “ท่านหมอ ได้โปรด ช่วยน้องสาวของข้าด้วย!”

“เฮ้อ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วย แต่น้องสาวของเจ้าบาดเจ็บสาหัสเกินไป ดูนางสิ รูม่านตาของนางเริ่มขยายแล้ว ข้าช่วยไม่ได้จริง ๆ!”

“ท่านหมอเหลย ท่านยังไม่ลองช่วยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วยไม่ได้ ได้โปรด ช่วยน้องสาวข้าด้วย ได้โปรด!” กู้เสี่ยวหวานคำนับ

มีเสียงกระดิ่งดังในห้องโถงอย่างกะทันหัน

ท่านหมอเหลยลูบเคราของเขา ดวงตาเป็นประกายและกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถช่วยชีวิตได้!”

ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินก็หันกลับมา รีบฟังอย่างตั้งใจ!

“อาการของน้องสาวเจ้าไม่ดีเลย โดยเฉพาะตอนนี้ที่เหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้าย ถึงใช้โสมแก่ก็อาจไม่ได้ผล โสมแก่นี้หนึ่งหัวราคาหลายร้อยตำลึงเงิน และยังมีค่ายา ค่าหมอ ถ้าไม่มีเงินนั้นก็คงจะไม่ได้ อย่างไร อยากยอมแพ้แล้วใช่ไหม? แล้วถ้าช่วยได้ เจ้ามีเงินมากขนาดนั้นไหมล่ะ?” เมื่อท่านหมอเหลยเปิดปากพูด ก็พูดถึงเงินหลายร้อยตำลึงเงิน ราวกับกำลังจะใช้คำเหล่านี้เพื่อขู่กู้เสี่ยวหวาน

“ข้าจะช่วย!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเด็ดขาดโดยไม่ต้องคิด

“เจ้าคิดดีแล้วหรือ? เงินหลายร้อยตำลึงเงิน เจ้าเอามันออกมาสิ!” หมอเหลยยิ้มแต่ไม่ยิ้ม[1] ไม่เชื่อว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะหยิบเงินหลายร้อยตำลึงเงินออกมาในทันใด

กู้เสี่ยวหวานหยิบตั๋วเงินจากถุงเงินที่นางถืออยู่ยื่นให้ท่านหมอเหลยและพูดอย่างเย็นชาว่า “นี่เป็นตั๋วเงินสามร้อยตำลึงเงิน ตอนนี้ท่านรีบช่วยน้องสาวของข้า ถ้ายังไม่พอ ข้าจะไปเอามันเพิ่ม!”

ท่านหมอเหลยหยิบตั๋วเงินมา และสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนสีในทันใด “รีบส่งคนเจ็บไปที่เตียงข้างใน!”

ฉือโถวจ้องเขม็งไปที่ท่านหมอเหลยผู้บอกว่าตนเองเป็นหมอ แต่ตอนนี้มีเพียงหมอคนนี้เท่านั้น และเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากจ้องเขม็ง

ฉือโถวรีบส่งกู้เสี่ยวอี้เข้าไปข้างใน โดยมีกู้เสี่ยวหวานและท่านป้าจางตามไปด้วย

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้ใจดีที่ช่วยพวกเขาหากู้เสี่ยวอี้มองที่ท่านหมอเหลยและยิ้มอย่างมีความหมาย และทันใดนั้นก็มีคนที่ดูเหมือนคนรับใช้เดินไปหาเด็กหนุ่มและเอาของบางอย่างใส่บนมือของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาดูพอใจอย่างมาก

รอยยิ้มอันอบอุ่นเมื่อสักครู่ คราวนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นในทันที

………………………………………………………………………….

[1] 笑肉不笑 ยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เป็นสำนวนจีนที่หมายถึงการยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง เพื่ออธิบายถึงลักษณะหน้าซื่อใจคดหรือมุ่งร้าย การยิ้มอย่างไม่เต็มใจเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด

สารจากผู้แปล

กรรม รู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ นี่คงเป็นพวกหมอเถื่อนหลอกฟันค่ารักษาแพง ๆ สินะ ขอให้กิจการพวกแกเจ๊ง บังอาจนักที่เอาชีวิตคนมาเป็นเครื่องมือต่อรองขูดรีดเงินคนอื่น

ทำไมชีวิตเด็ก ๆ ถึงต้องซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้นะ

ไหหม่า(海馬)