ตอนที่ 177 ถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ
“อะ พี่ให้”
“อะไรเหรอ”
“ข้างในมีไข่แดง”
หลังจากหลินเยวียนมาถึงฉินโจว ก็ยื่นไข่แดงที่ห่อด้วยน้ำตาลให้กับหลินเหยา
แม้ว่าจะเป็นเหมือนการยืมดอกไม้คนอื่นมาถวายพระ แต่อย่างไรก็ยังใช้บรรเทาความโกรธของน้องสาวได้
หลังจากการกลับมาของหลินเยวียน หลินเซวียนก็พาหลินเยวียนกับหลินเหยาเข้าไปในวิลล่าซึ่งเพิ่งจะตกแต่งภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว!
บอกว่าเป็นวิลล่าสามชั้น บวกกับห้องใต้ดินแล้ว อันที่จริงมีทั้งหมดสี่ชั้น
คืนแรกที่เข้าไปอยู่ในวิลล่า หลินเซวียนไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นดีใจ โพสต์รูปภาพจนเต็มโมเมนต์
ส่วนหลินเหยามาถึงก็เดินตรงไปหาห้องหนังสือที่ถูกอกถูกใจทันที
ตอนนี้เธอปิดเทอมฤดูหนาวแล้ว เทอมหน้าวางแผนว่าจะมาอยู่ที่นี่ เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับที่หลินเยวียนกลับมาเรียนที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวแล้ว
หลินเยวียนกลับคิดว่าไม่ได้มีความแตกต่าง
เขาอยู่ในห้องนอนชั้นสาม แปลนของห้องละม้ายคล้ายคลึงกับห้องที่อยู่ก่อนหน้านี้ ในห้องนอนมีคอมพิวเตอร์วางอยู่
ตอนนี้
หลินเยวียนกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาภาพยนตร์ของสตาร์ไลท์
ภาพยนตร์ของบลูสตาร์ใช้ฉีโจวเป็นมาตรฐาน…
ตอนนี้เรียกว่ามณฑลฉี
เพราะลำพังเทคนิคและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ อันที่จริงความสามารถของวงการภาพยนตร์มณฑลฉีนั้นเหนือกว่าฮอลลีวูดบนโลกเป็นไหนๆ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์แทบถึงระดับที่มองไม่ออกเลยว่าไม่ใช่ของจริง
บางทีอาจเป็นเพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรุดหน้าไปไกลมากแล้ว
ภาพยนตร์ของบลูสตาร์ดูเหมือนว่าจะพึ่งพาเทคนิคสเปเชียลเอฟเฟ็กต์มากเกินไป จนทำให้พล็อตเรื่องดูอ่อนลง
แต่ต่อให้พล็อตเรื่องจะอ่อนด้อยขนาดไหน ก็เพราะมีการเปรียบเทียบเท่านั้นเอง
ถ้าเปรียบเทียบกับบนโลกละก็ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบลูสตาร์นั้นก้าวหน้าไปกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย!
จุดนี้ก็เหมือนกับที่มาตรฐานโดยภาพรวมของดนตรีบนบลูสตาร์นั้นสามารถเกทับโลกได้
และระบบภาพยนตร์ของบลูสตาร์นั้นคล้ายคลึงกับประเทศเกาหลีใต้อยู่บ้าง…
นักเขียนบทมีอำนาจมากในกอง!
นักแสดงเมื่ออยู่ต่อหน้านักเขียนบทแล้วไม่กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่
ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงกับนักเขียนบทนั้นตึงเครียดเกินไป บทของคนคนนั้นอาจกลายเป็นบทรอง หรือถึงขั้นเป็นต้องเก็บของกลับบ้านเลย
ผู้กำกับไม่สามารถปรับแก้บทโดยพลการได้
นักแสดงเปลี่ยนบทพูดเท่ากับไม่ให้เกียรตินักเขียนบท
มีนักลงทุนบางคนถึงขั้นพิจารณาการลงทุนจากนักเขียนบท และนักเขียนบทที่มีชื่อเสียงก็สามารถเลือกผู้กำกับและนักแสดงเองได้ด้วย
ยิ่งหลินเยวียนเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่ารูปแบบนี้เหมือนกับเกาหลีใต้มากเท่านั้น
บนโลกออนไลน์มีบทสัมภาษณ์ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อและเปรียบประหนึ่งตัวแทนของเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี ฟังดูคล้ายกับเรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องจริง
‘เพื่อนนักเขียนบทคนหนึ่งของฉัน เขียนบทซีรีส์แนวพีเรียด ตอนนั้นพวกเขาถ่ายทำไปด้วยฉายไปด้วย มีนักแสดงหญิงเบอร์รองคนหนึ่งสนิทสนมกับผู้กำกับ ทำให้ทีมงานในกองถ่ายคนอื่นๆ ไม่กล้าผิดใจด้วย ตอนหลังเป็นเพราะไม่ยอมฟังที่ผู้ช่วยผู้กำกับบอก แถมไปกวนประสาทเพื่อนฉันเข้า เพื่อนของฉันเลยไปบอกฝั่งผู้ลงทุน ว่าถ้านักแสดงคนนั้นไม่ไป ฉันไปเอง นึกไม่ถึงว่าซีรีส์เรื่องนั้นผู้ลงทุนเป็นใหญ่ ผู้กำกับยังช่วยไว้ไม่ได้ สัปดาห์ต่อมาเพื่อนฉันเขียนบทให้นางตาย แถมยังทุกข์ทรมาน ตกระกำลำบากจนต้องหนีตาย จากนั้นก็ไปเจอโจรป่า ถูกผลักลงในบ่อโคลน ตามมาด้วยทำร้ายสารพัด สุดท้ายแล้วตัวละครนี้ก็กระโดดหน้าผาจบชีวิตตัวเอง…’
เรื่องนี้ทำให้เห็นถึงสถานะของนักเขียนบทได้อย่างชัดเจน
แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้สถานะของนักเขียนบทจะสูงส่งขนาดไหน ก็ยังไม่ใช่หัวใจหลักของกองเพียงผู้เดียว
อันที่จริงกองถ่ายส่วนมากจะเป็นแกนหลักคู่
ที่เรียกว่าแกนหลักคู่ก็คือผู้กำกับและนักเขียนบทนั้นมีอำนาจเท่าเทียมกัน
นักเขียนบทฝีมือดีมักมีอำนาจ แต่ผู้กำกับฝีมือดีก็มีอำนาจไม่ต่างกัน
เพราะฉะนั้น
แทนที่จะบอกว่าบนบลูสตาร์นักเขียนบทมีสถานะสูงที่สุด ไม่สู้บอกว่านักเขียนบทและผู้กำกับของบลูสตาร์นั้นมีสถานะเท่าเทียมกัน
หากจะเจาะลงลึกในรายละเอียดว่าใครยิ่งใหญ่กว่า ก็คงต้องว่ากันตามฝีมือและประสบการณ์
จุดนี้ก็คล้ายกับฮอลลีวูด
ในโลกเดิมมีคำสัพยอกหนึ่งที่อธิบายไว้เหมาะเจาะมาก
เกาหลีใต้มีนักเขียนบทเป็นระบบหลัก!
ฮอลลีวูดมีผู้กำกับเป็นระบบหลัก!
ส่วนจีนนั้นไม่เหมือนใคร เพราะมี ‘ดารา’ เป็นระบบหลัก!
บลูสตาร์มีดาราอยู่เต็มไปหมด ดังนั้นนักเขียนบทและผู้กำกับอำนาจเท่าเทียมกัน ส่วนดารานั้นเป็นรอง
ก็เหมือนกับวงการเพลง
สถานะของนักประพันธ์เพลง ก็มักจะสูงกว่านักร้องเสมอ
เพียงแต่เหนือนักร้องมีแค่นักประพันธ์เพลง แต่เหนือดารากลับมีขุนเขาสูงชันสองลูกอย่างผู้กำกับและนักเขียนบทค้ำอยู่
มิน่าล่ะระบบถึงอยากให้หลินเยวียนเข้าวงการภาพยนตร์ในฐานะนักเขียนบท
เพราะขีดจำกัดของสถานะเช่นนี้สูงเหลือเกิน
หลังจากที่พอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว ในที่สุดข้างหูของหลินเยวียนก็มีเสียงแจ้งเตือนจากระบบ “โฮสต์ซึ่งหวนคืนสู่ฉินโจวได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะมอบกล่องสมบัติสีเงินให้ ในนั้นมีบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง จะเปิดหรือไม่”
หลินเยวียนตอบอย่างไม่ลังเล “เปิดเลย”
กล่องสมบัติใบใหม่นี้เปิดในทันที “ยินดีด้วยโฮสต์ได้รับบทภาพยนตร์เรื่อง ‘ถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ[1]’”
หลินเยวียนชะงักไป
หลังจากนั้นความคิดแรกของหลินเยวียนก็คือ
ระบบนี้ให้แต่ผลงานเฉพาะกลุ่มกับตนมาอีกแล้ว
ก็เพราะเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศนั้นเป็นภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสารสุดคลาสสิกเรื่องหนึ่ง!
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ บลูสตาร์ใช่ว่าจะไม่มีภาพยนตร์แนวชวนหัวประเภทนี้ แต่หาได้ยากมากจริงๆ
เพราะภาพยนตร์แนวนี้จัดอยู่ในหมวดเฉพาะกลุ่ม!
ถูกต้อง เฉพาะกลุ่มอีกแล้วละ!
ระบบคล้ายกับจะชื่นชอบให้หลินเยวียนทวนกระแสตลาดเหลือเกิน สิ่งที่เรียกว่าบทภาพยนตร์แบบสุ่มที่ว่านี้ไม่ได้สุ่มจริงๆ หรอก
ทว่าการที่ภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสารจะเป็นแนวเฉพาะกลุ่มนั้น อันที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมดามาก
บนโลกนี้ไม่มีโจวซิงฉือ แล้วก็ไม่มีนักแสดงซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะตัวแทนของภาพยนตร์แนวชวนหัวอย่างจิม แคร์รีย์ หนำซ้ำยังไร้การกรุยทาง ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ตลาดจะตกอยู่ในสภาวะเข็นไม่ขึ้นเช่นนี้
แต่หลินเยวียนเกิดความคิด และนึกขึ้นได้ว่าสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหลือรับ
เพราะต่อให้ภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสารจะเฉพาะกลุ่มมากกว่านี้ ก็คงไม่ได้เฉพาะกลุ่มไปกว่านิยายแนวการแข่งขันกีฬาในวงการนิยายหรอก
ส่วนต้นแบบของถังปั๋วหู่…
แน่นอนว่าบนบลูสตาร์ไม่ได้มีต้นแบบของถังปั๋วหู่
ยุคสมัยนั้นต่างไปแล้ว ชะตาชีวิตของผู้คนย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงตาม
ถึงอย่างไรจากความรู้ประวัติศาสตร์ของบลูสตาร์ที่หลินเยวียนมี บนโลกนี้ไม่มีบรรดากวีหรือบัณฑิตเฉกเช่นบนโลก มีแค่อริยบุคคลระดับหลี่ไป๋อยู่จำนวนหนึ่งก็เท่านั้น ที่ยังคงดื้อดึงปรารถนาจะมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์
เพียงแต่ว่าเนื้อหาของบทกลอนของพวกเขานั้นต่างออกไป
อย่างไรเสียการสร้างสรรค์งานศิลปะประเภทนี้จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับประสบการณ์และภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของศิลปิน
หลินเยวียนเพียงแต่คิดว่า…
การที่ผู้ชมไม่รู้จักว่าถังปั๋วหู่เป็นใครนั้น จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับอรรถรสในการรับชม
ส่วนภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ก็อธิบายไปว่าเป็นจินตนาการก็ได้
เขาแทบจะไม่จำเป็นต้องแก้พล็อตเรื่องเลยด้วยซ้ำ
ต้นฉบับนับว่าคลาสสิกมากแล้ว
เมื่อพิจารณาถึงปัญหาเรื่องฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ หลินเยวียนรู้สึกว่าเงินลงทุนน่าจะไม่สูงมาก
จะว่าไปก็ถูก
นักประพันธ์เพลงอย่างหลินเยวียน อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปถ่ายภาพยนตร์ ต่อให้ทางสตาร์ไลท์ตอบฝืนใจตกลง ก็ไม่มีทางระดมทุนได้สูงนักหรอก
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์แยกแยะขั้นพื้นฐานของหลินเยวียนย่อมรู้ในจุดนี้ดี
นอกจากนั้นแล้ว…
บนโลกที่ไม่มีโจวซิงฉือ[2] หากจะให้ดึงเสน่ห์และกลิ่นอายของภาพยนตร์เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศออกมานั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทำไมภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสารของโจวซิงฉือดังเป็นพลุแตกน่ะหรือ?
ไม่ใช่เพราะตัวภาพยนตร์ได้รับความนิยมถึงขนาดนั้นหรอก ขีดจำกัดของภาพยนตร์แนวนี้ที่จริงแล้วมีเยอะมาก กุญแจสำคัญที่แท้จริงอยู่ที่โจวซิงฉือ การแสดงภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสารของเขานั้นสูงถึงขีดจำกัดเหล่านี้ไปแล้ว!
พูดง่ายๆ ก็คือ
ภาพยนตร์ของโจวซิงฉือที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองเหล่านั้น ถ้าไม่มีโจวซิงฉือมาแสดง ไม่ว่าจะเป็นความคลาสสิกหรือจำนวนผู้ชมก็คงตกฮวบลงไปถนัดตา!
เห็นจะเป็นเพราะเหตุผลเช่นนี้ ระบบถึงได้จัดเตรียมไอเทมเป็นตัวช่วยไว้ให้ด้วย
เมื่อมีไอเทมเหล่านี้ หลินเยวียนก็สามารถลองถ่ายภาพยนตร์เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศออกมาได้
………………………………………….
[1] ถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ (1993) ภาพยนตร์จากฮ่องกง นำแสดงโดยโจวซิงฉือ ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า ‘ถังไป่หู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ’ ทว่าในที่นี้จะขออ้างอิงตามการออกเสียงตามฉบับภาษาจีนกลาง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนึ่งในสี่กวี่ผู้ยิ่งใหญ่สมัยราชวงศ์หมิง นามว่าถังปั๋วหู่ ไปตกหลุมรักสาวใช้จากจวนสกุลหวา นามว่าชิวเซียง เขาจึงปลอมตัวเข้าไปเป็นบ่าวในจวนสกุลหวา
[2] โจวซิงฉือ (Stephen Chow) นักแสดง นักเขียนบท ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ชาวฮ่องกง ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าพ่อหนังตลก มีผลงานชื่อดังมากมาย เช่น คนเล็กหมัดเทวดา (Kungfu Hustle) นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่ (Shaolin Soccer) คนเล็กกุ๊กเทวดา
(The God of Cookery) ฯลฯ