บทที่ 162 การสอบรอบแรก
บทที่ 162 การสอบรอบแรก

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าเสี่ยวฉินบุกเข้ามาในสถานที่สอบ เพราะตอนนี้เธอกำลังต้มน้ำขิงเชื่อมให้แม่รองกับแม่ของเธออยู่

ด้านข้างมีฉืออี้หย่วนกำลังช่วยอยู่

เด็กหนุ่มที่กำลังดูการสอบเห็นเสี่ยวเถียนเดินกลับบ้านจึงตามไปด้วย ก่อนจะรู้ว่าเด็กหญิงกำลังจะต้มน้ำขิงเชื่อม จึงเสนอตัวช่วยจุดไฟ

แม้เสี่ยวเถียนจะเคยเรียนทำอาหารมาในชาติก่อน แต่มีดหั่นผักที่บ้านเล่มใหญ่มาก เธอจึงไม่สามารถยกไหว

มันหนักมาก

หลังจากหั่นขิงเป็นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยความพยายาม ถึงจะไม่หั่นเป็นขนาดที่สม่ำเสมอ แต่ก็ไม่น่าเกลียด เสี่ยวเถียนวางมีดทำครัวลงด้วยความพึงพอใจ

ตอนนั้นเองที่น้ำต้มจนเดือดได้ที่แล้ว เสี่ยวเถียนเอาขิงหั่นฝอยใส่ลงไปในน้ำเดือด แล้วนำน้ำตาลทรายแดงที่หาเจอในบ้านออกมาด้วย

“เสี่ยวเถียน ทำอาหารเป็นด้วยหรือ?”

ถึงเสี่ยวเถียนจะหั่นขิงอย่างยากลำบาก แต่ฉืออี้หย่วนรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเธอเชี่ยวชาญในสิ่งเหล่านี้มาก

ซูเสี่ยวเถียนรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นค่ะ หนูแค่ช่วยอยู่ในครัว ดูพวกคุณย่าทำอาหารค่ะ หนูดูมาเยอะเลย”

ฉืออี้หย่วนจึงไม่ได้สงสัยมากเท่าไร

เพราะที่ชนบทมีเด็กผู้หญิงอายุเท่านี้ทำอาหารได้ตั้งหลายคน

เพราะที่บ้านหวงแหนซูเสี่ยวเถียน ไม่อย่างนั้นเธอคงรับหน้าที่ทำอาหารให้ครอบครัวอย่างหนักไปแล้ว

“พรุ่งนี้เราจะไปขึ้นเขากันไหม” เด็กหนุ่มถาม

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอย่างอ่อนหวาน “พี่อี้หย่วนอยากไปไหมคะ? ถ้าอยากไป พวกเราก็ไปด้วยกัน!”

ฤดูกาลนี้ไม่มีผักป่าบนเขา และสัตว์ป่าก็จับได้ง่ายกว่า เธอจึงไม่คัดค้าน

“งั้นพวกเราไปกันเถอะ บนเขาน่าจะมีสมุนไพรไม่น้อยเลย ถ้าพวกเราไปขุดกลับมาได้ก็คงจะดี” ไม่รู้ว่าฉืออี้หย่วนกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ ๆ เขาก็พูดเรื่องขุดสมุนไพรขึ้นมา

ความจริงแล้วซูเสี่ยวเถียนไม่สนใจเรื่องขุดสมุนไพร

สมุนไพรขายกันตรง ๆ ไม่ได้หรอก และกินดิบ ๆ ไม่ได้ด้วย เพราะงั้นนอกจากเจอยาที่ใช้ทั่วไปและเอาให้หมอหลี่แล้ว เสี่ยวเถียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจเลย

“หนูยังอยากจับไก่กับกระต่ายอยู่เลย” ซูเสี่ยวเถียนใส่น้ำตาลทรายแดงสามช้อนโต๊ะลงในน้ำขิงที่ต้มจนข้นอย่างมีความสุข

ฉืออี้หย่วนอดหัวเราะไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ยังคิดอยู่จริง ๆ หรือว่าบนเขาจะมีไก่กับกระต่ายเยอะอยู่?

ถ้ามีเยอะจริง ๆ ชีวิตของคนในชุมชนคงจะดีไม่น้อย

แต่เสี่ยวเถียนเหมือนจะโชคดีมาก เธอเจอหมูป่าโดยบังเอิญ นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น ๆ

“งั้นมาจับกระต่ายกับไก่กันเถอะ” เด็กหนุ่มบีบแก้มอ้วน ๆ ของเด็กหญิง

ตอนนี้เสี่ยวเถียนมีเนื้อมีหนัง น่ารักกว่าเยอะเลย!

ทั้งสองคุยกันไปหัวเราะกันไป แล้วใส่น้ำขิงเชื่อมลงไปในโหล จากนั้นก็หยิบถ้วยกระเบื้องใบใหญ่สองใบ แล้ววิ่งไปที่โรงเรียนประถม

พอทั้งสองมาถึง การสอบยังไม่สิ้นสุดเลย พอมองไปที่ห้องสอบก็มีคนไม่น้อยที่เอาแต่เกาหัว แล้วก็น้อยมากที่ลงมือเขียนคำตอบ

เห็นได้ว่าหลายคนในที่นี้ไม่ได้เตรียมตัวมาสอบเลย

เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงเขียนอย่างระมัดระวัง ถึงความเร็วจะไม่ได้ไว แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่พยายามเขียนอยู่ เรียกความสนใจได้ไม่น้อย

ตอนนั้นเองที่เธอเห็นเสี่ยวฉิน

คนนี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมถึงมาร่วมสอบด้วย?

ฉืออี้หย่วนมองตามเสี่ยวเถียน แล้วก็พบกับเสี่ยวฉิน

แววตาเด็กหนุ่มมีร่องรอยความบึ้งตึงด้วย

ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไปที่ชุมชนใหญ่เพื่อรายงานว่าครอบครัวเสี่ยวเถียนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนคอกวัว

หลังจากนั้นพอเธอจากไป เขามีความสุขมาก แล้วทำไมถึงยังกลับมาที่นี่อีก?

ไม่ได้การแล้ว คนแบบนี้อยู่ในชุมชนไม่ได้ ถ้ายังมีเธออยู่ในชุมขน ชีวิตพวกเราจะไม่สุขสบายแน่

“เสี่ยวเถียน…” ฉืออี้หย่วนพูดเสียงต่ำ

“พี่อี้หย่วน ทำไมซูเสี่ยวฉินถึงมาสอบได้ล่ะ? เธออยากเป็นคนงานด้วยหรือ?”

ถึงเธอจะถามผู้เป็นพี่ แต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากฉืออี้หยวน

และถึงจะรู้เรื่องเสี่ยวฉินไม่มาก แต่กับฉืออี้หย่วนแล้ว เขาไม่รู้อะไรเลย

“ไม่เป็นไรนะ ซูเสี่ยวฉินน่ะ…” เขาจะหาทางจัดการให้ได้!

ตอนนั้นเองก็หมดเวลาสอบพอดี

ผู้เข้าสอบถูกลมหนาวพัดมานานในวันที่อากาศหนาวจัด พอลุกขึ้นก็แทบจะเดินไม่ได้

ซูเสี่ยวเถียนกอดโหลน้ำขิงเชื่อมร้อน ๆ แล้ววิ่งไปหาแม่ทั้งสอง

“แม่คะ แม่รอง หนาวไหม? หนูต้มน้ำขิงเชื่อมมาให้ค่ะ!”

พอเห็นลูกหสาววิ่งมาพร้อมกับโหลในอ้อมแขน เหลียงซิ่วรีบก้าวไปข้างหน้า “ไอ๊หยา เด็กคนนี้ เดี๋ยวมันลวกขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า?”

ฉีเหลียงอิงรีบเดินมาหาด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน ร่างกายของเธอชาจากความหนาวมากจนเกือบจะล้มลงไป

“แม่ หนูโตแล้วนะ? ไม่ใช่เด็กสามขวบสักหน่อย!” ซูเสี่ยวเถียนพูดจาห้วน ๆ ด้วยปากเล็กแดงฉ่ำ

ประโยคนี้ทำคนได้ยินหัวเราะออกมา

สาวน้อยคนนี้พูดได้เต็มปากว่าเธอไม่ใช่เด็กสามขวบแล้ว แต่ตัวเธอก็ยังเป็นเด็กนะ

เสี่ยวเถียนไม่สนใจคนรอบข้าง แล้วยื่นถ้วยกับโหลน้ำขิงเชื่อมให้กับแม่ทั้งสอง

“แม่คะ แม่รอง รีบดื่มน้ำขิงต้มไล่ความหนาวเร็วเข้า” เสียงหวาน ๆ ของซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินในพื้นที่ที่เสียงดังมากนัก

แต่คนที่หนาวจนน้ำมูกไหลได้ยินประโยคนั้นก็อิจฉาตาร้อน

ในวันที่อากาศหนาวกับผู้คนที่หนาวเหน็บ ดื่มน้ำขิงสักถ้วยเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับไล่ความหนาว

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นน้ำขิงเชื่อมด้วย

ก่อนหน้านี้สถานะทางบ้านซูย่ำแย่มาก แต่ตอนนี้ได้ดื่มน้ำขิงเชื่อม ชีวิตดีนี่…

“เสี่ยวเถียน ทำไมไม่เตรียมให้เยอะหน่อยล่ะ พวกเราก็หนาวเหมือนกันนะ!”

อยู่ ๆ ก็มีคนพูดจาไร้มารยาทออกมา

เสี่ยวเถียนเบนสายตาไปยังคนพูด คนผู้นั้นคือซูหูจื่อ ลูกชายคนเล็กของบ้านซูหยวนซานที่สถานะทางบ้านดีกว่าคนในหงซิน

ซูหูจื่อมักจะปฏิบัติต่อทุกคนด้วยท่าทางที่หยิ่งผยองโดยอาศัยตรงที่สถานะบ้านดี

ซูเสี่ยวเถียนย่นหน้า “ที่บ้านมีแต่ขิงกับน้ำตาลแค่นิดหน่อยเองค่ะ พี่หูจื่อ พี่ก็รู้ว่าบ้านเราจน แต่บ้านพี่ดีกว่าบ้านหนูอีก ทำไมไม่ให้ป้าต้มให้กินล่ะคะ?”

ซูหูจื่อเงียบไปในทันที

สถานะทางบ้านของเขาดีก็จริง ขิงก็มีน้ำตาลก็มี แต่แม่ไม่เต็มใจจะให้เขาดื่ม

ซูหูจื่ออยากจะเดินออกไป แต่เอกสารการสอบกำลังจะตรวจให้คะแนนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถออกไปได้ในเวลานี้

ถึงผู้เข้าร่วมการสอบจะหนาวจนน้ำมูกไหล แต่ทำได้แค่ยืนรอตรงนี้เท่านั้น

ฉีเหลียงอิงกับเหลียงซิ่วได้ดื่มน้ำขิงเชื่อมแล้วรู้สึกร่างกายสบายขึ้น เทียบกับคนอื่น ๆ แล้วมีจิตวิญญาณมากกว่า

ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนา ก็ได้ยินเสียงรถไถ

คนที่ลงจากรถคือผู้อำนวยการหลี่

อีกฝ่ายใส่เสื้อโค้ตทหารตัวใหญ่ สวมหมวกทหารใบใหญ่ไว้บนหัวด้วย

การแต่งตัวแบบนี้ ใครเห็นก็อิจฉา

“ผู้อำนวยการหลี่ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะครับ?” ซูฉางจิ่วรีบเดินไปจับมือด้วย

“โรงงานของเรากำลังรับสมัครคนงานนะ ผมต้องมาดูอยู่แล้วสิ” เขากล่าว “ผมไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม?”

“ไม่ช้าเลยครับ เพิ่งสอบเสร็จเลย กระดาษข้อสอบอยู่ตรงนี้ครับ” ซูฉางจิ่ววางใจ

เขาเองก็ไม่ค่อยมีความรู้ ถ้าจะแก้ก็ทำไม่ได้

ก่อนหน้านี้คิดจะไหว้วานพวกยุวชนมาช่วย แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะแก้ให้อย่างยุติธรรมหรือเปล่า

พอผู้อำนวยการหลี่มา ปัญหาก็แก้ไขได้อย่างง่ายดาย

“พอดีเลย ผมกำลังดูพอดี” ผู้อำนวยการไม่เกรงใจแล้วมุ่งไปที่กระดาษข้อสอบ ก่อนพลิกดูทีละหน้า

ซูฉางจิ่วยืนถัดจากหลี่ฉางชิ่ง “นี่เป็นข้อสอบวิชาวัฒนธรรมตามที่คุณขอครับ ยังเหลือการสอบทำอาหารอีก”

หลี่ฉางชิ่งพยักหน้า จากนั้นก็เลือกกระดาษเปล่าออกจากกอง ทั้งหมดมีสิบเอ็ดแผ่นที่ไม่มีข้อความเขียนอยู่ ส่วนอีกเก้าแผ่นเขียนแค่ชื่อ

กระดาษยี่สิบแผ่นนี้เป็นกลุ่มแรกที่ถูกคัดออก

ซูฉางจิ่วเฝ้าดูหลี่ฉางชิ่งหยิบกระดาษเกือบครึ่งออกมาพร้อมกัน ใบหน้าเขาแดงระเรื่อ

ระดับความรู้ด้านวัฒนธรรมของคนในชุมชนเข้าขั้นแย่มาก ถึงขนาดถูกคัดออกในคราวเดียว

หลี่ฉางชิ่งมองกระดาษที่เหลืออย่างระมัดระวัง แล้วหยิบอีกสิบสองแผ่นออกมา ถึงอีกเจ็ดใบจะมีการเขียนอยู่ แต่ก็เขียนไม่รู้เรื่อง เขียนไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ซูเสี่ยวฉินและคนอื่น ๆ ในชุมชนรวมกันเป็นห้าสิบเอ็ดคน แต่หักออกสามสิบสองคน จึงเหลือแค่ สิบเก้าเท่านั้น

“สิบเก้าคนนี้สามารถเข้าร่วมการสอบรอบที่สองได้ หลังจากสอบรอบที่สองเสร็จสิ้น เราจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าใครจะได้รับการคัดเลือก!” หลี่ฉางชิงกล่าวโดยตรง

หลี่ฉางชิ่งไม่ได้คาดหวังมากนักกับคนหงซิน แค่หาคนที่อ่านออกเขียนได้ก็พอ ไม่ได้คาดหวังคนที่มีความรู้ด้านวัฒนธรรมสูงขนาดนั้น

จากนั้นหลี่ฉางชิ่งก็ประกาศรายชื่อทั้งสิบเก้าคน

มันสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในชุมชนการผลิตมากที่เหลียงซิ่ว ฉีเหลียงอิง และซูเสี่ยวฉินก็สอบผ่านเช่นกัน

พวกเขารู้ดีว่า ทั้งสามคนนี้ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน

เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนตะโกนออกมาว่ามีเนื้อหาข้อสอบหลุดออกมา ไม่อย่างนั้นทั้งสามคนนี้ที่ไม่เคยเรียนหนังสือจะสอบผ่านได้อย่างไร

“นี่คือกระดาษคำตอบของพวกเขา แค่ไม่แย่เกินไปก็ไม่ถูกคัดออก ถ้าไม่เชื่อก็ไปหาคนที่อ่านออกมาอ่านสิ”

ตอนที่หลี่ฉางชิ่งเผชิญหน้ากับสมาชิกเหล่านี้ เขาไม่ได้ประจบประแจงเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเฉินจื่ออัน เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก

แน่นอนว่าพอพูดแบบนี้ คนที่โวยวายก็เงียบหลง

ส่วนคนที่อ่านออกจะให้มาดูกระดาษคำตอบก็ไม่กล้า!