ทันทีที่ปีศาจเผิงโฉบเข้ามา ชั่วเวลานั้น ปฏิกิริยาของคนทั้งห้าที่ด้านล่างล้วนแตกต่างกันไป
พลังเซียนของผู้อาวุโสเซียนเสิ่นทั้งสองพลุ่งพล่านขึ้นในขณะที่พวกเขาเสริมพลังให้กับค่ายกลและเตรียมพร้อมต่อสู้อย่างสุดกำลัง
โหย่วฉินเสวียนหย่ารีบวิ่งไปที่ด้านข้างของหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ทันทีพร้อมกับชักกระบี่ออกมา และปกป้องพวกเขาอย่างมั่นคง
ส่วนหลิงเอ๋อร์และหลี่ฉางโซ่ว…
ดูเหมือนจะมีระลอกคลื่นน้ำใต้เท้าที่ขาของพวกเขา ขณะที่ขาของพวกเขาจมลงไปในพื้นราวครึ่งชุ่น และพวกเขาก็พร้อมที่จะ…ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อหนีไปทุกเมื่อ…
แคว่กๆ-
ปีศาจเผิงยังคงอยู่บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ทันใดนั้นมันก็กรีดร้องและกางปีกออก ในขณะที่มีหนามแหลมยาวหลายสิบฉื่อจำนวนนับสิบพุ่งออกมาจากปีกของมัน แล้วมุ่งตรงไปยังค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง!
หลี่ฉางโซ่วบอกโหย่วฉินเสวียนหย่าเพื่อรักษาสถานการณ์ให้มั่นคงเอาไว้ในทันที
ในเวลานั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าถือขวดกระเบื้องในมือซ้ายของนาง ซึ่งจะตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ในขณะที่นางยกมือขวาขึ้นแล้วชี้กระบี่ออกไปข้างหน้า นางมองขึ้นไปที่ปีศาจเผิงขณะที่ปอยเส้นผมเรียบง่ายของนางพลิ้วไหวไปมาเบาๆ
นางสัมผัสได้ว่า ผู้ที่อยู่ด้านหลังปีศาจเผิงนั้นต้องเป็นผู้ดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นอีก…
แม้จะอยู่เพียงในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถี และยังไม่ได้กลายเป็นเซียน แต่ดวงตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ยังคงเด็ดเดี่ยว สู้อย่างเดียวเท่านั้น!
นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเสี่ยงดวง!
หลิงเอ๋อร์มองหลี่ฉางโซ่วด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมราวกับว่านางกำลังพูดว่า “ศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินสุดยอดมากนะเจ้าคะ”
‘หลี่ฉางโซ่ว’ ยิ้มสงบและไม่ตอบขณะที่จ้องมองไปที่เซียนเทียนบนท้องฟ้า…
คนผู้นั้นรับมือยากอย่างไม่อาจคาดเดาได้
เมื่อหนามแหลมยาวตกลงบนพื้น สองเซียนเสิ่นก็ร่วมโจมตีพร้อมกัน ในขณะที่กำแพงแสงค่ายกลเริ่มสั่นสะท้านจนเกือบจะแตกสลาย
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเพียงค่ายกลป้องกันชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อปีศาจเผิงลองใช้กำลังทดสอบจนตระหนักถึงความแข็งแกร่งของค่ายกลด้านล่างแล้ว มันก็ปล่อยเสียงหัวเราะเยือกเย็นออกมาทันที…
มันเงยหน้าขึ้นและมองไปที่นักพรตเต๋าที่อยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะก้มศีรษะแล้วพุ่งลงมาอีกครั้ง!
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงเข้าไปในหูของโหย่วฉินเสวียนหย่าทันที
“ศิษย์น้องหญิง เตรียมตัวให้พร้อม”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันตกตะลึงและจดจ่อกับการสังเกตสถานการณ์
เมื่อปีศาจเผิงพุ่งเข้ามา นางก็ตะโกนออกไปเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโส ได้โปรดถอยออกไปเถิดเจ้าค่ะ!”
สองผู้อาวุโสเซียนเสิ่นพลันดึงพลังเซียนของพวกเขากลับคืนมาพร้อมๆ กัน แล้วกำแพงแสงที่อยู่เหนือค่ายกลก็หายไปในทันที!
ในขณะนั้น เบื้องหน้าของปีศาจเผิงไร้สิ่งกีดขวางใดๆ จากนั้นพร้อมด้วยพลังปีศาจที่พุ่งสูงขึ้น มันก็พุ่งเข้าใส่สองผู้อาวุโสเซียนเสิ่นผู้ดูแลกิจการภายนอกอย่างดุร้าย และโจมตีผู้อาวุโสทั้งสองคนจนได้รับบาดเจ็บอย่างกะทันหัน!
ผู้อาวุโสทั้งสองพลันเหงื่อแตกตัวเย็นทันที…
ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่ายังคงสงบนิ่งเมื่อเผชิญกับแรงกดดันอย่างแรงกล้าของปีศาจใหญ่เซียนเสิ่น และฉับพลันนั้น นางก็สบโอกาสที่จะเปิดจุกขวดกระเบื้องที่ห่อหุ้มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของนาง…
ในสถานการณ์นี้ แม้จะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์ แต่นางกลับไม่มีอาการสั่นสะท้านใดๆ เลย
เมื่อปีศาจเผิงพุ่งเข้าหาสองผู้อาวุโสเซียนเสิ่น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ตะโกนออกไปตามคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่ว แล้วโยนขวดกระเบื้องในมือของนางออกไปทันที!
“ท่านผู้อาวุโส โปรดถอยไปก่อนเจ้าค่ะ!”
ฉับพลันนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองต่างแยกกันหลบไปทางซ้ายและขวาทันที แล้วจู่ๆ พวกเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พร้อมกันและหันไปมองในทันที…
ดวงตาทั้งสองคู่ของชายชราทั้งสองพลันเบิกกว้างจนแทบเถลือกถลนออกมา!
โอสถพิษต้องใช้พลังเซียนกระตุ้นเพื่อชักนำพิษออกมา จากนั้นพิษจึงจะทำร้ายศัตรูอย่างเงียบๆ มันไม่ใช่การโจมตีที่บดขยี้กันโดยตรง!
บัดนี้ ดวงตาของปีศาจเผิงจับจ้องไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าด้วยสายตาหมิ่นแคลน แล้วคลื่นพลังปีศาจก็พุ่งตรงเข้าหาขวดกระเบื้องแล้วส่งโอสถพิษภายในปลิวลอยออกไปในอากาศ…
ตอนนี้แหละ!
เปลวไฟระเบิดอยู่ด้านหลังขวดกระเบื้อง แล้วทันใดนั้น กระบี่บินของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ฟาดฟันลงบนขวดกระเบื้องทันที!
ขวดกระเบื้องระเบิดออกทันทีพร้อมกับยาพิษข้างในก็ระเบิดออกเช่นกัน จากนั้นพิษก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง!
และพลังปีศาจของปีศาจเผิงก็หายไปอย่างลึกลับกะทันหัน…
ผู้อาวุโสทั้งสองพลันปากอ้าตาค้างด้วยความตกใจ…
บัดนี้ ปีศาจเผิงยังคงอยู่สูงห่างจากพื้นดินมากกว่าสิบจั้ง ทว่า จู่ๆ ร่างกายของมันก็สั่นสะท้านจนล้มลงไปกับพื้น แล้วกระแทกเข้ากับขอบค่ายกลก่อนจะนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่นั่น
เอ่อ…
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
ในขณะนี้ ผู้เฒ่าทั้งสองและแม้แต่ตัวโหย่วฉินเสวียนหย่าเองต่างก็คาดไม่ถึง
ทั้งสามคนล้วนมีอารมณ์คล้ายคลึงกัน
ยาพิษที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนสกัดกลั่นนั้นช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ!
ทว่าสถานการณ์จริงคือ…
อันที่จริงโดยธรรมชาติแล้ว ไม่อาจขว้างขวดยาพิษเช่นนี้ออกไปได้ แต่เป็นหลี่ฉางโซ่วที่แอบซัดพลังออกไป
และในชั่วพริบตา พลังปีศาจที่ปีศาจเผิงแผ่พุ่งก็ถูกตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่มีตัวอักษร ‘มนุษย์’ หมายเลขสามเปลี่ยนรูปไป
โอสถพิษระเบิดและมีเพียงพิษอ่อนๆ ที่แพร่กระจายออกไปเท่านั้น
มันเป็นยาที่หลี่ฉางโซ่วแอบปล่อยออกมาเพื่อทำให้ปีศาจเผิงมึนงง
หลี่ฉางโซ่วได้จัดเตรียมสิ่งนั้นไว้เพื่อให้ทุกคนจำได้ว่า โหย่วฉินเสวียนหย่าเป็นผู้ที่ขว้างยาพิษออกไปและทุกคนก็หมดสติไปพร้อมกัน
และยาที่เขาแอบปล่อยแพร่กระจาย ออกไปนั้น ยังไม่เพียงเพียงพอที่จะกำจัด…
บัดนั้น ผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ใกล้กับปีศาจเผิงก็รู้สึกเวียนหัวทันทีก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะโอนเอนไปมาอย่างช้าๆ และค่อยๆ ล้มตัวลงนอน
ผู้อาวุโสเทียนกลั้นลมหายใจสุดท้ายด้วยพลังเซียนและมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าก่อนจะยิ้มขื่นออกมาอย่างอดไม่ได้
“เสวียนหย่า…เจ้าอย่าขว้างยาพิษเช่นนั้น…”
จากนั้นพลันเกิดเสียงกระทบกันเล็กน้อย แล้วจู่ๆ กระบี่บินของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ตกลงมาจากท้องฟ้า และก่อนที่นางจะทันได้ตอบ ดวงตาของนางก็ค่อยๆ ปิดลง ร่างกายของนางพลันอ่อนแรง ก่อนจะตกลงมาจากฟากฟ้า…
ทันใดนั้นหลิงเอ๋อร์ก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกอดร่างศิษย์พี่หญิงของนางเอาไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อหลบซ่อนทันที
แต่จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าดวงตาของนางมืดมนจนมองไม่เห็นสิ่งใดก่อนจะล้มลงกับพื้นพร้อมกับกอดโหย่วฉินเสวียนหย่า…
ศิษย์พี่ ท่านจริงๆ แล้ว…
จากนั้น หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ ในใจก่อนจะหมดสติไปอย่างไร้กังวล
และทันใดนั้น ร่างของหลี่ฉางโซ่วก็โอนเอนไปมาเช่นกัน เขาจับศีรษะของเขาและส่งเสียงคร่ำครวญสองครั้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้นข้างๆ ศิษย์น้องของเขา
แล้วทั้งปีศาจ คนทั้งสี่คน และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็กำลังโซเซไปมาอยู่บนเนินเขา
เมื่อมองแวบแรก แท้จริงแล้วไม่มีปัญหาอะไร มันเป็นเพียงว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าไม่รู้วิธีปล่อยพิษจนต้องยาพิษของนางเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเช่นนั้น นักพรตเต๋าเซียนเทียนบนท้องฟ้ายังคงเผยยิ้มเย้ยหยันเย็นชา
ความจริงแล้ว…เขาไม่ได้ร่อนลงไปโดยตรง
นักพรตเต๋าชรานำตราผนึกขนาดใหญ่และไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมา เขาหยิบยกไข่มุกขึ้นมาก่อนแล้วปล่อยให้มันลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา จากนั้นมันก็เปล่งแสงสีเขียวออกมาและเข้าห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้
หลังจากนั้น ตราผนึกก็ร่อนลงไป ณ จุดที่พวกเขาอยู่ในทันที
บัดนี้ ตราผนึกขนาดใหญ่ขยายตัวไปในสายลม และในพริบตานั้นมันก็มีขนาดกว้างหลายสิบจั้งในทันทีขณะที่สมบัติโดยรอบพลันสั่นไหว
และด้วยพลังระดับเซียนเทียน บัดนี้ ดูเหมือนว่าทั่วทั้งหุบเขาแห่งนี้กำลังจะถล่มทลายลงมาทันที!
เวลานี้ในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ริมฝีปากของหลี่ฉางโซ่วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านักพรตเต๋าเฒ่าผู้นี้อยู่ในขอบเขตเซียนเทียน และยิ่งไปกว่านั้น ทั้งห้าคนข้างล่างนี้ถูกวางยาไปหมดเขาแล้ว ทว่าเขายังไม่ยอมลงมา แต่กลับใช้อาวุธเวททำร้ายศัตรูจากระยะไกล…
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจ
ความจริงแล้ว ข้าได้พบกับใครบางคนจากสำนักเดียวกัน แค่กๆ ข้าเจอคู่ต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างไม่คาดคิดจริงๆ!
โชคดีที่ข้าได้เตรียมการก่อนหน้านี้มาเพียงพอแล้ว
ในขณะนั้น เมื่อตราผนึกขนาดใหญ่พุ่งกระแทกลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดคลื่นลมต่างๆ และกระตุ้นพลังต้นกำเนิดให้พุ่งพล่านม้วนพลังเป็นคลื่นขึ้นมา แม้มันจะทรงพลัง แต่ก็ยังสั่นสะเทือนเป็นจังหวะเล็กน้อย
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วไม่รีบร้อน เขามองดูหินสัมผัสและมองไปยังทางเข้าถ้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา
สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเข้าครอบคลุมรัศมีสามร้อยลี้เพื่อค้นหาอันตรายอื่นๆ
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่วางอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
อย่างไรก็ตาม แขนเสื้อของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นี้ซึ่งทำจากหนังสัตว์วิญญาณพลันถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ จากนั้นก็มีกบหยกสองสามตัวกระโดดออกมาและมองดูสภาพแวดล้อมไปรอบๆ ด้วยความสงสัย จากนั้นพวกมันก็รออยู่ข้างๆ อย่างเบื่อหน่าย
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าชราร่างผอมบางก็โผล่ออกมาจากหญ้าใกล้ๆ
นักพรตเต๋าชราไม่เอ่ยวาจาใดแม้สักคำ เพียงหยิบ ‘กระดานหมากรุก’ สี่เหลี่ยมออกมาแล้วโยนขึ้นไปในอากาศทันที
จากนั้นก็มี ‘ฐานค่ายกลขนาดเล็กหรือค่ายกลจิ๋ว’ เจ็ดสิบสองชิ้นที่ดูเหมือนตัวหมากรุกบินออกมาจากที่นั่น
รากฐานของค่ายเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และพลังวิญญาณก็หลั่งไหลเข้ามาก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงแสง!
แล้วตราผนึกขนาดใหญ่ก็ตกลงไปในทันที!
อย่างไรก็ตาม กำแพงแสงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย ไม่เพียงแต่มันจะสกัดกั้นตราผนึกเอาไว้ได้อย่างแน่นหนาและมั่นคงเท่านั้น แต่ยังปิดไม่ให้มันบินไปได้อีกด้วย
กระดานหมากรุกนี้ไม่ใช่จานเวทในความหมายทั่วไป และยังไม่ใช่อาวุธเวทอีกด้วย
มันเป็นขั้นตอนที่มั่นคงซึ่งหลี่ฉางโซ่วได้ทำเพื่อการย่อขนาดค่ายกล…
แค่ขั้นตอนเล็กเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการย่อขนาดค่ายกลคือ พลังวิญญาณพื้นฐานของค่ายกลไม่เพียงพอ
แม้ค่ายกลจะป้องกันการโจมตีของตราผนึกได้ แต่มันก็จางลงและสลายไปเองอย่างรวดเร็ว แล้วพลังวิญญาณของรากฐานค่ายกลก็หมดลงแล้วกลับสู่กระดานหมากรุกด้วยตัวมันเอง…
มันเป็นค่ายกลป้องกันแบบใช้ครั้งเดียวจริงๆ
โดยรวมแล้ว ผลกระทบของค่ายกลย่อส่วนนั้นยังด้อยกว่าอาวุธเวทสายป้องกันที่ทรงพลัง แต่ก็ยังพอยื้อเวลาให้มีเวลาเพียงพอได้เช่นกัน
ทันทีที่ค่ายกลถูกเปิดใช้งาน ก็มีมือขนาดใหญ่สองสามมือโผล่ออกมาจากพื้นแล้วลากผู้อาวุโสที่หมดสติทั้งสอง หลิงเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่าลงไปใต้ดินด้วยกัน
แม้แต่ผู้อาวุโสที่ดูแลกิจการภายนอกของหอไป่ฝาน ซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยกับหลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่สามารถหนีพ้นจากชะตากรรมที่ต้องถูกมือสุดหฤโหดดึงเส้นผมของเขาแล้วลากลงมาได้
มันไม่มีทางเลือก ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่มักมีเส้นผมยาวสลวย และอวัยวะส่วนนี้นั้น…มันถูกดึงกระชากลากถูได้อย่างสะดวกสบายที่สุด
และบัดนี้ มีเพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์หมายเลขสามเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่บนพื้น
ส่วนนักพรตเต๋าเฒ่าผู้นี้ที่ดูเหมือนจะช่วยชีวิตเขาคือ…
ในยามนี้ หลี่ฉางโซ่วมีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์มากกว่าสามประเภท จริงๆ แล้ว มีทั้งหมดห้าประเภท
ประเภทเหล่านั้น ได้แก่ สวรรค์ ปฐพี มนุษย์ เทพ และผี
‘เทพ’ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายของหลี่ฉางโซ่ว มันถูกใช้เป็นพิเศษสำหรับการต่อสู้ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับพลังเวท มันมาพร้อมกับร่างหลักของหลี่ฉางโซ่ว คุณภาพของมันคล้ายกับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘สวรรค์’ แต่มีไพ่ไม้ตายหลายใบ
นักพรตเต๋าเฒ่าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในทันใดนี้คือ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่ง
เขาจำลองลมปราณที่ผันผวนของเซียนเทียนระดับสูงและพลังเซียนของเขาก็พุ่งพรวดเพิ่มขึ้น และเผชิญหน้ากับนักพรตเต๋าชราเซียนเทียนที่อยู่เบื้องบนเหนือเขา
ในขณะนี้ นักพรตเต๋าชราเซียนเทียนในอากาศส่งสายตาจับจ้องมองเขา
เขาถือตราผนึกสมบัติเอาไว้ในมือและไข่มุกสีเขียวที่อยู่เหนือศีรษะของเขา และฉับพลันนั้น เขาก็โบยบินไปหานักพรตเต๋าชราพร้อมด้วยแขนเสื้อของเขาที่กระพือพลิ้วปลิวสะบัด
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่ง ถืออาวุธเวทเป็นแส้หางม้า แต่ผ้าไหมสีเงินจากแส้หางม้านั้นมีพิษเซียนเทียนป้ายเอาไว้ด้วย…
จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่งก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างในปากในขณะที่สายฟ้าสีน้ำเงินก็กำลังเดือดพล่านอยู่ในฝ่ามือซ้ายของเขา
และเมื่อสองปรมาจารย์นักพรตเต๋าชรายังคงอยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง ทันใดนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ปล่อยสมบัติแล้วร่ายคาถาใส่กันทันที!
ด้านบนเหนือเขา ตราผนึกสมบัตินั้นถูกทุบทำลาย ดวงตาของเซียนเทียนชราสาดประกายแสงเจิดจ้า และกระบี่สีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือ เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
บัดนี้ นักพรตเต๋าชราด้านล่างถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังเซียนมีการเคลื่อนไหวที่เข้าใจและจับทางได้ยาก และแสงศักดิ์สิทธิ์ในฝ่ามือก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วย ‘ศาสตร์สายฟ้าหลัวเทียนหยาง’!
ทันใดนั้นก็เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่บนท้องฟ้า สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ถูกฟาดออกมาในขณะที่สมบัติต่างๆ บินไปรอบๆ กระบี่ที่กวัดแกว่งไปมาและนักพรตเต๋าชราก็สั่นสะเทือนทันที!
ในไม่ช้า นักพรตเต๋าชราเซียนเทียนพลันค้นพบว่า แม้คู่ต่อสู้ของเขาที่ปรากฏตัวออกมาจากที่ใดไม่รู้ได้นี้ จะมีลมปราณเซียนเสิ่น แต่ดูเหมือนว่า ทั้งพลัง คุณภาพของคาถาและพลังเซียนนั้น แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ…
ในขณะนี้ เขายังไม่อาจกำจัดเซียนเสิ่นผู้นี้ได้!
ไข่มุกบนศีรษะของนักพรตเต๋าสั่นไหวเล็กน้อย และลำแสงสีเขียวก็กระจัดกระจายและหลอมละลายเข็มเงินทันที
นั่นคือ…
ในสถานที่ลับ หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้วขึ้นและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากมัน
ไข่มุกเขียวนี้…
มันคือไข่มุกขจัดพิษที่สกัดกลั่นจากไข่มุกมังกรพิษฉื้อหยาง!
ของดี…
หากอีกฝ่ายมีสมบัตินี้ ผลของการใช้พิษของเขาจะลดลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วยังคงสงบ ความสนใจของเขามุ่งไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่งและคำนวณการใช้พลังเซียนของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
แส้หางม้าที่ปัดไปมาบนมือของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นั้นเป็นเหมือนพู่กันเขียนอักขระสีทอง
ทักษะเวท เขียนพระสูตร
ในชั่วพริบตานั้น ก็มีอักขระสีทองหลายสิบตัวบินไปรอบๆ แสงสายฟ้า
นักพรตเต๋าชราเซียนเทียนสัมผัสได้ถึงพลังแรงกดดัน และเมื่อถูกโจมตีโดยตัวบรรดาอักขระเหล่านั้น ทันใดนั้น พลังเซียนของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นทันที
และหลังจากต่อสู้ไปได้ไม่นานนัก นักพรตเต๋าชราก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย…
แม้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่งจะใช้พลังเซียนไปเพียงสองในสิบส่วน แต่เขาก็จงใจเผยจุดอ่อนออกมา ในขณะที่เขาถูกผนึกสมบัติตีจนทั่วทั้งร่างกายสั่นเทา และในที่สุดร่างของเขาก็ตกลงไปในป่าเบื้องล่าง
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นักพรตเต๋ามีพลังเซียนปกป้องตัวเอง มันสามารถชดเชยข้อบกพร่องในการป้องกันตนเองได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่มันจะกินพลังเซียนมากขึ้นเท่านั้น
บนท้องฟ้าในขณะนี้ หุ่นเชิดเลือดซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนเทียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด
และนักพรตเต๋าชราที่ต้องการตีจุดอ่อนของศัตรูในตอนแรก ก็ไล่ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
แม้หลี่ฉางโซ่วอยากจะลองใช้พลังเวทของเขา กับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ กับไพ่ไม้ตายที่เขามีอยู่จำนวนมากเพื่อลองดูว่าจะต่อสู้โดยใช้พลังเวทกับผู้บำเพ็ญขอบเขตเซียนเทียนระดับกลางได้หรือไม่
แต่เขาต้องจบมันให้รวดเร็ว
ขณะนี้ ในลำต้นของต้นไม้ใหญ่สองสามต้นในป่ามี ร่างสามร่างที่เพิ่งมาถึง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ในขณะที่จานเวทค่ายกลย่อขนาดที่อยู่ในแขนเสื้อของพวกมันก็ถูกกระตุ้นขึ้นด้วยพลังเซียน…