บทที่ 157 โรงหมอใจดำ

บทที่ 157 โรงหมอใจดำ

เด็กหนุ่มกำลังชั่งน้ำหนักของที่อยู่ในมือ และรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเขาก็หายไป แทนที่ด้วยบุคลิกของลูกผู้ดีมีเงิน ยิ้มพอใจ เอามือไพล่หลัง ออกจากโรงหมอและหายตัวไปในความมืด

ท่านหมอเหลยเข้าไปในห้องด้านหลัง มองดูกู้เสี่ยวอี้ที่นอนอยู่บนเตียงในโรงหมอ เขาก็สั่งให้เด็กจ่ายยานำโสมมาก่อนที่จะวัดชีพจรเสียอีก

เด็กจ่ายยาได้รับคำสั่งก็หันหลังกลับไปทันที และในเวลาไม่นานเขาก็เข้ามาพร้อมถาด ซึ่งบนถาดมีโสมอยู่

“ท่านหมอเหลย ข้าได้ยินมาว่าโสมแก่แบบนี้ในร้านขายยาสามารถหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วใช้ทีละแผ่นได้ ไม่อย่างนั้นเราใช้กี่ชิ้นก็ซื้อเท่านั้น ท่านว่าอย่างไร?” ท่านป้าจางเคยเห็นโสมและก็รู้ว่าโสมใช้อย่างไร คนในหมู่บ้านแม้แต่คนรวยในเมืองก็รู้ว่าโสมในร้านขายยาไม่ได้ซื้อทีละหัว แต่ซื้อและหั่นเป็นชิ้น ๆ วิธีนี้สามารถประหยัดเงินได้มาก

“เจ้าพูดแบบนั้นไม่ถูกต้อง โสมของข้าราคาหลายร้อยตำลึงเงิน ถ้าเจ้าใช้มันแล้ว แต่ใช้ไม่หมด คนอื่นก็คงไม่ใช้แล้ว อย่างนั้นโสมที่เหลือของข้าก็คงจะเปล่าประโยชน์” ท่านหมอเหลยได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที

“ในโรงหมอที่อื่นไม่ได้ใช้โสมแบบฝานเป็นชิ้นกันหรือ?” ท่านป้าจางถามอย่างสงสัย

เมื่อท่านหมอเหลยได้ยินคำพูดของท่านป้าจาง ใบหน้าของเขาก็ดำทะมึนลงทันที ส่วนเด็กจ่ายยาที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตอบในทันทีว่า “เจ้าจะเอาไหม ถ้าไม่เอาก็คืนมา”

“หมอที่นี่ทุกวันนี้ยังดูคนไข้ไม่ครบเลย เพิ่งไปพบคนไข้เสร็จและอยากปิดร้าน พวกเจ้ามาที่นี่และยังจะเรื่องมากอีก ถ้าไม่อยากหาหมอก็ไปที่อื่น!”

ชัดเจนว่าอยากให้ซื้อโสมทั้งหัว นี่ก็ดึกมากแล้ว โรงหมอที่อื่นก็คงปิดหมดแล้ว ที่พวกเขามาที่นี่เพราะเด็กหนุ่มบอกให้มาที่นี่ เขาบอกว่าเขาคุ้นเคยกับหมอมาก แต่ดูไปแล้วก็เหมือนไม่ได้คุ้นเคย!

“ข้าไม่คิดว่าหมอคนนี้จะตรวจคน ดูเหมือนว่าเขาแค่ต้องการเงิน……” เสี่ยวฉือโถวพูดเบา ๆ อย่างไม่พอใจ แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว โรงหมอที่อื่นก็ปิดหมดแล้ว และอาการของกู้เสี่ยวอี้ก็หนักมาก ไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว

“ฉือโถว เด็กหนุ่มที่พาเรามาที่นี่ยังอยู่ไหม? ให้เขาคุยกับท่านหมอเหลยคนนี้ที” ท่านป้าจางกระซิบข้างหูของฉือโถว

“ดูเหมือนว่าเขาจะไปแล้ว เมื่อสักครู่ที่เราเข้ามาก็เห็นเขาทักทายท่านหมอเหลย แล้วเขาก็จากไปทันที” เสี่ยวฉือโถวส่ายหัวและพูด

เมื่อทั้งสองเห็นว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ทำใจเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานซึ่งอยู่หน้าเตียงกุมมือน้องสาวไว้แน่น รู้สึกประหม่า เมื่อมองกู้เสี่ยวอี้ที่หมดสติ นางก็ยังคงอธิษฐาน!

นางเพิ่งสาบานกับบิดามารดาผู้ล่วงลับไปว่าจะเลี้ยงน้องชายและน้องสาวเหล่านี้ให้เป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าน้องสาวจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตา กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ได้แต่หวังว่าอาการบาดเจ็บนี้จะมาอยู่บนร่างกายของตนเอง

ท่านหมอเหลยจับชีพจรของกู้เสี่ยวอี้ จับชีพจรนานเกือบหนึ่งก้านธูป และใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก หลังจากตรวจชีพจรแล้วก็พูดโดยไม่ยิ้ม “สาวน้อย เจ้ามีเงินพอไหม? ข้าจะจ่ายยาให้!”

กู้เสี่ยวหวานพูดโดยไม่ลังเลเลย “จ่ายเถอะ!”

ท่านหมอเหลยมองกู่เสี่ยวหวานอย่างมีความหมาย และดูเหมือนกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเงินที่เด็กสาวคนนี้ “เหอะ ๆ เจ้าเป็นแค่เด็กผู้หญิง กลับพกตั๋วเงินสองร้อยตำลึงเงินติดตัวมาด้วย เจ้าไม่ได้ไปขโมยมาจากข้างนอกใช่ไหม!”

“นี่คือสิ่งที่ข้าหามาด้วยตัวเอง ท่านหมอวางใจแล้วจ่ายยาเถอะเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วจนย่นยู่ ตั้งแต่วินาทีที่นางเข้ามาในโรงหมอแห่งนี้ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างไม่สามารถบอกได้ แต่ติดที่ตอนนี้นางก็คิดอะไรมากไม่ได้ เพราะต้องให้เสี่ยวอี้ไปหาหมอก่อน

“ตกลง ข้าจะสั่งยาให้!” ท่านหมอเหลยลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องโถงด้านนอก “ไปเอายาที่คนอื่น!”

ฉือโถวรีบตามไป

ท่านหมอเหลยไม่ได้สั่งยาด้วยซ้ำ เขาหยิบยาหลายสิบตัวจากตู้ยาโดยตรง แต่ละอย่างเป็นล้วนเป็นชุดใหญ่ แล้วสั่งเด็กจ่ายยาว่า “แบ่งยาเหล่านี้เป็นสามสิบห่อ!” หลังจากพูดแบบนี้ ท่านหมอเหลยก็ส่ายหน้าและจากไป

ฉือโถวรีบหยุดเขาและถามอย่างกระตือรือร้นว่า “เสี่ยวอี้ยังไม่ฟื้นหรือ!”

“ไม่เป็นไร กินยาเสร็จแล้ว อีกไม่ถึงชั่วยามก็จะฟื้น!” ท่านหมอเหลยให้คำมั่นสัญญาด้วยความมั่นใจ

“ยานี้ดื่มวันละซอง” เขาเอ่ยพึมพำ จากนั้นเดินออกไปทันทีโดยไม่คำนึงถึงคนที่อยู่ข้างใน

เด็กจ่ายยาแบ่งยาออกเป็นสามสิบห่อแล้วยื่นให้ฉือโถว ครั้นฉือโถวทำท่าจะเอื้อมรับ เด็กจ่ายยาคนนั้นกลับหดมือกลับและแบมือ “จ่ายเงินก่อน!”

“เท่าไร!” ฉือโถวได้ยินแล้วก็อยากจะจ่ายด้วยเงินของตัวเอง

“สามร้อยตำลึงเงิน!”

“ท่านพูดว่าเท่าไรนะ?” เมื่อฉือโถวได้ยินดังนี้ เขาก็ตกตะลึงพลางคิดว่าตนหูฝาดไป

“สามร้อยตำลึงเงิน!”

“พวกท่านเปิดโรงหมอประสาอะไรกัน เรียกว่าร้านเถื่อนจะดีกว่า ทำแบบนี้ไม่มาปล้นกันเลยเล่า!” ฉือโถวตัวสั่นด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่ายาสามสิบซองมีราคาสามร้อยตำลึงเงิน

ทว่าเด็กจ่ายยาโบกมือแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าคิดว่ามันแพงเกินไปก็อย่าซื้อเลย! ถึงอย่างไรโรงหมอของเราก็ไม่ขาดลูกค้าอยู่แล้ว ถ้าซื้อยาไม่ได้ก็กลับไปรอความตายเถอะ!”

นี่ไม่ใช่โรงหมอ แต่เป็นร้านเถื่อนที่หิวเงินโดยไม่สนความเป็นความตายของคน!

ฉือโถวทำอะไรไม่ถูก ยาสามสิบซองนี้ราคาสามร้อยตำลึงเงิน และทั้งครอบครัวเขาก็ไม่สามารถจ่ายเงินสามร้อยตำลึงเงินได้ เขาจึงเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้ามืดครึ้ม และบอกกู้เสี่ยวหวานว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก

“พี่ฉือโถว ไปซื้อเถอะ” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเด็ดขาด เงินเป็นสิ่งของนอกกาย ต่อให้นางต้องล้มละลายเพราะช่วยชีวิตกู้เสี่ยวอี้ นางก็ไม่ลังเล

นางหยิบตั๋วเงินสามร้อยตำลึงออกจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้กับฉือโถว “ข้ามีเงินเหลืออยู่สามร้อยตำลึงเงิน รบกวนท่านไปซื้อยาและต้มยามาให้ที”

กู้เสี่ยวอี้บนเตียงยังคงนอนนิ่งอยู่ แต่เนื้อตัวอุ่นขึ้นเล็กน้อยแล้ว และใบหน้าของนางก็ไม่ขาวซีดเหมือนก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะได้รับโสม

กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจอะไร ต่อให้ที่นี่จะเป็นร้านเถื่อน ตราบใดที่สามารถใช้เงินรักษากู้เสี่ยวอี้ได้ นางก็ยินดีที่จะจ่ายแพงกว่านี้

ฉือโถวหยิบยาและยืมหม้อยาในห้องรักษามาต้มยา

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยาสามสิบซองคิดสามร้อยตำลึง บ้าบอ ขอให้พวกแกเจ๊ง เอาชีวิตคนมาเป็นข้ออ้างมัดมือชกให้ต้องยอมจ่ายแพงอะ

ผู้เขียนต้องฝังใจกับการรักษาในโรงพยาบาลสักที่แล้วโดนฟันค่ารักษา ค่ายา ค่าหมอแพง ๆ แน่ ๆ เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)