ในห้องนั้นโจวเหวินซิ่วไม่ตอบกลับใด ๆ และทั้งห้องก็เงียบสงัด
สือมูเฉินมองดูเธอด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเพียงว่าตัวเองนั้นได้ระบายอารมณ์ออกไปนั้นมันไร้ประโยชน์
เขาค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมโซฟาออก ให้อารมณ์ของตัวเองนั้นกลับมาเป็นปกติที่สุด เขาพูดขึ้นว่า: “คุณแม่ครับ ดึกมากแล้วคุณแม่พักผ่อนเถอะครับ ผมจะกลับบ้านแล้ว”
เมื่อโจวเหวินซิ่วเห็นว่าเขากำลังจะจากไป ในที่สุดเธอก็มีการตอบสนองกลับทันที
เธอยืนขึ้นตาม แต่ทันใดนั้นเธอก็เอามือกุมศีรษะและรู้สึกว่าร่างกายลอยโคลงเคลง
สือมูเฉินรีบช่วยพยุงเธออย่างรวดเร็ว: “คุณแม่ครับ คุณแม่เป็นอะไรมากไหมครับ?”
“ไม่เป็นไร” โจวเหวินซิ่วกล่าว:“รีบลุกเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
เธอเงยหน้าขึ้นมองสือมูเฉิน ราวกับว่ากำลังฝืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือออกและคว้าชุดสูทของสือมูเฉินพร้อมพูดว่า:“มูเฉิน แม่เพียงแค่……”
สือมูเฉินมองมาที่เธอและรอคำอธิบายจากเธอ
“แม่ก็กำลังมองหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งมาแล้วหลายปี เพราะหลังจากที่กลับมาแม่กลับพบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปจนหมดแล้ว” โจวเหวินซิ่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า:“บางครั้งแม่ก็หลง ๆลืม ๆบ้างนิดหน่อย”
ในขณะที่เธอพูดอยู่นั้น เธอเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปยังดวงตาของสือมูเฉิน: “มูเฉิน ลูกจะยังเชื่อใจแม่อีกครั้งได้หรือเปล่า?”
สือมูเฉินรู้สึกว่าดวงตาของเขามีไอร้อนระอุแผ่ซ่านไปทั่ว และเขาก็พยักหน้า: “ครับ”
ยังไงก็ตามเธอก็เป็นแม่ของตัวเอง ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถไร้ความเมตตาได้เหมือนที่กระทำกับหลานเล่อซิน
“แม่จะพยายามยอมรับในตัวของเสี่ยวถาง” โจวเหวินซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “สำหรับเล่อซินแล้ว เรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอจริงๆ ลูกให้เธอตบหน้าตัวเองเธอก็ตบแล้ว ดังนั้น ก็ปล่อยเธอไปเถอะ! เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะแม่เองที่ทำผิดต่อเธอ อีกทั้ง เดิมทีแม่เป็นคนพาเธอมาที่นี่เอง ถ้าหากลูกไล่เธอไป แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอแล้วล่ะก็ แม่คงต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิต”
สือมูเฉินเงียบไปครู่หนึ่งและสูดหายใจเข้าลึก ๆ : “ครับ”
หลังจากที่พูดจบ เขาเสริมต่อว่า: “อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ยกโทษให้เธอ แต่เพราะผมไม่ต้องการให้คุณแม่โทษตัวเองไปตลอดชีวิต”
“มูเฉิน ลูกเป็นลูกที่กตัญญูจริง ๆ” ดวงตาของโจวเหวินซิ่วมีน้ำตาไหลซึมออกมา: “แม่อยากจะขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้”
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันสิ้นสุดลงตรงนี้เถอะครับ!” สือมูเฉินกล่าว สีหน้าของเขาเริ่มจริงจัง: “แต่คุณแม่ครับ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆแล้วนะครับ ไม่ว่าจะทำร้ายด้วยวิธีใด มันก็คือการทำร้ายนะครับ ดังนั้นจะไม่สามารถเอาความรักมาเป็นข้ออ้างในการชะล้างความคิดได้หรอกนะครับ
โจวเหวินซิ่วเข้าใจสิ่งที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร หัวใจของเธอเต้นระรัวพร้อมกับพยักหน้า: “ตกลง แม่จะไม่ทำร้ายพวกลูกอีก”
“เสี่ยวถางไม่รู้เรื่องนี้ เธอคิดว่าหลานเล่อซินเป็นคนทำเสียอีก” สือมูเฉินกล่าว:“ผมไม่ได้บอกความจริงกับเธอ เพราะผมต้องการให้โอกาสพวกคุณได้รู้จักซึ่งกันและกัน ไม่อยากให้เกลียดกันเลย”
โจวเหวินซิ่วมองดูลูกชายของตัวเอง และพูดออกมาว่า:“ขอบคุณมากนะลูก มูเฉิน”
“เธอเป็นมีจิตใจดีและเป็นคนไร้เดียงสามาก ในเมื่อผมเลือกที่แต่งงานกับเธอ ผมก็ต้องรับผิดชอบต่อเธอ ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่เคยคิดที่จะหย่ากับเธอ” สือมูเฉินพูดอย่างจริงจัง: “เธอไม่เคยคิดที่จะทำร้ายคุณแม่เลย ดังนั้นคุณแม่ก็อย่าทำร้ายเธออีกต่อไปเลยนะครับ ถ้าไม่เช่นนั้น ผมคนที่เป็นคนกลางจะทำบากใจมากเลยนะครับ”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็นวดขมับของตัวเองอีกครั้ง และพูดอย่างเหนื่อยล้าว่า :“คุณแม่ครับ ผมเหนื่อยมากจริง ๆ ปกติผมเป็นผู้บริหารในบริษัท และต้องเผชิญกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน แค่เรื่องงานผมก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ผมไม่อยากกลับมาถึงบ้านแล้วยังต้องมาเผชิญกับการปะทะคารมกันภายในครอบครัวอีกนะครับ”
“มูเฉิน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะแม่ไม่ดีเอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแม่จะพยายามยอมรับในตัวเสี่ยวถางนะ” โจวเหวินซิ่วกล่าวอย่างจริงจัง
“ครับ” สือมูเฉินพยักหน้า: “คุณแม่เที่ยวพักผ่อนหลายวันให้สบายใจกว่านี้แล้วค่อยกลับมานะครับ ส่วนเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ผมจะถือว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์พร้อมกับกุญแจรถแล้วจากไป
สือมูเฉินไม่ได้รีบกลับบ้าน แต่เขาขับรถไปรอบ ๆทางด่วนในเมือง 2 – 3 ครั้ง จนกระทั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว เขาจึงขับกลับไปที่ชุมชนที่ตัวเองพักอาศัยอยู่
เมื่อเขาเข้าไปในห้องนอนก็พบว่าหลานเสี่ยวถางหลับไปแล้ว เขาเข้าไปอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาและดึงผ้าห่มออกเบา ๆ แล้วนอนลงข้าง ๆของหลานเสี่ยวถาง
วันนี้ดูเหมือนเธอจะหลับลึกมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอจะตื่นขึ้นมาทันที แต่เธอแค่พลิกตัวกลับเท่านั้น
เนื่องจากหลานเสี่ยวถางพลิกตัว ฟูกที่นอนจึงทรุดตัวลงเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อหลานเสี่ยวถางพลิกตัวไปมา อยู่ ๆเธอก็มุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของสือมูเฉิน
เธอสูดลมหายใจของเขาด้วยอาการสะลึมสะลือ แล้วหลับต่ออย่างฝันหวาน
ในความสะลึมสะลือเธอรู้สึกว่าตัวเองถูกกอดไว้แน่น จากนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และมีคำพูดจาง ๆ ลอยเข้าในหูของเธอ
“เสี่ยวถาง ความเป็นจริงแล้วผมก็อิจฉาคุณเหมือนกัน”
สือมูเฉินถอนหายใจ
หลานเสี่ยวถางนอนกรนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก่ายขาของเธอบนร่างกายของสือมูเฉินและนอนหลับต่อไป
“อิจฉาคุณที่มีคุณแม่ตามใจคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และยอมรับทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆตัวคุณ”
น้ำเสียงของเขาท่ามกลางความมืดนั้นเบาราวกับเสียงเชลโล: “อิจฉาคุณด้วยที่หลายปีมานี้คุณพ่อของคุณไม่เคยเลิกที่จะออกตามหาคุณเลย”
“อิจฉาคุณที่แม้จะขาดความรักมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้พบกันอีก ก็จะไม่จากกันอีก”
“อิจฉาคุณที่คุณมีพร้อมทั้งคุณพ่อและคุณแม่อย่างเรียบง่ายและมีความสุข”
ในฝันของเธอนั้น หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่ามีใครบางคนกระซิบข้างหูของเธอ เธอต้องการจะลืมตา แต่เพราะเธอง่วงเกินไป เธอไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้
ดังนั้นเธอจึงโน้มตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดไออุ่นนั้นไว้แน่น มุดเข้าไปแล้วมุ่ยปากเล็กๆ ของเธอ
สือมูเฉินรู้สึกเพียงว่าจู่ ๆก็เหมือนมีอะไรนุ่ม ๆสองชิ้นกระทบโดนคอของเขา ทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้น
เขามองลงไปยังคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และหัวใจของเขาก็เต้นแรงถี่ขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำผิดไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย ในทางกลับกันเนื่องจากสือมูเฉินกลืนน้ำลายทำให้ลูกกระเดือกไปโดนริมฝีปากของเธอ หลานเสี่ยวถางจึงแลบลิ้นของเธอและเลียมันหนึ่งครั้ง
เมื่อเธอเลียเสร็จแล้ว สือมูเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตัวแข็งทื่อ
จากนั้นด้วยสัญชาตญาณหลานเสี่ยวถางจึงเลียอีกครั้ง
ดวงตาของสือมูเฉินเบลอและไม่ชัดเจนในทันที และเสียงลมหายใจของเขาก็ค่อย ๆแรงถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
เขามองไปที่หลานเสี่ยวถางผู้ไร้เดียงสาที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และน้ำเสียงของเขาก็แหบพร่าเล็กน้อย: “เสี่ยวถางคุณเป็นคนจุดประกายไฟสวาทเองนะ……”
หลานเสี่ยวถางหลับสนิท เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นได้จุดประกายไฟโดยไม่ได้ตั้งใจ?
เมื่อเธอฝันเห็นเมนูอาหารอร่อย ๆ ริมฝีปากของเธอก็ขยับทานอย่างเอร็ดอร่อย
จู่ ๆก็เหมือนมีอะไรมากดทับบนเรือนร่างเธอ ทำให้เธอพึมพำออกมาและยกมือขึ้นไปโอบโดยสัญชาตญาณ
เนื่องจากเธอหลับอยู่ มือของเธอจึงอ่อนแรงและเธอก็ลูบไล้หน้าอกของสือมูเฉิน ราวกับว่าขนนกกวาดไปทั่วทะเลสาบอันเงียบสงบ
เวลานอนสือมูเฉินไม่ชอบใส่ชุดนอน ดังนั้นเมื่อมือของหลานเสี่ยวถางลูบไล้บนหน้าอกของเขา เขาก็เหมือนจะระเบิดออกมาเต็มที่
เขาโอบเอวของหลานเสี่ยวถางและมืออีกข้างหนึ่งของเขาได้เริ่มถอดชุดนอนของหลานเสี่ยวถางออกอย่างเบามือ
เธอถูกเขาถอดเสื้อผ้าออกจนร่างเปลือยเปล่า และเธอยังคงสะลึมสะลือเล็กน้อย มือหนาคืบคลานเข้าล่วงล้ำเนินอกของเธอ ลูบคลำมันอย่างแผ่วเบา ก่อนที่สัมผัสอุ่น ๆ จะแตะสัมผัสที่ลำคอและช่วยจุดประกายไฟสวาทที่ราโรยให้ปะทุลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าเหมือนมีลมเย็น ๆพัดผ่านมาต้องผิวเนื้อของเธอ แต่ความเย็นแบบนี้กลายเป็นความร้อนที่แผดเผาร่างกายเธอที่สุด เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาเบา ๆ ร่างกายบิดไปมาเป็นการกระตุกตามสัญชาตญาณ
ตอนที่สือมูเฉินคร่อมอยู่บนร่างของเธอ เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ใต้ร่างของเขาบิดตัวไปมาอยู่ตลอดเวลา ต่อมาพวกเขาก็อยู่ตรงหน้าของกันและกัน เมื่อเธอเคลื่อนไหวแบบนี้ เขาเกือบจะทนต่อไปไม่ได้แล้ว เขาจึงเริ่มลูบไล้ตัวเธอทันที
เขาจูบอย่างอ่อนหวานสลับกับเร่าร้อน ค่อย ๆขยับลงไปที่ลำคอของเธอ เขาขบกัดที่คอของเธอเบา ๆ แล้วเลื้อยไปงาบใบหูเล็ก ๆของเธอ
เขาได้ยินเสียงครางเบา ๆ ในลำคอของเธอ ด้วยอารมณ์เสน่ห์ที่เขาไม่เคยมี ดังนั้นความปรารถนาโหยหาที่รอคอยมายาวนานนั้นเริ่มปะทุเร่าร้อนทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่เมื่อเห็นว่าเธอยังนอนหลับใหลและยังไม่ลืมตา เขาไม่ได้แยกขาของเธอออก แต่ส่วนนั้นของตัวเองที่กำลังแข็งขืนดุดันสัมผัสที่หว่างขาของเธอ เขาเริ่มถูไถอย่างเร่าร้อน
ในฝันนั้นหลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าร่างกายของเธอนั้นถูกแช่อยู่ในน้ำอุ่นซึ่งมันรู้สึกสบายมาก ๆ
แต่ช่องว่างระหว่างขาของเธอนั้น จู่ ๆก็มีบางสิ่งที่แข็งและร้อนถูไถไปมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเธอก็ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการเสียดสีที่รุนแรง
เธอค่อย ๆเปล่งเสียงครางหวานหูออกมาจากปากเล็ก ๆ เอวของเธอเริ่มโค้งโดยไม่รู้ตัว และมันเหมือนเป็นการปลุกความต้องการของเธอ จนทำให้เธอต้องการมากกว่านี้
สือมูเฉินเห็นว่าแก้มของหลานเสี่ยวถางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูจาง ๆ และบริเวณกระดูกไหปลาร้าของเธอดูเหมือนจะเคลือบไปด้วยไข่มุกสีชมพูเพิ่มขึ้น
เขาไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงจับขาของหลานเสี่ยวถางแยกออก ยกเอวของเธอขึ้นเล็กน้อยและดันมันเข้าไปหาเธอ
เธอครางอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า: “มูเฉิน–”
เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ เขาใช้มืออุ่นเครื่องก่อนจะนำไปจ่อที่ปากโพรงสวาท แล้วดันมันเข้าไปทีเดียวมิดด้าม: “อืม ผมอยู่นี่”
เธอยังคงหลับตาอยู่ แต่แขนของเธอยกขึ้นโอบคอเขาอย่างอัตโนมัติ
เขายังเหยียดแขนออกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแน่น เเล้วขยับเข้าออกอย่างไม่รอช้าและพยายามใช้ท่าทางที่นุ่มนวลที่สุด
ลมหายใจของเธอเหนื่อยหอบ เธอสั่นสะท้านไปถึงหัวใจ อารมณ์ของเธอพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ และน้ำเสียงพึมพำพูดออกมาว่า :“มูเฉิน ฉันฝันเห็นว่าฉันกำลังทำ และฉันรู้สึกว่ามันมีความสุขมาก ๆเลยค่ะ ……”
เขาหัวเราะเบา ๆ : “นี่ไม่ใช่ความฝัน ผมกำลังทำมันด้วยกันกับคุณอยู่ไง”
เขาถือโอกาสถามเธอว่า:“มีความสุขมากไหม?”
เธอพยักหน้า ดูเหมือนกลัวว่าเขาจะไม่เห็นมัน ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า: “มีความสุขมากค่ะ”
เขาหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น และในที่สุดปัญหาที่ทำให้ไม่สบายใจมันก็ได้มลายหายไปจนหมด
เพียงแต่ว่าเพราะเขากลัวที่จะทำหลานเสี่ยวถางตื่น สือมูเฉินจึงอ่อนโยนมากตลอดและไม่เปลี่ยนท่าอื่นเลย จนกระทั่งเขารู้สึกว่าร่างกายของเธอกระชับขึ้นและมีของเหลวพุ่งออกมา และเขาก็ตามไปจนถึงจุดสุดยอดเช่นกัน
สือมูเฉินขยับออกจากร่างของหลานเสี่ยวถาง และเช็ดทำความสะอาดให้กับเธอ จากนั้นเขาก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า:“เสี่ยวถาง ราตรีสวัสดิ์”
เธอหลับไปแล้วอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงเพียงแค่ขยับเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดอีกเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น หลานเสี่ยวถางลืมตาและเห็นว่าสือมูเฉินอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ แก้มของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอายทันที
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอกลายเป็นสาวตัณหาไปแล้ว เมื่อคืนเธอฝันเห็นว่ากำลังร่วมรักกับสือมูเฉิน อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่ามีความสุขมากและอยากจะร่วมรักกับสือมูเฉินมากอีกด้วย……
เมื่อเธอเห็นเขาลืมตาขึ้น หัวใจของเธอก็เต้นแรงถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เธอจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และรีบหันไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว
เมื่อสือมูเฉินลืมตาและเห็นหลานเสี่ยวถางตื่นแล้ว เขาพูดกับเธออย่างเป็นธรรมชาติว่า:“เสี่ยวถาง อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” หลานเสี่ยวถางรู้สึกอายที่ดูเหมือนเธอลับหลับสือมูเฉินยังไงยังงั้นแหละ ดังนั้นการแสดงออกของเธอนั้นไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่
เขาไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางที่แปลก ๆของเธอ แต่เขาเอนตัวเข้าไปและจูบที่หน้าผากของหลานเสี่ยวถาง: “เดี๋ยวขอออกกำลังกายสักพักนะ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเราจะไปดูบ้านกัน”
หลานเสี่ยวถางจำสิ่งที่สือมูเฉินพูดเมื่อวานได้ว่าเขาต้องการซื้อบ้าน ดังนั้นเธอจึงถามว่า: “มูเฉิน คุณวางแผนไว้จะซื้อที่ไหน? และคุณจะซื้อบ้านแบบไหนคะ?”