บทที่ 174 ซื้อบ้านเหรอ ซื้อ ซื้อ ซื้อ!

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

เมื่อสือมูเฉินได้ยินคำพูดของหลานเสี่ยวถางเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา: “หลานเสี่ยวถางคุณลืมไปแล้วเหรอว่า Times Group นั้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว?การที่ผมจะซื้อบ้านนั้นผมจำเป็นต้องมากังวลเรื่องนี้ด้วยเหรอ?”

หลานเสี่ยวถางยิ้ม: “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนจะโชคดีที่ได้คบกันคนมีเงินและได้รับเงินก้อนโตยังไงยังงั้นแหละ?”

สือมูเฉินบีบปลายจมูกของเธอ: “เจ้าเด็กโง่ ถ้าทรัพย์สินของคุณแม่คุณถ้าคำนวณออกมาแล้ว คุณจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นมันอย่างแน่นอน!”

“โอ้ มูเฉินใช่สิ” หลานเสี่ยวถางนึกขึ้นได้ว่าเย่เหลียนอีได้โทรหามาเธอเมื่อวานนี้ และท่านกล่าวว่า: “เมื่อวานนี้คุณแม่โทรบอกฉันว่าจะนัดให้ฉันเจอคุณพ่อในวันที่ 7 ของเดือนหน้าที่จะถึงนี้ เพราะเมื่อวานมีเรื่องยุ่ง ๆจนลืมบอกคุณเลย”

“อืม” สือมูเฉินพยักหน้า: “คุณต้องการให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณด้วยไหม?”

“ค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “ความเป็นจริงแล้วฉันก็รู้สึกตื่นเต้นจนประหม่าไปหมด! ถ้าหากมีคุณอยู่ด้วย ฉันก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น”

สือมูเฉินยิ้มและมองเธอ: “คุณเชื่อใจผมขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“แน่นอนสิคะ” ในขณะที่หลานเสี่ยวถางพูดอยู่นั้น จู่ ๆเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขา และพูดอย่างจริงจังว่า: “ตั้งแต่ที่ฉันไม่มีอะไรติดตัวเลย ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่คอยสนับสนุนและเป็นที่พึ่งพาของฉันมาโดยตลอด”

หัวใจของเขาสั่นกระตุกด้วยความตื่นตันใจ และก้มศีรษะลงจูบที่เปลือกตาของเธอ: “งั้นก็เป็นที่พึ่งพาไปตลอดชีวิตเลยดีไหม”

“ค่ะ” ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางยกขึ้นเล็กน้อย

ทั้งสองลงไปออกกำลังกายที่ชั้นล่าง หลานเสี่ยวถางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แล้วก็อดคิดสับสนไม่ได้ เมื่อคืนนี้เธอไม่ได้ผล็อยหลับลึกไปนานมาก แต่สุดท้ายเมื่อผล็อยหลับลึกไป กลับฝันถึงร่วมรักซะงั้นแถมยังทำนานอีกด้วย

เป็นไปได้ไหมว่าเป็นในความฝันนั้นก็สามารถทำให้เสียพลังงานจริง ๆได้เช่นกัน?

โชคดีที่สือมูเฉินเห็นว่าเธอไม่สามารถวิ่งต่อได้ ก็ไม่ได้บังคับเธอ ดังนั้นทั้งสองจึงกลับบ้านไปอาบน้ำด้วยกัน หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็พากันขับรถออกไปทันที

ทั้งสองหยุดอยู่ในพื้นที่คฤหาสน์เขียวขจี สือมูเฉินอธิบายว่า: “นี่เป็นพื้นที่คฤหาสน์ระดับไฮเอนด์ที่ก่อตั้งโดย Time Group เปิดทำการเมื่อปีที่แล้ว และสีเกอก็มีคฤหาส์อยู่ที่นี่หลังหนึ่งด้วย”

หลานเสี่ยวถางยิ้มและพูดว่า: “ถ้าเรามาอยู่ที่นี่ เราจะได้เป็นเพื่อนบ้านกับเขาใช่ไหมคะ?”

สือมูเฉินพยักหน้า: “อืม แต่บางครั้งเขาก็บ่นว่ามันอยู่ไกลจากใจกลางเมืองไปหน่อย ดังนั้นเขาจึงอาศัยอยู่ในคอนโดใจกลางเมืองเกือบครึ่งของเวลาทั้งหมด”

หลานเสี่ยวถางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และพูดว่า: “มูเฉิน ถ้าคุณพักอยู่ที่นี่ คุณต้องเดินทางไปทำงานไกลขึ้นเลยนะคะ แล้วคุณจะทำยังไง?”

สือมูเฉินเลิกคิ้ว: “ไม่เป็นไร ผมเป็นเถ้าแก่ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรหากผมไปทำงานสายหรอก”

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ: “นี่เป็นคำพูดของท่านประธานที่ดูบ้าอำนาจมากเลยนะคะ!”

ทั้งสองเดินเข้าไปในสำนักงานขายในบริเวณคฤหาสน์ด้วยกัน และทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไป ผู้จัดการฝ่ายขายก็เข้ามา: “คุณสือคะ คุณมาถึงแล้วเหรอคะ โปรดเชิญนั่งตรงนี้ก่อนค่ะ”

เมื่อนั้น ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับก็เดินเข้ามาต้อนรับอย่างสุภาพ: “คุณสือคะ คุณและภรรยาจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ?”

สือมูเฉินกล่าวว่า: “น้ำอุ่นสองแก้วก็พอ”

“ค่ะ”

ผู้จัดการฝ่ายขายได้วางโบรชัวร์การซื้อบ้านไว้ตรงหน้าสือมูเฉินแล้ว: “ท่านประธานสือคะ ยังมีคฤหาสน์อยู่สองสามหลังที่นี่ซึ่งยังไม่ได้ขาย ในจำนวนนี้เป็นที่ที่ทำเลดีที่สุด เมื่อยืนอยู่บนระเบียงยังมองเห็นแม่น้ำหนิงเจียงด้วยนะคะ”

สือมูเฉินมองไปที่ตัวอย่างบ้านในโบรชัวร์และพยักหน้า: “เอาล่ะ มาดูสถานที่จริงกันดีกว่า”

“ได้ค่ะ” ผู้จัดการฝ่ายขายรีบจัดรถให้ทันที

หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินทั้งสองคนมาที่คฤหาสน์วิวแม่น้ำแห่งนั้น แค่ก้าวลงมาจากรถหลานเสี่ยวถางก็รู้สึกชอบทันที

นี่คือส่วนในสุดของพื้นที่คฤหาสน์ ต้นไม้เขียวชอุ่มและคุณสามารถสัมผัสออกซิเจนในอากาศทันทีที่คุณเดินเข้ามา

ยิ่งไปกว่านั้นบนสนามหญ้ายังมีต้นไม้ที่ค่อนข้างเก่าแก่ ถึงแม้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่ใบไม้ก็ยังไม่เริ่มร่วงเลย ณ เวลานี้ท้องฟ้าปกคลุมพื้นที่สนามหญ้าทั้งหมด เป็นไปได้ว่าถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนการนอนบนสนามหญ้าจะเป็นอะไรที่รู้สึกเย็นสบายมากที่สุด

“คุณหญิงคะ” เมื่อผู้จัดการฝ่ายขายเห็นหลานเสี่ยวถางมองดูต้นไม้ใหญ่ เธอจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว: “ตอนที่ก่อสร้างเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ต้นไม้ต้นนี้ถูกพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะมันอายุเก่าแก่มาก ดังนั้นหลังจากที่หารือกันมันจึงไม่ถูกตัดทิ้ง เป็นความเขียวขจีของชุมชน แม้ว่าจะมีต้นไม้อาจก่อให้เกิดมียุงมากขึ้น แต่ทางเราได้ปลูกพืชกันยุงไว้มากมายรอบ ๆนั้น คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม ฉันชอบต้นฟีนิกซ์ขนาดใหญ่เช่นนี้มาก”

สือมูเฉินจับมือเธอ: “ไปกันเถอะ เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

คฤหาสน์มีทั้งหมดอยู่ 3 ชั้น เพราะเป็นเพียงห้องตัวอย่าง ดังนั้นจึงมีเพียงเฟอร์นิเจอร์บางส่วนเท่านั้น พอเข้ามาแล้วพื้นที่ดูสูงและโล่ง

ห้องโถงเชื่อมต่อกับชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง ดังนั้นพื้นที่จึงสูงเป็นพิเศษ มีต้นไม้เขียวชอุ่มสูงปลูกไว้ตรงกลางและเชื่อมทั้งสองชั้น ด้านข้างมีพู่โคมระย้าคริสตัลห้อยลงมา

ผู้จัดการฝ่ายขายกล่าวว่า:“ท่านประธานสือคะ คุณสามารถเปิดไฟดูได้นะคะ และในช่วงเวลาตอนกลางคืนไฟจะสวยงามมากกว่านี้ค่ะ”

“ครับ” สือมูเฉินพยักหน้าและเปิดไฟในห้อง

ผู้จัดการฝ่ายขายกล่าวเสริมว่า: “มีบาร์อยู่ถัดจากห้องรับแขกด้วยนะคะ ซึ่งสามารถใช้เป็นโหมดไฟเวทีสำหรับจัดงานปาร์ตี้ได้อีกด้วยค่ะ”

เดินผ่านห้องรับแขก หลานเสี่ยวถางมองสำรวจไปทีละห้อง เนื่องจากยังไม่มีแบบแปลน ห้องจึงดูโล่ง ๆและว่างเปล่า มีเพียงห้องนอนบนชั้นสามเท่านั้นที่มีเตียงติดตั้งอยู่

เธอเดินออกจากห้องนอนไปยืนอยู่ที่ระเบียง ก็สามารถมองเห็นแม่น้ำอยู่ไกล ๆ

ว่ากันว่าตราบใดที่เมืองมีน้ำก็มีออร่า และการยืนอยู่ในบ้านสามารถเห็นน้ำทำให้ผู้คนนั้นรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ

ในเวลานี้ เอวบางก็ถูกโอบล้อมด้วยแขน และเสียงที่นุ่มนวลดังก้องอยู่ในหูของเธอ: “เสี่ยวถาง คุณชอบมันไหม?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม ฉันชอบมันมากค่ะ”

“โอเค งั้นซื้อหลังนี้เลย” สือมูเฉินกล่าว

“ตัดสินใจเร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?” หลานเสี่ยวถางหันกลับมาและยิ้ม: “ไม่ไปเทียบกับหลังอื่นดูหน่อยเหรอคะ?”

“ไม่ต้องละ ตราบใดที่คุณชอบมันแล้วก็แค่ตัดสินใจซื้อมันทันที” สือมูเฉินกล่าว: “ต้องเชื่อมั่นในสายตาแวบแรกสิ”

ดังนั้น สือมูเฉินจึงลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมเซ็นสัญญาการซื้อบ้าน

หลานเสี่ยวถางมองไปยังแต่ละห้อง และเริ่มคิดอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับวิธีการวางแผนตกแต่งในแต่ละห้อง

เธอบันทึกแรงบันดาลใจของเธอไว้ในบันทึกช่วยจำบนโทรศัพท์มือถือของเธอ เมื่อเธอลงมาที่ชั้นล่าง สือมูเฉินได้ลงนามในสัญญาซื้อบ้านเสร็จแล้ว

ในขณะนั้น โทรศัพท์มือถือของสือมูเฉินก็ดังขึ้น

เขาหยิบมันขึ้นมากดรับสายแล้วพูดว่า: “คุณแม่—”

“มูเฉิน :เล่อซินกรีดข้อมือฆ่าตัวตาย!” น้ำเสียงของโจวเหวินซิ่วตื่นตระหนกอย่างมาก

“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?” สือมูเฉินขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด

“โชคดีที่แม่พบเข้าอย่างเร็ว แม่จึงโทรหา 120 แล้วส่งไปที่โรงพยาบาล ตอนนี้แม่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว” โจวเหวินซิ่วกล่าว “มู่เฉิน เธอเรียกชื่อลูกอยู่ตลอดเวลา ลูกมาเยี่ยมเธอหน่อยดีไหม!”

“ส่งที่อยู่มาให้ผม” สือมูเฉินกล่าว

หลังจากวางสาย เขาก็รีบพุ่งไปที่ผู้จัดการการฝ่ายขายเพื่อมอบหมายงานไว้ให้ จากนั้นเขาจึงดึงหลานเสี่ยวถางออกมาและพูดว่า “เสี่ยวถาง พี่สาวของคุณกรีดข้อมือฆ่าตัวตาย ตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาล”

หลานเสี่ยวถางตกใจมาก และเมื่อเธอเงยหน้ามองไปที่สือมูเฉิน น้ำเสียงของเธอสั่นด้วยความกังวลใจ: “แล้วฉันควรทำอย่างไร? ฉันคิดว่าเธอจะไม่ทำเช่นนี้! มูเฉิน เราทำกับเธอมากเกินไปหรือเปล่า ……”

“คุณอย่ากังวลใจมากเกินไปเลย เมื่อไปถึงโรงพยาบาลค่อยคุยกันเถอะ” สือมูเฉินตบไหล่หลานเสี่ยวถางเบา ๆ

สี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสองมาถึงห้องพักฟื้นคนไข้ของหลานเล่อซิน และเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปโจวเหวินซิ่วนอนหลับตาอยู่บนโซฟาเพื่อพักผ่อน

ในห้องนั้นเงียบมาก หลานเล่อซินตื่นแล้วและเธอจ้องมองไปที่เพดานสีขาวเหมือนหิมะ ด้วยสีหน้าหน้าตาที่หมองคล้ำและน่าสงสาร

สือมูเฉินจับมือหลานเสี่ยวถางและเดินไปอยู่ตรงหน้าเธอ

เธอสังเกตเห็นการเคลื่อนไหว และค่อย ๆ หันมามองและในที่สุดดวงตาของเธอก็จดจ่อไปที่ร่างกายของสือมูเฉิน

เมื่อเขาเห็นเธอไม่พูดไม่จา เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “ทำไมต้องฆ่าตัวตาย?”

หลานเล่อซินมองไปที่สือมูเฉิน และน้ำตาก็รินไหลออกมาทีละน้อย: “เพราะฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ฉันรู้สึกทรมานกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ มันยังต้องมีเหตุผลอะไรอีกไหม?”

หลานเสี่ยวถางเห็นว่าแก้มของหลานเล่อซินไม่บวมอีกต่อไป ในขณะนี้เนื่องจากผิวที่ซีดเซียวของเธอ จึงทำให้เธอดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เธอรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูกและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า:“พี่คะ พี่อย่าทำเป็นแบบนี้อีก อันที่จริงแล้วถ้าพี่หางานดี ๆทำและ ใช้ชีวิตอย่างสงบ มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ!พี่มีทั้งการศึกษาและมีความสามารถ ทำไมถึงได้คิดสั้นแบบนี้ด้วยล่ะคะ?”

ถ้าหากเป็นไปได้ เธอต้องการเปลี่ยนการต่อสู้กับหลานเล่อซินให้มาเป็นการสร้างความปรองดองกันสักมากกว่า และละทิ้งความแค้นในอดีตของกันและกัน แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้มาเป็นพี่น้องกันจริง ๆ แต่พวกเธอก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ แบบนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย!

และที่สำคัญหลานเล่อซินเป็นหลานสาวแท้ ๆของคุณย่าหลาน!

“เสี่ยวถาง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิด” หลานเล่อซินมองไปที่สือมูเฉิน: “เพราะคุณบังคับฉัน คุณไม่เชื่อฉัน คุณใส่ร้ายฉัน ……”

ในขณะที่หลานเล่อซินพูดประโยคนี้อยู่นั้น โจวเหวินซิ่วที่หลับตาพักผ่อนอยู่บนโซฟาก็ตัวสั่นเล็กน้อย

“หลานเล่อซินคุณเคยคิดไหมว่า ก่อนหน้านี้ที่คุณทำร้ายเสี่ยวถางนั้น ถ้าหากผมไม่เชื่อเธอจริง ๆแล้วล่ะก็ เธอก็อาจจะฆ่าตัวตายได้เช่นกัน?” สือมูเฉินไม่ได้แสดงสีหน้าอารมณ์ออกมา: “คนทุกคนนั้นต้องรับผิดชอบต่อกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม”

หลานเล่อซินมองดูท่าทางที่สงบของสือมูเฉิน เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่หน้าเขา: “สือมูเฉิน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ทำไมคุณถึงเป็นคนแบบนี้อยู่ตลอดเวลา? หรือแม้แต่ตอนนี้ถึงฉันจะตายอยู่ตรงหน้าของคุณ คุณก็ไม่เคยสนใจใยดีฉันเลยแม้แต่จะชายตามองสักครั้งก็ยังไม่มี?!”

สือมูเฉินพูดอย่างเฉยเมย: “ถ้าคุณตายจริง ๆ คุณพ่อและคุณแม่ของคุณไม่มีใครดูแล ไม่มีที่พึ่งพา แน่นอนว่าถึงแม้ความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้งสามคนนั้นจะไม่ค่อยดี และคุณไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรมาก ดังนั้น เชิญคุณทำตามทุกอย่างที่ใจคุณต้องการเถอะ!”

หลังจากหลานเล่อซินฟังการวิเคราะห์ที่เขาพูดโดยไม่ใช้อารมณ์ ในที่สุดเธอก็ทรุดตัวลงและร้องไห้: “คุณมันก็คือปีศาจ! ปีศาจที่ไม่เคยมีความรู้สึก คุณไม่เคยมีความสุข ความโกรธ ความเศร้าโศกหรือความปิติยินดี! คุณสงบจนเหมือนกับคนบ้าคนหนึ่ง! ตอนแรกทำไมคุณต้องไปบ้านตระกูลหลานด้วย แล้วทำไมคุณต้องมาหมั้นหมายกับฉันด้วยล่ะ?!”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะพูดและระบายออกมาอย่างไร สือมูเฉินก็มองดูเธออย่างเงียบ ๆและไม่แยแส โดยไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

ในท้ายที่สุดหลานเล่อซินเหนื่อยแล้ว และเธอก็นอนร้องไห้บนหมอนคนเดียวอย่างเงียบ ๆ

หลานเสี่ยวถางรู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหว เธอกำลังเดินเข้าไปและเกลี้ยกล่อม เธอก็เห็นสือมูเฉินชิงเดินเข้าไปก่อน

เขาหยิบโทรศัพท์ของหลานเล่อซินขึ้นมาจากบนโต๊ะ จากนั้นยกมือของหลานเล่อซินโดยไม่คาดคิดและเอานิ้วโป้งของเธอปลดล็อกโทรศัพท์

“หลานเล่อซินถ้าการที่คนคนหนึ่งต้องการจะตายจริง ๆ หลังจากที่เกิดเรื่องคงไม่โทรหาคุณแม่ของผมหลายสายขนาดนี้หรอกนะ” สือมูเฉินมองไปที่บันทึกการโทรเข้าโทรออก แล้ววางหน้าจอไว้ตรงหน้าเธอ: “สายโทรออกเหล่านี้ ยกเว้นแค่สายเดียวที่คุณแม่ของผมเป็นคนโทรหาคุณ ส่วนสายที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นคุณโทรหาท่านเอง”

หลานเล่อซินตัวแข็งทื่อ

สือมูเฉินมองดูสมุดบันทึกสุขภาพผู้ป่วยที่วางอยู่ข้าง ๆ เธอ: “ยังมีการบันทึกอาการของผู้ป่วยไว้ในนี้อีกด้วย ซึ่งได้อธิบายอาการของผู้ป่วยทุกอย่างไว้อย่างชัดเจน”

“คุณต้องการจะทำอะไรกันแน่?” หลานเล่อซินหันหน้ามองเขาตาค้อน

“ผมแค่อยากจะบอกคุณว่า เรื่องนิทานเด็กเลี้ยงแกะ คุณน่าจะเคยได้ยินมันมาก่อนแล้วนะ” สือมูเฉินพูดทีละคำ: “ดังนั้น ครั้งหน้าไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก ผมก็จะไม่มาอีกแน่นอน”