บทที่ 191 หอกพันมังกรเจินหลง

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 191 หอกพันมังกรเจินหลง

บทที่ 191 หอกพันมังกรเจินหลง

สายตาของซุนอวิ๋นถิงจริงจังยิ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งอึดใจ เขาชูดาบเพลิงสีม่วงในมือขึ้นมาจนเปลวเพลิงปะทุขึ้นในอากาศ เหนือความว่างเปล่า ดาบขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วท้องนภา เจตจำนงดาบไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดอย่างหนาแน่น พลังอันเจิดจ้าทำให้โลกสั่นสะเทือนราวกับจุดจบกำลังมาเยือน

ค่ายกลป้องกันของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เริ่มสั่นสะเทือนทันทีที่สัมผัสกลิ่นอายนี้ได้ ยันต์ค่ายกลบนยอดเขานับไม่ถ้วนสั่นไหวเพื่อทำหน้าที่ปกป้องพื้นที่อย่างสุดกำลัง แรงกดดันที่กดทับลงมาจากฟากฟ้าประหนึ่งความว่างเปล่าดับสูญบดขยี้ค่ายกลทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จนหมดสิ้น

อาจารย์สำนักจำนวนมากเผยสีหน้าประหลาดใจ หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้ของทั้งสองในวันนี้ สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อาจได้รับผลกระทบก็เป็นได้

เมื่ออยู่ภายใต้ดาบเพลิงสีม่วงของซุนอวิ๋นถิง ค่ายกลปกป้องพื้นที่กับค่ายกลปกป้องหุบเขาทั้งหลายจึงไม่สามารถคงสภาพไว้ได้นาน!

พวกเขามองหน้ากัน แต่ไม่มีใครก้าวออกไปหยุดสองคนกลางอากาศ ทั้งคู่อยู่ในสภาพประหนึ่งน้ำและไฟ การต่อสู้วันนี้อาจนำไปสู่ความเป็นความตาย

เพียงแต่อยู่หรือตาย มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา?

ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา ต่อให้ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หรือแม้กระทั่งทั่วทั้งแดนมัชฌิมจะกลับตาลปัตรแล้วอย่างไร?

เมื่อคิดได้ดังนี้ อาจารย์สำนักจำนวนมากต่างหลบหนีเพื่อกลับสู่ยอดเขาที่พวกเขาอยู่ ก่อนจะกางอาณาเขตเพื่อปกป้องศิษย์ของตัวเองเอาไว้

บรรพชนกระบี่ชำเลืองมองคนอื่นเช่นกัน ก่อนจะพาเซียวเทียนที่ถูกกักขังเอาไว้กลับยอดเขากระบี่

มีเพียงอวี๋ฉู่ที่วางน้ำเต้าสุราในมือและเผยสีหน้าจริงจัง ขณะหันมองเฉิงไท่ที่อยู่ข้างกาย ก่อนกล่าวว่า “เจ้ากับข้าต้องร่วมมือกันกางค่ายกลขนาดใหญ่ ไม่เช่นนั้น ภายหลังการต่อสู้ของทั้งสอง แดนมัชฌิมจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน!”

หลังจากเฉิงไท่เห็นด้วย กลิ่นอายของทั้งสองกระจายออกไป ผ่านไปสักพัก ค่ายกลทลายสวรรค์ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศ อักขระส่องแสงวาบไหว พวกมันปกคลุมทั้งลู่หยวนและซุนอวิ๋นถิงเอาไว้ข้างใน จากนั้นกระบี่สีทองสิบเล่มก็ปรากฏขึ้นจากค่ายกล ก่อนเคลื่อนลงสู่รอบนอก

อวี๋ฉู่คิ้วขมวดพลางถอนหายใจออกมา ก่อนยื่นมือขวาออกไปกระตุ้นพลังและส่งไปยังคนทั้งสองจำนวนหนึ่ง โล่สีทองเคลื่อนลงสู่ทะเลลมปราณเพื่อปกป้องพวกเขา

ซุนอวิ๋นถิงผู้อยู่กลางอากาศยิ้มหยันก่อนจะสะบัดหลังมือ เปลวเพลิงสีม่วงกระจายไปด้านหน้า จนพลังที่เคลื่อนลงมาสลายไปทันที โล่สีทองเองก็หายไปเช่นกัน

เขามองอวี๋ฉู่และเฉิงไท่ผู้อยู่ด้านล่าง กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าไม่ต้องการความเมตตาจอมปลอมจากพวกท่าน! ขืนข้าผ่อนคลายเพียงเล็กน้อย ตอนที่พลังของโล่นี้มาถึงจุดสำคัญของข้า มันอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกท่านพรากชีวิตของข้าก็เป็นได้!”

“อวี๋ฉู่ ข้ารู้นะว่าในใจของท่านอยากปกป้องเจ้าหนูลู่หยวน! แต่การคำนวณของท่านมันผิด! ข้าไม่ถูกหลอกได้ง่าย ๆ หรอก!”

ดวงตาของซุนอวิ๋นถิงกระจ่างชัด มันแฝงร่องรอยความหยิ่งทะนงเอาไว้ ราวกับมองเห็นกลยุทธ์ของอวี๋ฉู่อย่างทะลุปรุโปร่ง

“บัดซบ…”

อวี๋ฉู่กลอกตาก่อนสบถออกมา

เดิมเขาคิดว่ากว่าซุนอวิ๋นถิงจะบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าวันนี้อีกฝ่ายจะชนะหรือพ่ายแพ้ แต่ถ้าลู่หยวนบังเอิญชนะขึ้นมา ย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดายหากปล่อยให้บรรพชนดาบเสียท่าที่นี่ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะใช้พลังของตัวเองเพื่อปกป้องไว้ล่วงหน้า

แต่เจ้าโง่คนนี้กลับไม่มีสมองเสียอย่างนั้น!

เขาอวดอ้างว่าตนเป็นคนฉลาด หยิ่งผยองทะนงตนจนอวี๋ฉู่อยากขึ้นไปฟาดให้รู้แล้วรู้รอด

ถ้าอย่างนั้น…

อวี๋ฉู่มุมปากกระตุก ก่อนจะก้าวเดินไปด้านหน้าและพลิกมือ แรงกดดันทั้งหมดรอบด้านซุนอวิ๋นถิงพลันเลือนหาย พลังวิญญาณเกิดปั่นป่วน เป็นเหตุให้พลังทั้งหมดในค่ายกลกลับคืนสู่ลู่หยวน

อวี๋ฉู่สะบัดแขนแล้วตะโกนว่า “เจ้าหนูหยวน จัดการเจ้านั่นแทนข้าซะ!”

เมื่อเห็นดังนี้ ซุนอวิ๋นถิงจึงเผยสีหน้า ‘คาดไว้แล้ว’ ออกมา ก่อนสบถว่า “อวี๋ฉู่ ข้านึกอยู่แล้วว่าท่านเป็นคนทรยศ!”

“ท่านปกป้องข้าอย่างเสแสร้ง แต่กลับช่วยเจ้าหนูลู่หยวนอย่างจริงใจ!”

อวี๋ฉู่เกียจคร้านเกินกว่าจะสนทนากับอีกฝ่าย เขาจึงหยิบขวดน้ำเต้าสีม่วงทองออกมากระดกสุรา

เหนือความว่างเปล่า ลู่หยวนพลิกหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ในมือ เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น พลังวิถีรอบข้างทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ่งทรงพลัง

“ซุนอวิ๋นถิง เพลิงวิญญาณที่เจ้าครอบครองอยู่นั้นดีจริง ๆ ข้าต้องการมัน!”

สิ้นคำ ร่างของชายหนุ่มวูบไหว หอกพันมังกรเก้าสวรรค์พุ่งออกไป เพียงชั่วพริบตา มันทะลวงผ่านความว่างเปล่า จนมาถึงเบื้องหน้าซุนอวิ๋นถิงแทบจะในทันที!

หอกสีทองพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของซุนอวิ๋นถิงด้วยพลังอันหนักอึ้ง

หัวใจของซุนอวิ๋นถิงแข็งทื่อ ความเร็วของลู่หยวนไม่ใช่สิ่งที่ผู้อยู่ขั้นเทียมเทพจะสามารถครอบครองได้ด้วยซ้ำ มันอยู่ขั้นไหนกัน!

เขาชูดาบยาวในมือขึ้น เจตจำนงดาบไร้ที่สิ้นสุดเคลื่อนลงที่ร่างของชายหนุ่ม ทำให้อีกฝ่ายถูกพันธนาการภายในชั่วอึดใจ

ปลายหอกสีทองจ่ออยู่ที่ใบหน้าของซุนอวิ๋นถิง แต่ไม่สามารถขยับต่อไปได้แม้แต่นิดเดียว

ตอนนี้ในสายตาของซุนอวิ๋นถิง ลู่หยวนไม่ต่างจากลูกแกะที่รอถูกเชือด!

“ลู่หยวนหนอลู่หยวน เจ้าคงไม่คิดว่าขยะอย่างเจ้าจะสามารถทะลวงความต่างระหว่างพวกเราได้หรอกใช่ไหม!”

“ถึงแม้เจ้าจะมีเคล็ดวิชามารมากมายจนทำให้ข้าเสียหลักไปก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันยิ่งใหญ่ ขยะก็เป็นได้แค่ขยะ! คนนอกรีตอย่างเจ้าดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์!”

สายตาของซุนอวิ๋นถิงเต็มไปด้วยความดูถูก เขาพลิกมือขวา ดาบเพลิงสีม่วงพลันเคลื่อนลงมาเพื่อฟาดฟันไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม

ฟู่! ฟู่! ฟู่!

เปลวเพลิงสีม่วงลามไปทั่วอย่างคลุ้มคลั่ง แผดเผาพลังวิญญาณรอบข้างจนสิ้น อีกอึดใจมันจะสะบั้นศีรษะของบุตรศักดิ์สิทธิ์

อวี๋ฉู่ผู้อยู่ด้านล่างขมวดคิ้ว ลู่หยวนจะถูกจัดการทั้งอย่างนี้หรือ?!

หรือว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้ของเขาจะผิด?!

เจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่สามารถสู้กับซุนอวิ๋นถิงซึ่ง ๆ หน้าได้งั้นหรือ?!

อวี๋ฉู่กำลังจะกระตุ้นพลังวิถีเพื่อปกป้องลู่หยวน แต่ทันใดนั้น บุตรศักดิ์สิทธิ์กลับเงยหน้ามองท้องนภา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน

“ซุนอวิ๋นถิง เจ้ามันก็แค่คนโง่”

เมื่อได้ยินดังนี้ บรรพชนดาบหันกลับมาเพื่อเตรียมจะสวนกลับ แต่เขาพบว่าลูกตาของลู่หยวนพลันเปลี่ยนไป ดวงตาสีดำและขาวของอีกฝ่ายจางหาย ถูกแทนที่ด้วยเนตรเทวะสีชาด

ทันทีที่แสงสว่างสีแดงปรากฏขึ้น รูม่านตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์เรียวลงราวกับมังกร พร้อมมังกรเจินหลงที่พันรอบหอกลืมตาขึ้นเช่นกัน ซุนอวิ๋นถิงสัมผัสได้ว่าภาพตรงหน้าสั่นไหว เขารู้สึกถึงระฆังเตือนภัยที่ดังขึ้นในใจ

มันเหมือนกับตอนติดกับดักของลู่หยวนก่อนหน้านี้ เป็นเหตุให้ยอดเขาดาบเป็นผุยผงโดยไม่ตั้งใจ!

ยอดเขาดาบหายไปแล้ว แต่ซุนซิงเหอผู้เป็นหลานชายของเขายังอยู่ หากว่าพลั้งมือฆ่าขึ้นมา ซุนอวิ๋นถิงอาจถึงขั้นเสียสติก็เป็นได้

บรรพชนดาบรีบหลับตา ฝ่ามือกุมดาบเพลิงสีม่วงเอาไว้แน่น ปราณดาบเริ่มถอยกลับมา ไม่มีการรุกคืบอีก หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแผ่ขยายจิตเทวะออกไปเพื่อพยายามตามหาลู่หยวน

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาไม่สามารถตามรอยได้อย่างแม่นยำ ราวกับกลิ่นอายของบุตรศักดิ์สิทธิ์กระจายไปทั่วพื้นที่ ซุนอวิ๋นถิงเกิดวิตกขึ้นมา เขาพยายามทำให้กลิ่นอายตัวเองสงบลงเพื่อตามหาตำแหน่งของอีกฝ่าย

บรรพชนดาบไม่รู้ตัวเลยว่าชายหนุ่มได้มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ลู่หยวนถือหอกไว้ในมือก่อนแทงออกไปในฉับพลัน!

“กรร!”

เสียงมังกรคำรามขณะเคลื่อนผ่านอากาศ

ฉึก!!

หอกที่ปกคลุมด้วยแสงสว่างสีทองแทงเข้าที่หัวใจ ทว่าร่างของยอดฝีมือขั้นจ้าวยุทธ์แข็งแกร่ง การโจมตีเพียงครั้งเดียวจะสามารถทะลวงได้อย่างไรกัน?!