ตอนที่ 301ตอนที่ 302 ในสถานการณ์เลวร้ายก็ยังมีเรื่องดีอยู่ (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 301 ในสถานการณ์เลวร้ายก็ยังมีเรื่องดีอยู่ (2)

จวินอู๋เสียไม่เคยให้ความสนใจมากนักกับไข่มุกเสริมพลังนี้ สิ่งของที่ภูติวิญญาณใช้โดยธรรมชาติแล้วนางไม่สามารถใช้ได้

แต่คืนนี้ไข่มุกเสริมพลังนี้แตกต่างออกไปเล็กน้อย ไข่มุกที่เย็นในตอนแรกกำลังส่งไออุ่นออกมา จวินอู๋เสียวางมันลงบนฝ่ามือของนาง ภายใต้แสงสะท้อนของแสงไฟและแสงจันทร์ นางพบว่ามีหมอกจางๆ กระจายออกมาจากไข่มุกเสริมพลังเรื่อยๆ หมอกนั้นจางมาก ถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็นเลย หมอกบางๆ ปกคลุมสวนสมุนไพรตรงหน้าจวินอู๋เสียแล้วค่อยๆ ซึมซับไอวิญญาณจากสมุนไพรในสวนสมุนไพรทั้งหมด

ทันใดนั้นดวงตาของจวินอู๋เสียก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางนั้นเพิ่มมากขึ้น

หากเปรียบเทียบพลังวิญญาณที่เข้าสู่ร่างกายของจวินอู๋เสียตอนที่ปลูกบัวหิมะซังอวี้เป็นทะเลสาบแล้ว พลังวิญญาณที่ได้รับจากสมุนไพรทั่วไปก็แค่น้ำหนึ่งขันเท่านั้น สมุนไพรที่ล้ำค่าก็แค่น้ำหนึ่งถังเท่านั้น แต่ทันใดนั้นพลังวิญญาณนี้ได้เพิ่มขึ้นในทันทีจนกลายเป็นกระแสน้ำที่คดเคี้ยวไปมา

แม้จะเทียบไม่ได้กับทะเลสาบ แต่สายน้ำก็ยังดีกว่าขันน้ำและถังน้ำในตอนแรกหลายเท่า

การค้นพบนี้ทำให้จวินอู๋เสียค่อนข้างประหลาดใจ นางจึงเรียกเจ้าดอกบัวขาวออกมาทันที

เจ้าดอกบัวขาวที่ถูกเรียกออกมาด้วยความงุนงง ใบหน้าง่วงนอนที่อ่อนนุ่มเหมือนซาลาเปานั้นก็เต็มไปด้วยความสับสน เขาขยี้ตาและอ้าปากหาว สองเท้าเล็กๆ เหยียบลงบนพื้นดิน

“เจ้านาย ท่านเรียกข้ามีอะไรหรือไม่” เจ้าดอกบัวขาวก้มศีรษะลงด้วยความงุนงง ราวกับว่าเขาสามารถหลับได้ทุกเวลา

“เกิดอะไรขึ้นกับไข่มุกเสริมพลังหรือ” จวินอู๋เสียวางไข่มุกเสริมพลังไว้ข้างหน้าเจ้าดอกบัวขาว เมื่อเจ้าดอกบัวขาวตัวน้อยเห็นไข่มุกเสริมพลังความง่วงงุนของมันก็หายไปในทันที เขารีบยกไข่มุกเสริมพลังขึ้นมาแล้วถูมันกับพุงเล็กๆ ของเขาด้วยรอยยิ้มร่า

“ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงจังเลย” เจ้าดอกบัวขาวยิ้มให้ไข่มุกเสริมพลัง

คิ้วของจวินอู๋เสียกระตุกเล็กน้อย นางอุ้มเจ้าดอกบัวขาวที่นอนมากจนสมองเบลอขึ้นมายืนด้านข้างนาง

“เข้าเรื่องสำคัญได้แล้ว”

เจ้าดอกบัวขาวเงยหน้าขึ้นและกะพริบตามองจวินอู๋เสีย เหมือนว่าเขาไม่เข้าใจว่า ‘เรื่องสำคัญ’ ที่จวินอู๋เสียพูดนั้นหมายถึงเรื่องอะไร

จวินอู๋เสียทำได้เพียงอดทนและอธิบายความแปลกประหลาดเมื่อครู่ของไข่มุกเสริมพลังออกมา เจ้าดอกบัวขาวตกตะลึงครู่หนึ่งและหลังจากนั้นสักพักเขาถึงตอบกลับไปว่า “นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะเดิมทีไข่มุกเสริมพลังก็มีไว้ให้ภูติวิญญาณประเภทพฤกษาใช้อยู่แล้ว และภูติวิญญาณประเภทพฤกษาก็มาจากต้นไม้ ในเมื่อมันมีผลต่อภูติวิญญาณประเภทพฤกษา ก็ต้องมีผลต่อดอกไม้และต้นไม้ทั่วไปด้วยเหมือนกัน แต่ว่า…ดอกไม้และต้นไม้ทั่วไปมีพลังจิตวิญญาณไม่เพียงพอและไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงไม่สามารถใช้พลังของไข่มุกเสริมพลังในการฝึกฝนได้ ทำได้เพียงทำให้พวกเขาเติบโตเร็วขึ้นเท่านั้น”

เจ้าดอกบัวขาวหยุดไปชั่วครู่แล้วเหลือบมองไข่มุกเสริมพลังในมือของนางแล้วกล่าวต่อว่า “ในเวลากลางวันไข่มุกเสริมพลังจะดูดซับพลังวิญญาณจากสวรรค์และโลก ในตอนกลางคืนพลังวิญญาณที่ไม่ได้รับการฝึกฝนก็จะแผ่กระจายออกมาและพลังจิตวิญญาณที่ผ่านการหล่อเลี้ยงจากไข่มุกเสริมพลังมีประโยชน์ต่อต้นไม้มากกว่าสิ่งอื่นใด”

ในขณะที่พูดเจ้าดอกบัวขาวก็ย่นจมูกของตัวเอง

สิ้นเปลืองจริงๆ พลังวิญญาณมากมายถูก ‘กิน’ โดยดอกไม้และต้นไม้ทั่วไป ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำชัดๆ

โดยไม่รู้ว่าคำอธิบายของเจ้าดอกบัวขาวทำให้จวินอู๋เสียตกใจเป็นอย่างมาก หากผลของไข่มุกเสริมพลังมีประสิทธิภาพตามที่เจ้าดอกบัวขาวกล่าว ถ้าเยี่ยงนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้มีผลกับภูติวิญญาณต้นไม้เท่านั้น เพราะแม้แต่นางก็สามารถใช้คุณสมบัติพิเศษของไข่มุกเสริมพลังกับสมุนไพรในยอดเขาเร้นเมฆาเพื่อเพิ่มระดับพลังวิญญาณให้กับตัวเองได้

ตอนที่ 302 ในสถานการณ์เลวร้ายก็ยังมีเรื่องดีอยู่ (3)

แม้ว่าจะเทียบความเร็วในการฝึกฝนตอนที่อยู่จวนหลินอ๋องไม่ได้ แต่จวินอู๋เสียก็รู้สึกดีใจอย่างมากแล้วกับพลังวิญญาณที่ได้รับจากสมุนไพรหลังจากผ่านการเสริมพลังจากไข่มุกเสริมพลัง

เมื่อมีไข่มุกเสริมพลัง ในช่วงเวลาที่นางอยู่ในสำนักชิงอวิ๋นนี้ นางก็ไม่ต้องถูกความเร็วในการฝึกฝนพลังถ่วงเวลาอีกต่อไป

หยิบไข่มุกเสริมพลังจากมือของเจ้าดอกบัวขาวมา จวินอู๋เสียรู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กน้อยและทันใดนั้นไม่รู้เพราะเหตุใดใบหน้าที่มีเสน่ห์นั้นจึงปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง

จวินอู๋เสียตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

“จวินอู๋เย่า…” เสียงที่แทบไม่ได้ยินเปล่งออกมาจากปากของจวินอู๋เสีย นางเลิกคิ้วและขมวดคิ้วเล็กน้อย

เพราะเหตุใดนางถึงคิดถึงจวินอู๋เย่า

จวินอู๋เสียไม่เข้าใจ ใบหน้าในหัวของนางก็สลายไปอย่างรวดเร็ว นางใช้ไข่มุกเสริมพลังเพื่อดูดซับพลังวิญญาณต่อไปหลังจากนางโยนเรื่องนี้ออกจากหัว

เยี่ยซาที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อปกป้องจวินอู๋เสียได้แต่ยืนตกตะลึงในความมืด คำสามคำที่จวินอู๋เสียพูดออกมาเมื่อครู่นั้นเบามาก แต่เขาก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน

นั่นไม่ใช่ ‘นามแฝง’ ของนายท่านพวกเขาหรอกหรือ

เยี่ยซาสะบัดแขนข้างหนึ่งในทันที และสิ่งของชิ้นเล็กๆ สีดำขนาดเท่านิ้วก้อยก็ตกลงมาจากแขนเสื้อของเขา เขารีบหยิบยันต์สีเงินที่เขานำติดตัวตลอดเวลาออกมาแล้วรีบเขียนบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็ว เก็บไว้ในลูกแก้วผลึกแล้วให้เจ้างูดำกลืนมันลงไป

เมื่อเห็นเงาสีดำหายไปในทุ่งหญ้า เยี่ยซาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

นายท่าน ลูกน้องคนนี้ก็สามารถช่วยท่านได้เพียงเท่านี้

หลังจากคืนนั้น จวินอู๋เสียก็ไม่ค่อยปรากฏตัวบริเวณสวนสมุนไพรในเวลากลางวันอีกเลย แต่เมื่อตกกลางคืนหลังจากที่ทุกคนไปพักผ่อน นางจะมาที่สวนสมุนไพรเพียงลำพัง

เกี่ยวกับการกระทำของจวินอู๋เสียที่แตกต่างจากคนทั่วไป ชายหนุ่มที่เข้ามายังยอดเขาเร้นเมฆาในช่วงเวลาเดียวกันก็กล้าที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในที่ลับเท่านั้น ไม่มีใครกล้าไปพูดด่าว่าจวินอู๋เสียต่อหน้านาง

เฉียวฉู่ตามจวินอู๋เสียมาหลายครั้ง และทุกครั้งที่มาก็เห็นนางนั่งตัดแต่งกิ่งไม้ในสวนสมุนไพรก็รู้สึกเบื่อมากจึงไม่ตามนางมาอีก เขาจึงใช้โอกาสนี้ไปก่อกวนฮวาเหยา

หลังจากสวมรอยเป็นเคอฉังจวี สิ่งที่ฮวาเหยาต้องทำทุกวันคือท่าทางหยิ่งผยองและเย็นชาต่อลูกศิษย์เหล่านั้น ผ่านทุกวันไปอย่างสบาย คืนนี้เฉียวฉู่ก็ปีนเข้ามาในห้องของฮวาเหยาผ่านทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ฮวาเหยาที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกำลังจะเข้านอน สีหน้าของเขาขรึมลงทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ปีนเข้ามา

“เฮ้ พี่ฮวาอย่าจ้องข้าแบบนั้น มันเจ็บตา” เฉียวฉู่ปิดตาของตัวเองด้วยท่าทางหวาดกลัวไม่กล้าสบตาฮวาเหยา ฮวาเหยาบีบหวีไม้ในมือของตัวเองจนหัก

“เจ้ามาทำอะไรอีก!” ฮวาเหยาอยากจะฆ่าเจ้าโง่นี้จริงๆ นอกจากจะทำให้คนไม่พอใจแล้ว เขายังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกหรือไม่

เฉียวฉู่นั่งลงที่โต๊ะแล้วเทน้ำหนึ่งแก้วดื่มอย่างคุ้นเคย “ข้าก็แค่มาดูสถานการณ์ฝั่งนี้ของท่าน เพราะก่อนหน้านี้พวกท่านก็พูดคุยวางแผนกันแล้ว แต่ผ่านมาหลายวันก็ยังไม่เห็นลงมืออะไรเลย ทุกวันน้องเสียไม่ไปอยู่ห้องใต้ดินลับที่ใช้หลอมโอสถก็ไปนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนสมุนไพร ส่วนท่านก็ดูเหมือนไม่มีอะไรทำทุกวัน พวกท่านจะลงมือเมื่อไหร่กันแน่ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”

เฉียวฉู่ไม่เข้าใจจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสามคนปรึกษากันด้วยท่าท่างจริงจัง แต่หลังจากวันนั้น พวกเขาสองคนก็ไม่เคลื่อนไหวอะไรอีกเลย

บอกว่าจะยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้อาวุโสกับฉินเย่ว์แล้วรอโอกาสทำลายสำนักชิงอวิ๋นมิใช่หรือ พวกเขาก็ลงมือสิ!

ฮวาเหยาถอนหายใจอย่างหนัก เขาเข้าใจแล้วว่าถ้าเขาไม่บอกให้ชายตรงหน้าให้เข้าใจอย่างชัดเจน เขาจะต้องมาก่อกวนให้เขารำคาญอีกแน่นอน

“พรุ่งนี้ฉินเย่ว์จะมาที่ยอดเขาเร้นเมฆา” ฮวาเหยากล่าว