ตอนที่ 9 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 09

Akuyaku Reijou no Naka no Hito

ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 09

“ยินดีต้อนรับกลับ การทูตทางนั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ…?”

“สำเร็จไปได้ด้วยดี ส่งออกวัตถุดิบจากอสูรกับอัญมณีเวทมนตร์จากทางนี้ และนำเข้าอาหารกับข้าวของเครื่องใช้จากทางนั้น ตอนนี้ยังแค่เริ่มต้นในส่วนน้อย แต่ต่อไปต้องไปได้สวยแน่ จำนวนสินค้าหมุนเวียนอยู่ในระดับที่การลักลอบเปิดร้านก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด บรรณาการกับวิธีต่อรองที่เรมิเรียแนะนำก็เป็นประโยชน์มากเช่นกัน… เพียงเท่านี้ประชนชนของข้าก็สามารถผ่านฤดูหนาวครั้งนี้ไปได้โดยไม่มีการสูญเสีย”

“น่ายินดีจริงๆ”

ข้าเผยรอยยิ้มจากใจจริง ความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของข้า

ผ่านมานานนับปีที่หญิงสาวแห่งดวงดาวกับพวกของวิลเลียดจบการศึกษาจากโรงเรียน แต่พวกเขาไม่เคยได้ทำการฝึกฝนให้แข็งแกร่งเหมือนกับเอมิ ประเด็นสำคัญคือพวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเผ่าปีศาจและราชปีศาจ แม้กระทั้งเนื้อเรื่องในเกมก็ยังบอกเอาไว้ว่า ผู้บัญชากองอัศวิน โดมินิก มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้นก็ยังถูกปีศาจฆ่าตายในสนามรบ จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่ไม่ได้รับการฝึกที่จะเอาชนะปีศาจ เป็นเหตุผลให้เหล่าตัวละครหลักจำเป็นต้องเพิ่มเลเวลให้สูงยิ่งขึ้นก่อนต่อสู้กับปีศาจ

ข้าได้แอบถามกับคลิมที่เดินทางไปปราสาทพร้อมกับแองเจิ้ล เขาเล่าให้ฟังว่ามนุษย์ที่เขาเห็นทุกคนยืนนิ่งเป็นหุ่นกระบอก เหงื่อแตกหน้าซีดทำได้เพียงพยักหน้าแบบสั่นๆตอบรับคำพูดของราชาปีศาจแองเจิ้ลที่ยืนเด่นอยู่คนเดียว

“เพราะแองเจิ้ลมองเห็นคำโกหกได้ทันที เขาจึงอ่านอารมณ์ความรู้สึกจากสีหน้าของอีกฝ่ายไม่เป็น… ข้าเชื่อว่าเป็นความจริงที่เขาบอกว่าอีกฝ่ายเต็มใจยอมรับข้อเรียกร้องอย่างสงบตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ข้าคิดว่าคนพวกนั้นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแน่ ต่อหน้ากำลังรบในระดับที่ถล่มได้ทั้งประเทศที่เดินเข้าไปกลางปราสาท คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกค่ะ”

“ก็ท่านพี่ไม่เคยรู้ถึงความน่ากลัวของตัวเองเลยนี่นา”

นั่นแหละ คือสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าหัวเราะและดำเนินตามแผนการต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน ข้ารับใช้ที่ข้าปล่อยเอาไว้ในเมืองหลวงก็เริ่มเห็นเผ่าปีศาจออกมาทำการค้าขายกันได้อย่างเปิดเผยในความสงบเรียบร้อย โดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดภัยพิบัติแห่งหายนะแม้ว่าจะจบการศึกษาออกจากสถาบันมานานแล้ว และอีกฝั่งหนึ่ง ‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้?! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!!’ ข้ามองภาพพีน่าที่กำลังอาละวาดอยู่ในห้องของเธอ

ใช่แล้ว ข้าเข้าใจ ไม่มีการเดินทางที่ห้อมล้อมไปด้วยบรรดาหนุ่มๆของเธอหากไม่มีภัยพิบัติแห่งหายนะ ไม่มีโอกาสพบเจอเพื่อนใหม่ระหว่างออกผจญภัย และเหตุการณ์เพิ่มระดับความสัมพันธ์ระหว่างการเดินทางก็ไม่มีวันเกิดขึ้น เธอกำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่สินะ

อา ข้ารู้สึกได้ อีกไม่นาน มือของข้ากำลังเอื้อมไปจับรอบคอของผู้หญิงที่คิดทำลาย ‘ความสุขของเรมิเลีย’ อันแสนสำคัญของเอมิ

ก่อนจะถึงขั้นตอนสุดท้าย ข้าต้องลงมือเตรียมการในเรื่องสำคัญผ่านข้ารับใช้ในเมืองหลวง ด้วยการแทรกแซงจิตใต้สำนึกเพียงเล็กน้อยของเหล่าพยานเท็จ พวกเขาจะมีความรู้สึกว่า ‘หากยังปล่อยคำให้การเท็จของตัวเองเอาไว้ในคดีบุตรีดยุกกราปเนอร์ จะต้องประสบกับเรื่องเลวร้าย’ ก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ

มีสี่คนสารภาพกับครอบครัวและคนใกล้ชิด สองคนถึงกับไปขอแก้คำให้การที่พระราชวัง ‘แต่ยังมีพยานคนอื่นๆอยู่อีก’ ‘คำให้การเล็กๆน้อยๆของคนคนเดียวไม่มีผลอะไรต่อรูปคดี’ ‘ในตอนนั้นอยากจะช่วยคุณหนูพีน่าจริงๆ ถึงได้โกหกออกไป’ คนที่สำนึกได้มีจำนวนน้อยกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มาก แต่ก็เป็นการตอกลิ่มลงบนรอยร้าว แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่คนในวังต้องสังเกตเห็นแน่

การค้าขายยิ่งแพร่หลาย อคติต่อเผ่าปีศาจยิ่งลดลง ไม่มีมลพิษคอยกัดกินเผ่าปีศาจอีกต่อไปจึงไม่มีความบ้าคลั่งเกิดขึ้นอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อรู้ตัวอีกที พวกเขาก็เข้ามาอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน ชาวบ้านและพ่อค้าที่ได้ติดต่อกับพวกเขาก็จะไปบอกต่อๆกันว่าเผ่าปีศาจนั้นไม่เหมือนกับเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมา เป็นข่าวที่กระจายออกไปเป็นวงกว่างอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับสินค้าจากโลกปีศาจ เช่นวัตถุดิบจากอสูรและอัญมณีเวทมนตร์ ที่มีคุณภาพสูงจนเป็นที่ต้องการทางตลาด

เพราะต้นกำเนิดของมลพิษหายไป ทำให้คาดว่าแรงกระตุ้นที่น้อยลงจะทำให้กำลังการผลิตของสินค้าพิเศษชนิดนี้จะลดลง… แต่ปีศาจมีความชำนาญในการแปรรูปอัญมณีเวทมนตร์และสร้างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ตั้งแต่แรก การผลิตจึงตื่นตัวจนกลายเป็นอุตสาหกรรม ทำให้มีสินค้ามากพอที่จะทำการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนเรื่องของข้อมูลที่ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

เทพแห่งการสร้างที่เผ่าปีศาจบูชาได้อ่อนแอลงจากการต่อสู้กับเทพมาร อีกทั้งเทพธิดาแห่งการชำระล้างก็ถูกอุบายสกปรกของเทพมารทำให้หายตัวไป เทพมารได้สร้างมารและสิ่งชั่วร้ายต่างๆออกมาสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์และปีศาจเป็นเวลานาน แต่ตอนนี้ เทพธิดาแห่งการชำระล้างได้กลับมาแล้ว และด้วยความร่วมมือของราชาปีศาจองค์ปัจจุบัน เทพมารก็ได้ถูกโค่นลง ในที่สุดความสงบสุขก็ได้บังเกิดอีกครั้งภายในดินแดนของปีศาจ จึงเป็นเวลาอันเหมาะสมสำหรับการออกสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับมนุษย์ แม้จะเป็นเรื่องโกหกแต่แองเจิ้ลก็คิดว่าจำเป็นในการการรักษาความสงบ

ประชากรเผ่าปีศาจถูกคำสาปจากเทพมารทำให้บ้าคลั่ง จึงได้ประกาศออกไปว่าหลังจากเอาชนะเทพมารได้สำเร็จ ความบ้าคลั่งจะหมดไป ความจริงที่ว่ามารกับปีศาจคือสิ่งเดียวกันจึงถูกปกปิดไว้ ทุกคนถูกสั่งห้ามพูดถึงเรื่องความบ้าคลั่งกับมนุษย์ด้วยเวทมนตร์อาญาสิทธิ์ผูกมัดวิญญาณซึ่งเป็นเวทมนตร์เฉพาะสำหรับราชาปีศาจเท่านั้น เวทมนตร์ของเผ่าปีศาจช่างน่าสนใจเหลือเกิน ข้าจะเรียนรู้มันเพื่อใช้กับพีน่าได้ไหม? ไม่ล่ะ นั่นจะทำให้ความสนุกลดลง

ความจริงที่ว่าเทพแห่งการสร้างร่วงหล่นจนกลายเป็นเทพมารก็ไม่ถูกเปิดเผย นอกจากข้าแล้วก็มีเพียงราชาปีศาจแองเจิ้ลกับคลิมที่อยู่ด้วยกันเท่านั้นที่รู้ ข้าสนับสนุนการบอกเล่าเรื่องราวที่ว่า ‘สิ่งเลวร้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีสาเหตุมาจากเทพมารตนนั้น’ เพราะเผ่าปีศาจนับถือเทพแห่งการสร้าง หากพวกเขารู้ว่าชีวิตอันทุกข์ทรมานที่ผ่านมาเป็นฝีมือของเทพที่นับถือ พวกเขาจะสิ้นศรัทธาในสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจจนกระทบต่อการใช้ชีวิตต่อจากนี้ เช่นเดียวกับเรื่องที่ข้าเป็นคนโค่นจ้าวสวรรค์ก็ไม่ถูกประกาศออกไป เพราะบางคนอาจหวาดกลัวการล้างแค้นของเหล่าทวยเทพ ทุกคนรวมถึงปีศาจควรได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลกับอดีต ทั้งหมดนี้มาจากใจจริงของข้า ข้าพูดมันออกมาต่อหน้าแองเจิ้ลโดยไม่ต้องเสแสร้ง

สำหรับพีน่าผู้ที่รู้ความจริงจากเนื้อเรื่องได้แย้งว่า ‘ข่าวพวกนั้นไม่เป็นความจริง’ พยายามโต้เถียงด้วยข้อมูลที่เธอมี แต่ ‘หญิงสาวแห่งดวงดาวไม่เคยออกจากเมืองหลวงแท้ๆ จะไปรู้อะไร?’ ‘ถึงจะเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาวก็เถอะ จะไปแย้งข้อมูลระดับประเทศด้วยคำพูดปากเปล่ามันก็…’ ‘เทพมารคือเทพแห่งการสร้างผู้ร่วงหล่นงั้นหรือ? ถ้าพวกเขารู้ว่าเทพที่พวกเขาบูชาถูกลบหลู่เช่นนี้ เดี๋ยวได้เกิดสงครามแน่’ เธออารมณ์เสียมากขึ้นเมื่อถูกต่อว่าในเรื่องนี้

ไม่มีใครเหลียวแลผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป สรุปง่ายๆด้วยคำพูดของเธอที่ว่า ‘เจ้าพวกปีศาจที่มีดีแค่หน้าตานั่น พวกมันต้องมาขอบคุณฉันถึงจะถูก ที่ช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดให้คนอื่นรู้ว่าปีศาจไม่ได้เป็นมารทุกคน พวกมันใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ได้โดยไม่ถูกข่มแหงรังแกเพราะฉันแท้ๆ’ นั่นมันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกมเท่านั้น เป็นการอวดดีที่น่าสมเพชเหลือเกิน

เอมิต่างหาก ที่ช่วยเหลือทุกคนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เธอทำเพื่ออนาคตของทุกคน และมักจะพูดว่า ‘ด้วยสิ่งนี้ จะต้องช่วยทุกคนได้แน่’ เพราะฉะนั้น ข้าจะไม่ยกโทษให้คนที่ทำร้ายเอมิผู้เป็นที่รักของข้าจนจิตใจถูกปิดกั้นด้วยความสิ้นหวัง

และแล้วก็ถึงวันหนึ่ง แองเจิ้ลมาแจ้งข่าวให้ข้าทราบขณะที่ข้าอาศัยอยู่ในโลกปีศาจเพื่อดำเนินแผนการต่อไป ตอนที่ข้ากำลังเล่นอยู่กับเด็กๆจากสถานรับเลี้ยงในโลกปีศาจ เนื้อตัวเปื้อนดินเปื้อนทรายไปพร้อมๆกับเหล่าเด็กๆเผ่าปีศาจ มีข่าวเกี่ยวกับการฉลองครบรอบหนึ่งปีสำหรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับโลกปีศาจ โดยจะจัดเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์อย่างยิ่งใหญ่ ได้เชิญบุคคลคนสำคัญจากโลกปีศาจรวมถึงราชาปีศาจแองเจิ้ลมาเป็นแขกหลักของงาน

เพื่อสรุปเรื่องราวความสัมพันธ์ในช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็กๆที่มีไม่กี่คนให้ความสนใจในการค้าขายกับเผ่าปีศาจ ต้องขอบคุณพ่อค้ารายใหญ่และขุนนางที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยผลักดันมาจนถึงจุดนี้

จากเหล่าข้ารับใช้ของข้าที่ให้จับตาดูพีน่า ทำให้รู้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้พบกับแองเจิ้ล เมื่อวานเจ้าหน้าที่การคลังของวังหลวงบ่นเอาว่า ‘ควบคุมตัวเองหน่อยเถอะ’ อยากได้ชุดใหม่อีกแล้วหรือ? ทั้งที่เธอยังมีอีกหลายชุดที่ยังไม่เคยได้สวมสาเลยสักครั้ง… ข้าสงสารเจ้าหน้าที่ที่ต้องตอบรับคำขอของพีน่าเหลือเกิน

ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่พีน่าเริ่มแสดงตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาทีละน้อย จากกรณีดังกล่าว ผู้คนเริ่มคิดว่าเหตุการณ์ของเรมิเลียบุตรีดยุกที่ถูกถอนหมั้น เริ่มมีแรงจูงใจที่ไม่แน่ชัด จากที่เคยคิดกันว่า ‘ถ้าถูกผู้หญิงที่ ‘เพียบพร้อม’ ขนาดนี้เข้ามาสนิทสนมกับคู่หมั้นของตัวเอง จะอิจฉาจนลงมือกลั่นแกล้งก็ไม่แปลก’

วิลเลียดและคนอื่นๆก็เริ่มแสดงความรังเกียจออกมาโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะความรู้สึกเหล่านั้นได้ก่อตัวมากกว่าความรักที่มี ในตอนนี้พวกเขาแทบจะมองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว

เช่นเดียวกับเด็กที่จะรักพ่อแท่โดยไม่มีเงื่อนไข แม้แต่เด็กที่มีพ่อแม่นิสัยน่ารังเกียจก็ยากที่จะเกลียดได้ลง อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด แต่ความรักจอมปลอมที่ถูกปลูกฝังลงไปนั้นจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า วิลเลียดและคนอื่นๆจะหันหลังให้พีน่าหรือจะเลือกล่มหัวจมท้ายไปด้วยกันเพราะ ‘ไม่อยากรู้สึกผิดที่ร่วมประณามมิเลีย’

แม้จะมีตำแหน่งเป็น ‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’ แต่เธอก็เป็นคนไร้มารยาทเกินไป ชื่อเสียงจากบุคลิกของเธอเป็นที่รู้กันดีในหมู่ขุนนางและคนรับใช้ในพระราชวัง อีกทั้งการที่ไม่เคยออกปรากฏตัวสู่สาธารณะ แท้จริงแล้วคือเธอไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงตัว เป็นที่น่าสงสัยว่าหากสงครามอุบัติขึ้น เธอจะสามารถทำประโยชน์ได้หรือเปล่า ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่ เพราะผู้หญิงขี้เกียจคนนี้ไม่ทำแม้แต่การฝึกฝนความสามารถของตัวเอง แม้กระทั่งพลังพิเศษของหญิงสาวแห่งดวงดาว ‘เพิ่มพลังความสามารถของผู้อื่น’ ก็ยังไม่เคยถูกใช้งานเป็นเรื่องเป็นราว การดำรงอยู่ของเธอจึงเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น

เรื่องราวในเกมกับโลกแห่งความจริงได้แตกต่างกันไปไกล

ครึ่งปีก่อนทางโรงเรียนได้รับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเผ่าปีศาจมาร่วมเรียนในสถาบัน เจ้าชายลำดับหนึ่งเก็บซ่อนความกลัวที่ว่า ‘ถ้าปีศาจตั้งตังเป็นศัตรูเมื่อไหร่ พวกเราก็จบเห่’ และตัดสินใจใช้โอกาสนี้สร้างเส้นสายกับปีศาจ โดยประกาศออกไปว่าเจ้าชายลำดับหนึ่งเป็นผู้มีสายเลือดปีศาจ และเขาก็ได้กลายมาเป็นผู้นำทางการทูตกับโลกปีศาจ

เมื่อเดือนที่แล้วมีรายงานเกี่ยวกับคู่แต่งงานระหว่างปีศาจและมนุษย์ ซึ่งยังมีปัญหาเล็กๆน้อยๆอยู่บ้าง เช่นเรื่องของอายุขัย แต่มีแนวโน้มว่าจะเห็นการแต่งงานในลักษณะนี้มากขึ้นในอนาคต

หลังจากเหตุการณ์มกุฎราชกุมารประณามบุตรีดยุกเรมิเลีย ทำให้วิลเลียดสูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลกราปเนอร์ อีกทั้งช่วงนี้พีน่าแสดงนิสัยดั้งเดิมของเธอออกมาหลายต่อหลายครั้ง จึงเริ่มมีคำถาม ‘การประณามในวันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆหรือ?’ จากหลายๆคนที่คิดย้อนกลับไป และ ‘การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นจริงแน่นอน แต่อีกฝ่ายเป็นคนแบบนั่นก็เข้าใจความรู้สึกอยู่หรอก และบทลงโทษก็ดูเหมือนจะรุนแรงเกินไป’ ‘การกลั่นแกล้งครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บสาหัส ข้อหาที่ตั้งให้กับท่านบุตรีดยุกเกินจริงไปมาก’ แม้เสียงเหล่านี้จะยังไม่เข้าถึงหูราชวงศ์ แต่ก็ถูกพูดถึงกันทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่นักเรียนหญิงที่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนในช่วงเวลานั้น

หลังจากพีน่าไม่ส่งกลิ่นน้ำหอมอีกต่อไป พวกเขาดูเหมือนจะคิดได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

ขณะที่เจ้าชายลำดับหนึ่งเฉิดฉายจากความสำเร็จทางการทูตกับโลกปีศาจ วิลเลียดนั้นตรงกันข้าม ‘ทำให้การถอนหมั้นเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เพื่อคุณหนูคนนี้’ เขาจึงถูกองค์ราชายัดเยียดแต่งตั้งให้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลพีน่าอย่างเต็มตัว ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน เธอก็ไม่เคยทำอะไรที่สมเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาวเลยสักครั้ง เขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ไม่เอาน่า พีน่า… ชุดดีๆที่เจ้าไม่เคยใส่ก็มีอีกตั้งมากมาย งบประมาณไม่ได้มีเหลือเฟือขนาดนั้น”

“พูดแบบนั้นได้ยังไง? จะให้ฉันใส่ชุดพวกนั้นไปต้อนรับท่านแองเจิ้ล มันน่าขายหน้าเกินไปแล้วนะ… วิลอยากถูกปีศาจหัวเราะเยอะว่าคนรักแต่งตัวเชยๆไปร่วมงานเลี้ยงหรือไง?”

“ข้าไม่ได้ต้องการพูดเช่นนั้น แต่มันมีขีดจำกัดจริงๆ…”

“แย่ที่สุด…! วิลกลายเป็นคนใจดำไปซะแล้ว… ทั้งที่ตอนอยู่ในโรงเรียนก็ฟังทุกอย่างที่ฉันพูดแท้ๆ แล้วมาตอนนี้ นายเอาแต่บอกกับฉันว่าต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้… แต่พอฉันขอออกไปล่าอสูรที่นอกเมือง กลับไม่ยอมให้ไป… ถึงฉันจะขอไปกับคนอื่น วิลก็ไม่อนุญาตอีก…”

พีน่ายังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่จะมาเป็นคู่หมั้นคนใหม่ ด้วยความที่เป็นหญิงสาวแห่งดวงดาวทำให้พีน่าเป็นที่ต้องการตัว แต่ตัวพีน่าเองมีคนอื่นที่อยากแต่งงานด้วยอยู่แล้ว เธอใช้ข้ออ้างว่า ‘ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมาก ไม่เหมาะกับตำแหน่งคู่หมั้นอย่างเป็นทางการ’ แล้วแสดงท่าทางเหมือนอยากให้คนรอบข้างพูดปลอบว่า ‘ไม่จริงหรอก’ แต่คำตอบที่เธอได้รับจะเป็น ‘อื่ม เห็นด้วย’ และพีน่าก็จะหัวเสียกับคำตอบนั้น ซึ่งมีแต่คนฝึกอบรบกับสาวใช้ของพีน่าเท่านั้นที่เห็นว่าพีน่าไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก

ขุนนางหลายตระกูลสนับสนุนให้หญิงสาวแห่งดวงดาวเป็นคู่หมั้นคนใหม่ แต่พวกเขาก็เปลี่ยนใจหลังจากได้รู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของพีน่า และในตอนนี้ ต่อให้พีน่ายอมรับการหมั้น ทางราชวงศ์ก็ยังต้องลังเลที่จะตอบตกลง

เพราะปัญหาที่มากมายจากพีน่า ทำให้มกุฎราชกุมารวิลเลียดไม่มีเวลาไปฝึกฝนผีมือเพิ่มเติมได้อีก… เลเวลของเขาจึงไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่เอมิทำ และเขาก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะมกุฎราชกุมาร… เนื้อเรื่องในเกม ภัยพิบัติแห่งหายนะจะเกิดขึ้นในตอนที่เรมิเลียทำการอัญเชิญราชาปีศาจ ทำให้อัศวินและกองทัพได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องจากเผ่าปีศาจและอสูรที่ตามมา ทุกพื้นที่ทำการต่อต้านอย่างยากลำบาก ผู้มีสายเลือดผู้กล้าอย่างวิลเลียดจึงต้องจับดาบเข้าต่อสู้กับศัตรู แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

พีน่ารู้สึกหงุดหงิดที่เวลาผ่านไปหนึ่งปีโดยไม่มีเหตุการณ์เพิ่มความสัมพันธ์ตามเนื้อเรื่องอีกเลย เพราะการออกผจญภัยไปต่อสู้กับราชาปีศาจไม่เคยเกิดขึ้น ยาเสน่ห์ก็ไม่สามารถหามาได้ พวกพ้องเพื่อนร่วมเดินทางก็ไม่มี และเมื่อเร็วๆนี้ เหล่าผู้ชายที่ติดตามเธอก็เริ่มตีตัวออกห่าง เธอบ่นอย่างอารมณ์เสียอยู่ในห้อง ‘ไม่เหมือนในเกมเลยนี่นา ปล่อยไว้เฉยๆแล้วค่าความชอบมันลดลงเองได้ด้วยเหรอ?’

เธอท่องจำทุกเหตุการณ์และตัวเลือกแต่ละอย่างได้อย่างขึ้นใจ ทั้งบทสนทนาระหว่างตั้งค่ายพักแรม เหตุการณ์พิเศษที่มีคนร้องขอความช่วยเหลือเพราะถูกอสูรจู่โจม เธอเชื่อมั่นว่าจะทำให้ผู้ชายคนอื่นๆนอกจากกลุ่มของวิลเลียดตกหลุมรักเธอได้ แต่พีน่าก็ทำได้แค่อดทนรอด้วยความหงุดหงิดอยู่แต่ในห้อง

การให้ของขวัญแก่ผู้ชายที่เป็นเป้าหมายเพื่อเพิ่มค่าความชอบก็ถูกสั่งให้หยุด เพราะตำแหน่งคนรักของมกุฎราชกุมารจะให้ของขวัญแก่เพศตรงข้ามหลายคนเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเขาก็ไม่พอใจที่เธอใช้งบประมาณเพื่อการนั้น เธอจึงต้องออกล่าอสูรกับผู้ชายที่ยังไม่สนิทกันดี พีน่าจึงโทษวิลเลียดที่จำกัดการกระทำของเธอว่าเป็นผู้ชายใจแคบไม่ปฏิบัติกับเธอเหมือนในเกม

เขาเคยบอกเธอลายครั้งแล้วว่าเขา ‘มีงานต้องทำ’ แต่พีน่าก็ยังไม่สนใจ ล่าสุด เธอทำให้วิลเลียดต้องปวดหัวที่สุด ถึงจะมีเหตุผลเป็นการการออกปราบอสูรก็ตาม แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะออกไปค้างคืนกับผู้ชายหลายคน แม้ว่าจะเป็นคนรักเพียงแค่ในนามแต่เรื่องนี้ก็มีผลกระทบต่อชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เมื่อเขาตำหนิเธอ พีน่าก็เริ่มร้องไห้และโต้เถียงกัน

เขาเริ่มรู้สึกว่า ‘ถ้าผู้หญิงคนนี้ชอบป่าวประกาศเป็นผู้เสียหายจากเรื่องเล็กๆได้ขนาดนี้ บางทีกรณีของเรมิเลีย เธออาจไม่ได้ตั้งใจทำร้ายอีกฝ่ายจริงๆก็ได้ แค่บังเอิญสวนกันที่บันไดและคิดจะผลักให้ล้มด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ได้มีเจตนาฆ่าให้ตายหรือทำให้บาดเจ็บสาหัส…’

ถ้าเรมิเลียได้ยินความคิดของเขา ก็คงจะล้มเลิกแผนการล้างแค้นและเข้าไปตัดหัววิลเลียดพร้อมกับบอกไปว่า ‘จนป่านนี้แล้วเนี่ยนะ’

เหล่าผู้ติดตามของวิลเลียดก็ตกอยู่ในสภาพลำบากไม่แพ้กัน พวกเขาถูกอดีตคู่หมั้นทอดทิ้งเนื่องจากหมกมุ่นกับพีน่ามากเกินไป ขุนนางคนอื่นๆก็เริ่มตีตัวออกห่างพวกเขาเช่นกัน

 วิลเลียดกับเหล่าผู้ติดตามจึงได้แต่ทนกับความเห็นแก่ตัวของพีน่า และด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเธอจนถึงที่สุด แม้ว่าเธอจะถูกยอมรับว่าเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาว แต่พลังของเธอกลับสร้างประโยชน์ใดๆไม่ได้เลยนอกจากเพื่อการสงคราม เว้นแต่เธอจะสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญ พวกเขาพยายามสอนความรู้ที่มีประโยชน์ให้เธอ เช่นการเกษตร การเลี้ยงปศุสัตว์ และธรณีวิทยา แต่พีน่าก็ไม่พยายามที่จะเรียนรู้

วิลเลียดบอกไปว่า ‘ข้าให้เจ้าตัดชุดใหม่ไม่ได้จริงๆ’ และออกจากห้องทันทีเพื่อหนีจากเสียงกรีดร้องของพีน่า เขาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายและบ่นออกมาว่า ‘ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้’

ภายในปราสาทเริ่มมีข่าวลือพูดกันหนาหู ‘เจ้าชายลำดับหนึ่ง เอลฮาซา จะเป็นมกุฎราชกุมารแทนวิลเลียดกำลังจะถูกปลด’

องค์ราชาที่ได้ยินเสียงข่าวลือต่างๆนาก็รู้สึกเสียดายที่เขาอนุมัติการลงโทษเรมิเลียแทนที่จะให้หน่วยสืบสวนของวังหลวงวิเคราะห์หลักฐานที่ได้รับมาจากวิลเลียดก่อน เพราะในตอนนั้นหลักฐานทั้งหมด ‘ถูกยืนยันจนมั่นใจได้แล้ว’ แต่เมื่อได้คิดดู ทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อความบนกระดาษ…

เมื่อเร็วๆนี้ ราวกับต้องการพิสูจน์ถึงความกังวลของเขา มีพยานผู้หนึ่งไม่สามารถทนกับความรู้สึกผิดในใจได้อีกต่อไป ได้สารภาพออกมาว่า ‘ความจริงแล้ว คำให้การทั้งหมด เป็นเรื่องที่หญิงสาวแห่งดวงดาวขอให้พูด’ คนอื่นที่รู้ว่ามีการสารภาพเกิดขึ้นแล้วก็เริ่มที่จะพูดออกมาบ้าง แม้จะมีจำนวนไม่มากแต่ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจ

“หรือว่าหลักฐานอื่นๆก็เป็นของปลอมเหมือนกัน?”

คุณหนูเรมิเลียอ้างว่าตนถูกใส่ร้ายจนถึงที่สุด แต่มีหลักฐานและพยานสนับสนุนมากเกินไป จึงไม่มีใครคัดค้านคำตัดสิน ข้ออ้างทั้งหลายจึงเป็นเพียงคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น… แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ ถ้าหากทั้งหมดคือหลักฐานปลอมและพยานเท็จที่ถูกจัดฉากสร้างขึ้นมาเป็นขบวนการ

“ไม่ ไม่มีทาง…”

ในตอนนั้น วิลเลียดไม่ได้ตั้งใจถอนหมั้นจริงๆ การประณามแท้จริงแล้วคือบทละครที่เอาไว้ดัดนิสัยเรมิเลียให้สำนึกในการกระทำและเพื่อให้ขุนนางทั้งหลายได้เห็นว่าเรมิเลียกับหญิงสาวแห่งดวงดาวคืนดีกันแล้ว ตามแผนที่วางไว้คือทำให้เรมิเลียที่เปลี่ยนไปได้รู้ตัวถึงความโง่เขลาของตัวเอง โดยขู่ว่าจะทำการถอนหมั้นหากปฏิเสธ แล้วเรมิเลียจะก้มหัวขอโทษหญิงสาวแห่งดวงดาวต่อหน้าทุกคน เป็นฉากจบอันสวยงามตามที่เขาคิดไว้ ดังนั้น คดีจึงไม่เคยได้รับการสอบสวนอย่างเป็นทางการ มีเพียงเอกสารที่ยังไม่ถูกดำเนินการอย่างถูกต้อง และเขาคำนวณถึงอนาคตของเรมิเลียหลังเหตุการณ์นั้นเอาไว้แล้วด้วย

ทั้งวิลเลียด ผู้ติดตาม ขุนนางบางคน รวมถึงตัวเขาเองก็รู้ถึงแผนการนี้ แต่เรมิเลียผู้ดื้อรั้นก็ปฏิเสธความผิดทั้งหมดและยอมรับการถอนหมั้น ทุกอย่างจึงยุ่งเหยิงถึงขั้นนี้

อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาวที่คนทั้งประเทศไม่เคยได้เห็นพลังของเธอ เท่ากับว่าเขาไม่เพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีของหญิงสาวขุนนางผู้บริสุทธิ์ แต่ยังเชิดชูผู้หญิงที่เปรียบเสมือนพิษร้ายผู้ก่อเหตุการณ์เช่นนั้น ให้ถูกยกย่องจากคนทั้งประเทศอีกด้วย ในใจเขาจึงเกิดการไม่ยอมรับ ‘เป็นไปไม่ได้หรอก’ และโยนความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดทิ้งไป

ถ้าเรมิเลียรู้ว่าเขาตั้งใจตัดสินให้ ‘เรมิเลีย’ ผู้บริสุทธิ์ต้องมีความผิด เธอคงล้มเลิกแผนการล้างแค้นและเข้าไปตัดหัวเขาไปพร้อมกับวิลเลียด