ตอนที่ 178 บทนี้จะต้องดังแน่ๆ
ในวันที่สองหลังจากกลับมายังมณฑลฉิน หลินเยวียนก็ไปทำงานอย่างเป็นทางการ
ในตอนนั้น การปรับเปลี่ยนรูปแบบแผนกต่างๆ ในบริษัทได้สำเร็จเป็นรูปธรรมในระยะแรกแล้ว หลินเยวียนเพิ่งจะถึงบริษัทก็เปลี่ยนป้ายตำแหน่ง จากนี้ต่อไปเขาไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในมือทองของแผนกประพันธ์เพลงสตาร์ไลท์ เพราะขณะเดียวกันก็ยังเป็นตัวแทนของแผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้าด้วย!
และในวันนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่หลินเยวียนจะได้พบหน้าทีมงานแผนกประพันธ์เพลงของตน…
เมื่อลิฟต์เคลื่อนมาหยุดที่ชั้นเก้า
หลินเยวียนเดินเข้าไปในแผนกประพันธ์เพลง สิ่งที่มองปราดแรกไปเห็น ก็คือใบหน้าอันไม่คุ้นเคยนับไม่ถ้วน
เห็นได้ชัดเจน
หลังจากจัดสรรบุคลากรกันอลหม่าน นักประพันธ์เพลงก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ชั้นอื่นๆ ก็ถูกโยกย้ายมายังชั้นเก้าของหลินเยวียน
นอกจากนั้นแล้ว
หลินเยวียนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ก็เห็นเพื่อนร่วมงานที่พอจะคุ้นหน้าอยู่หลายคน คนเหล่านี้ก็ถูกจัดสรรมาให้อยู่ในแผนกของหลินเยวียน
ในนั้น
หลินเยวียนยังเห็นเซวียเหลียงลูกศิษย์ที่ตนรับมาจากมณฑลฉีด้วย แต่การที่เซวียเหลียงถูกจัดสรรมาอยู่กับหลินเยวียนนั้นเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรหากเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซวียเหลียงกับหลินเยวียนเพียงนิดเดียว ทางแผนกทรัพยากรบุคคลก็รู้แล้วว่าควรจัดการอย่างไร
“หลินเยวียน”
เหล่าโจวปรากฏตัวขึ้น
หลินเยวียนหันไปเอ่ยทักทาย
เหล่าโจวกล่าวกลั้วหัวเราะ “นายอาจจะยังไม่ชิน ฉันก็เลยจัดหารองหัวหน้ามาให้นายคนหนึ่ง”
เหล่าโจวเข้าใจดี
ว่าบุคลิกของหลินเยวียนไม่ได้ต่างอะไรกับบรรดาพ่อเพลง หากจะคาดหวังให้หลินเยวียนรวมไปถึงพ่อเพลงมาดูแลบริหารงานก็อาจเกินจริงไปสักหน่อย ถึงขั้นที่พูดได้ว่าหากจะหวังให้พวกเขามาทำงานตรงเวลายังยากเลย ดังนั้นทุกแผนกจึงมีการจัดสรรรองหัวหน้าไว้
“สวัสดีครับตัวแทนหลิน ต่อไปผมจะเป็นรองหัวหน้าของคุณ!”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังของหลินเยวียน เมื่อหลินเยวียนหันหลังไปมอง ถึงพบว่ารองหัวหน้าของตนนั้นก็คือคนคุ้นเคยจริงๆ
อู๋หย่ง!
รอยยิ้มของอู๋หย่งเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพราะหลินเยวียนเป็นหัวหน้าในอนาคตของเขา เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ อู๋หย่งรู้สึกว่าการได้เลื่อนตำแหน่งของเขานั้นเหลือเชื่อมาก!
ถ้าหากพูดถึงเรื่องฝีมือในการประพันธ์เพลง เขาไม่ได้เป็นแม้แต่มือทองด้วยซ้ำ!
งั้นทำไมเหล่าโจวถึงให้เขาเป็นผู้ช่วยของหลินเยวียนน่ะหรือ
ก็เพราะเขา อู๋หย่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่หลินเยวียนคุ้นเคยที่สุดยังไงล่ะ!
เพราะฉะนั้นอู๋หย่งเข้าใจดี แทนที่จะบอกว่าตำแหน่งรองหัวหน้าของตนเป็นคำสั่งของเหล่าโจว ไม่สู้บอกว่าหลินเยวียนเป็นคนมอบตำแหน่งให้จะดีกว่า!
ความรู้สึกแรกของอู๋หย่งก็คือ ชีวิตนี้ของตน ก็มีวันที่จะถูกล็อตเตอรี่ราคาสูงลิบลิ่วกับคนอื่นเขาเหมือนกัน!
หลินเยวียน ก็คือล็อตเตอรี่ราคาสูงลิบลิ่วใบนั้นของอู๋หย่ง…
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมองจากมุมไหน หลังจากนี้อู๋หย่งก็จะช่วยหลินเยวียนบริหารแผนกนี้อย่างเต็มที่!
นี่เป็นปัจจัยในการพิจารณาของเหล่าโจว
เหล่าโจวรู้ว่าอู๋หย่งเป็นคนฉลาด
คนฉลาดก็น่าจะกระจ่างดีว่าใครเป็นผู้มีพระคุณที่แท้จริงของตน
หัวหน้าคนอื่นๆ ของแผนกส่วนมากจะไต่เต้าขึ้นมาตามลำดับ มีเพียงอู๋หย่งที่ก้าวขึ้นตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปรนนิบัติพัดวีหลินเยวียนเป็นอย่างดี
เพราะท่าทีของหลินเยวียน เป็นตัวตัดสินว่าสรุปแล้วตำแหน่งรองหัวหน้าซึ่งได้มาเพราะความสัมพันธ์อันดีกับหลินเยวียนจะไปต่อได้หรือไม่!
“พี่หย่ง”
หลินเยวียนพยักหน้าให้อู๋หย่ง
วิธีการเรียกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้หลินเยวียนก็เรียกแบบนี้
ยามปกติอู๋หย่งฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร วันนี้กลับรู้สึกว่ารับไม่ไหว แต่เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้พยายามแก้ไขแต่อย่างใด
เขาพอจะรู้จักหลินเยวียน และรู้ว่าหลินเยวียนไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้
……
ไม่ได้เสียเวลาอยู่ที่แผนกประพันธ์เพลงนาน หลินเยวียนเห็นว่าไหนๆ เหล่าโจวก็มาแล้ว ถือโอกาสคุยกับอีกฝ่ายเรื่องภาพยนตร์เลยก็แล้วกัน
“นายว่าไงนะ”
ห้านาทีผ่านไป ในห้องทำงานแผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้า สีหน้าของเหล่าโจวเปลี่ยนไปทันที “นายจะถ่ายภาพยนตร์”
“ใช่ครับ”
หลินเยวียนหยิบบทภาพยนตร์ซึ่งตนเขียนเสร็จเมื่อคืนออกมา “เขียนเรื่องเสร็จแล้วครับ…”
เหล่าโจวร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
นี่มันอะไรกันเนี่ย
หลังจากที่หลินเยวียนรับตำแหน่งตัวแทนของแผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้า สิ่งแรกที่ทำกลับไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับดนตรี แต่ว่าจะถ่ายภาพยนตร์?
แม้ว่าเหล่าโจวจะคุ้นเคยกับการใช้ลูกเล่นที่ไม่เหมือนคนทั่วไปของหลินเยวียน แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ หลินเยวียน”
เหล่าโจวพูดเกลี้ยกล่อม “ถ่ายภาพยนตร์ เป็นคนละเรื่องกับแต่งเพลงเลยนะ นายคิดว่าบริษัทเพิ่งบุกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ นายก็เลยอยากมีส่วนช่วยใช่มั้ยล่ะ วางใจเถอะ ประเดี๋ยวจะมีเวลาให้นายแสดงฝีมือ หนังก็ต้องใช้เพลงประกอบใช่มั้ยล่ะ นายรับผิดชอบแค่เขียนเพลงก็พอแล้ว”
หลินเยวียนอธิบาย “ไม่กระทบกับการเขียนเพลงแน่นอนครับ”
เหล่าโจวพยักหน้าหงึกๆ “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กระทบหรือไม่กระทบ ฉันรู้ว่านายฝีมือดีมาก แต่เรื่องนี้กะทันหันเกินไปหน่อย ต่อให้ฉันอยากจะตอบตกลงก็ยังยาก จู่ๆ บริษัทจะมาตั้งกองถ่ายให้นายได้ยังไง ต้องเข้าใจก่อนว่าแผนกภาพยนตร์ของเราอยู่ในระยะเริ่มต้น ถ้านายอยากทำหนังให้ได้ ฉันสัญญากับนายเลยก็ได้ว่ารอให้งานภาพยนตร์ของบริษัทเข้าที่เข้าทาง แล้วจะให้นายลองดูสักครั้ง!”
เหล่าโจวรู้สึกเหมือนตนกำลังปลอบเด็กอยู่
ราวกับจู่ๆ เด็กน้อยก็เกิดความคิดแปลกประหลาดขึ้นมา บอกว่าอยากเล่นปืน
จะให้เหล่าโจวไม่รู้สึกจนคำพูดได้ยังไงกัน
และที่จนคำพูดยิ่งกว่า ก็เพราะในตอนนี้เหล่าโจวเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบแผนกภาพยนตร์ หลินเยวียนมาหาเขาก็นับว่ามาหาถูกคนแล้ว เพียงแต่เหล่าโจวไม่อยากให้หลินเยวียนมาหาด้วยเรื่องแบบนี้เลย
หลินเยวียนบอก “ลองดูบทก่อนก็ได้ครับ”
เขาส่งบทภาพยนตร์ไปตรงหน้าเหล่าโจว
เหล่าโจวถอนหายใจ พลางหยิบบทภาพยนตร์มาเปิดอ่าน
อ่านไปได้สักพัก เหล่าโจวก็มองหลินเยวียนด้วยความตกใจ
บทภาพยนตร์นี้ใช้ได้เลยทีเดียว อย่างน้อยรูปแบบก็ไม่มีปัญหาอะไร มองออกว่าหลินเยวียนไม่ได้อยู่ๆ นึกครึ้มอยากถ่ายภาพยนตร์ขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้เหล่าโจวตกใจยิ่งกว่าก็คือ…
หลินเยวียนไม่ได้แค่เขียนบทภาพยนตร์ออกมาเพียงอย่างเดียว แม้แต่สถานที่ถ่ายทำกับรายละเอียดเกี่ยวกับนักแสดงที่ต้องการก็กำหนดไว้แล้ว!
นอกจากนั้นแล้ว
หลินเยวียนยังวาดภาพไว้ส่วนหนึ่ง
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เหล่าโจวอาจไม่ค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้สักเท่าไหร่ เพราะเขาเองก็เพิ่งเข้ามาคลุกคลีในวงการภาพยนตร์
ทว่าช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ภายใต้การจัดแจงของบริษัท เหล่าโจวได้รับการฝึกฝนความรู้ด้านภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้ว่าภาพเหล่านี้ของหลินเยวียนคืออะไร
สตอรีบอร์ด!
หลินเยวียนไม่ได้ทำแค่เขียนบทภาพยนตร์ แม้แต่สิ่งที่ผู้กำกับควรทำ เขาก็จัดแจงออกมาอย่างละเอียดรอบคอบ!
ส่วนเนื้อหา…
ถึงอย่างไรเหล่าโจวก็ยังมองอะไรไม่ออก เป็นเรื่องราวของบุรุษผู้มีพรสวรรค์และหญิงงามไม่ใช่หรือไง แค่เนื้อเรื่องเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไร้แก่นสาร ชวนให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก
ตัวอย่างเช่นหลินเยวียนเขียนไว้ในบทว่าใช้ร่างกายคนมาวาดภาพ?
เกินจริง
เกินจริงสุดๆ
เหล่าโจวถึงขั้นที่รู้สึกว่าตนเองตามสารบบความคิดของวัยรุ่นไม่ทัน แต่เหล่าโจวก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นความคิดที่กลั่นกรองอย่างประณีตแต่อย่างใด เขากลับรู้สึกแปลกประหลาดซะมากกว่า
เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้ทำยากมาก…”
หลินเยวียนขมวดคิ้วมุ่น
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
หลินเยวียนกดตัดสาย
ปรากฏว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมแพ้
หลินเยวียนทำได้เพียงกดรับสาย
น้ำเสียงกระตือรือร้นจากปลายสายดังขึ้น “สวัสดีครับอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ผมเป็นผู้จัดการของธันเดอร์เอนเตอร์เทนเมนต์…”
หลินเยวียนพูด “ธันเดอร์เอนเตอร์เทนเมนต์?”
เหล่าโจวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลินเยวียนก็พลันใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สายตาจ้องมองหลินเยวียนเขม็ง
หลินเยวียนเอ่ย “ผม…”
เหล่าโจวทนไม่ไหวแล้ว เขาผุดลุกขึ้นทันใด โพล่งขึ้นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน “บทของนายฉันจะเอาไปอ่านให้ละเอียด หลินเยวียน บทนี้จะต้องดังแน่ๆ จะต้องดังเป็นพลุแตกไปเลย!”
หลินเยวียนวางสายทันที ก่อนจะเอ่ยถามอย่างคาดหวัง “ถ่ายทำได้ใช่มั้ยครับ”
รอยยิ้มของเหล่าโจวแลดูย่ำแย่ซะยิ่งกว่าร้องไห้ “บทเยี่ยมยอดตะลึงโลกแบบนี้ ยังไงก็ต้องให้นายถ่ายทำอยู่แล้ว!”
………………………………………………