ในความเห็นของหลี่ฉางโซ่ว…
นักพรตเต๋าเซียนเทียนผู้นี้ถูกยุงเลือดควบคุม และเป็นที่ไว้ใจพอควร
เมื่อเขาเห็นว่า ในหมู่คนทั้งห้าที่อยู่ด้านล่าง มีเพียงเซียนเสิ่นสองคนเท่านั้นซึ่งกำลังต่อสู้อยู่บนพื้นดิน นักพรตเต๋าเฒ่าจึงตัดสินใจปล่อยให้ปีศาจเผิงช่วยไปสำรวจทางก่อน…
เมื่อทั้งห้าคนและปีศาจเผิงรู้สึกมึนงงไปพร้อมๆ กัน นักพรตเต๋าเฒ่าจึงปล่อยอาวุธเวทของเขาออกมาจากระยะไกล เขาพยายามจัดการกับการโจมตีครั้งสุดท้าย โดยไม่สนใจว่าอาจจะฆ่าปีศาจเผิงสหายของเขาด้วยหรือไม่…
น่าเสียดายที่นักพรตเฒ่าผู้นี้ยังมีพลังไม่เสถียรนัก
หากนักพรตเซียนเทียนผู้นี้ยังคงอยู่ในอากาศและไม่เปิดโอกาสให้หลี่ฉางโซ่วโจมตีเขา หลี่ฉางโซ่วก็อาจถูกบีบให้ต้องเปิดเผยร่างที่แท้จริงของเขาและสังหารคนผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
แต่คนผู้นั้น…
หลังจากถูกล่อลวงอยู่สักพัก เขาก็ลงมาจากฟากฟ้าโดยไม่รู้ว่าไม่ควรเข้าไปในป่าทุกแห่ง และยังคงไล่ตามเขาต่อไป…
และความมั่นคงที่รักษามานานก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ความมั่นคงที่เขารักษามาเป็นเวลานานกลับต้องหายไปเพราะความผิดพลาดขาดความรอบคอบของเขาเอง
หุ่นเชิดยุงเลือดเซียนเทียนเพียงรู้สึกวิตกกังวล แต่ยังขาดความระมัดระวังอย่างเพียงพอ
ในป่า เวลานี้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในลำต้นของต้นไม้นั้น กำลังรอคอยอยู่เงียบๆ มาเนิ่นนาน ในขณะที่พร้อมจะบุกโจมตีได้ตลอดเวลา…
ในยามนี้ หลี่ฉางโซ่วใจเต้นแรงรัวขณะควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่ในระยะใกล้ ซึ่งบัดนี้หนึ่งในนั้นหนีไปในขณะที่อีกสามถอยร่นกลับมา
ดูเหมือนว่าเซียนเทียนเฒ่าผู้นี้จะรับรู้ถึงอันตรายในขณะที่เข้าใกล้การซุ่มโจมตี บัดนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเลใจ…
ที่ด้านหน้าเขา ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่งที่กำลังบินเรี่ยพื้นดินไปในป่า พลันกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ลมปราณของมันแตกซ่านมากขึ้นราวกับว่าทนรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้น เซียนเทียนเฒ่ารีบไล่ตามจับตัวเอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วพุ่งไปที่ขอบซุ่มโจมตี!
แต่หลี่ฉางโซ่วไม่ตื่นตระหนก ทั้งยังตัดสินใจปักหลักและรอโอกาสที่ดีที่สุด…
ไม่เพียงแต่เขาจะเฝ้ารอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่เขาจะสร้างโอกาสเหมาะนั้นขึ้นมาด้วยตัวเขาเองอีกด้วย
เมื่อเทียบกับการเฝ้ารอโอกาสอยู่เฉยๆ หลี่ฉางโซ่วชอบสร้างและควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่า
ขณะนี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่งบินไปข้างหน้าหลายสิบจั้ง แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมา พร้อมเผยสีหน้าท่าทางมุ่งมั่นขณะถือแส้หางม้า แล้วพุ่งเข้าหาเซียนเทียนเต๋าเฒ่าด้วยท่าทางพร้อมสู้ตาย
เซียนเทียนเต๋าเฒ่ายิ้มยะเยือกขณะที่ไข่มุกขจัดพิษเปล่งประกายอยู่เหนือศีรษะของเขา
เขาหยิบตราผนึกสมบัติออกมา และชูกระบี่ซึ่งเป็นสมบัติวิญญาณล้ำค่าในมือขึ้นมาแล้วสะบั้นแสงกระบี่เฉียบคมที่ยาวหลายสิบจั้งออกไป!
เพื่อที่จะยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็ว หลี่ฉางโซ่วจึงตัดสินใจยอมสูญเสียเล็กน้อย เขาจะยอมเสียสละตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เพื่อฆ่านักพรตเต๋าชราเซียนเทียนผู้นี้
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์แลกกับชีวิตกับเซียนเทียนผู้หนึ่งนั้น นับเป็นความสูญเสียอย่างแท้จริงเมื่อเทียบกับการใช้พิษ
ขณะนี้ ร่างของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘เทพ’ หมายเลขหนึ่ง ขยับท่าในแนวนอนโดยแทบไม่ได้หลบเลี่ยงแสงกระบี่เลย และไม่สนใจตราผนึกที่ลงมาจากฟากฟ้าเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าตราผนึกกำลังจะโจมตีศัตรูของเขา นักพรตเต๋าชราเซียนเทียนก็หยักยิ้มเย็นชา และทันใดนั้น ก็มีคลื่นสีเขียวแผ่พุ่งออกมารอบตัวเขา…
ซุ่มโจมตี!
นักพรตเต๋าชราตกใจเล็กน้อย แต่ไม่อาจโต้ตอบได้อีกต่อไป เมื่อถูกล้อมรอบด้วยคลื่นสีฟ้า!
ปราณวิญญาณของนักพรตเต๋าชราถูกค่ายกลกักขังในขณะที่ร่างเซียนของเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย
ค่ายกลกรงขังน้ำเขียว
ได้โอกาสแล้ว ห้ามพลาด!
มันมีพลังวิญญาณไม่มากนักในรากฐานค่ายกลจิ๋ว!
ห่างออกไปนับร้อยจั้ง จานเวทค่ายกลก็ถูกส่งออกมาจากลำต้นของต้นไม้ แล้วรากฐานของค่ายกลจิ๋วก็กระจัดกระจายออกไปทันที และในชั่วพริบตานั้น มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลแล้ว!
ทั้งสามค่ายกลทับซ้อนกัน แต่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน!
ค่ายกลสังหารขนาดเล็กเช่นนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาสั้นๆ และทุกครั้งที่ใช้งาน จะต้องมีการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันหลายร้อยครั้ง ซึ่งหลี่ฉางโซ่วเลือกใช้สองค่ายกล…
ในขณะนั้น มีแสงเย็นวูบวาบอยู่ในป่า
มีจอมกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งฟาดฟันใส่นักพรตเต๋าชรา!
บัดนี้ มีตะกอนสีดำสนิทลักษณะแปลกๆ ปรากฏขึ้นที่เท้าของนักพรตเต๋าชรา ในขณะที่อัญมณีสีเขียวเหนือศีรษะของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า!
ในเวลานี้ สีหน้าท่าทีนิ่งเฉยของนักพรตเต๋าชราเซียนเทียนเผยความวิตกกังวลออกมาให้เห็น ขณะนี้ ร่างกายของเขาท่วมท้นไปด้วยพลังเซียน ซึ่งเขาต้องการใช้มันเพื่อต้านทานการโจมตีโดยรอบ…
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงค่ายกลสังหารแรก ที่ทำให้นักพรตเต๋าชราได้รับบาดเจ็บสาหัส
ม่านพลังเซียนของนักพรตเต๋าชราและเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาซึ่งเป็นสมบัติเซียนไม่อาจทนอยู่ได้นานมากกว่าหนึ่งอึดใจ ก่อนที่พวกมันจะแหลกสลายด้วยลำแสงเย็นยะเยือกนั้น
แล้วทันใดนั้น เลือดก็สาดกระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง
หลังจากแสงอันเย็นยะเยือกดับลง ร่างของนักพรตเต๋าชราก็เต็มไปด้วยบาดแผล ลมหายใจของเขารวยรินในขณะที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส…
ทันใดนั้น อักขระเต๋าคลุมเครือก็พุ่งออกมาจากระหว่างคิ้วของนักพรตเต๋าชราและกระจายออกไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว!
แล้วจู่ๆ ดวงตาของนักพรตเต๋าชราก็กลับกลายเป็นดูเย็นชาและชั่วร้ายอย่างกะทันหัน
หลี่ฉางโซ่วจับรายละเอียดนี้ได้ และตกตะลึงในทันที
ผู้บำเพ็ญเหวิน!?!
น่าจะเป็นนาง
แต่เขาก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว…
หลี่ฉางโซ่วไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด และยังคงทำตามขั้นตอนของแผนต่อไป ในเวลานั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสามก็โผล่ออกมาจากลำต้นของต้นไม้ ในขณะที่ค่ายกลกับดักยังคงวิ่งอยู่ จากนั้น พวกมันก็รีบพุ่งไปหานักพรตเต๋าชราที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ต่อให้เป็นเซียนต้าหลัวจิน หรือเป็นคนโฉดแห่งโลกบรรพกาล แต่หากไปฆ่านักพรตเต๋าชราที่มีเจตจำนงวิญญาณของนาง ชีวิตย่อมตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ ลึกลงไปใต้ดิน
ในขณะที่ หลันหลิงเอ๋อร์หลับไป ปิ่นปักผมสีแดงบนศีรษะของหลิงเอ๋อร์สั่นไหวราวกับมีบางอย่างข้างในนั้นกำลังจะพุ่งออกมา…
ปิ่นปักผมสีแดงนี้เป็นอาวุธเวทธรรมดาที่หลี่ฉางโซ่วหลอมขึ้นเองเมื่อสองเดือนก่อน หลังจากที่มอบให้หลิงเอ๋อร์แล้ว นางก็รักมันมากจนไม่ยอมถอดมันออกแม้แต่ในยามหลับ
ในป่า ณ จุดที่มีค่ายกลทับซ้อนทั้งสาม อักขระเต๋าบนร่างของเซียนเทียนชรานั้นปรากฏชัดเจนมากขึ้นแล้วลำแสงสีเลือดเจิดจ้าก็แผ่พลังแรงกดดันมหาศาลออกมาจากร่างกายของเขา!
แต่…
แคร่ก!
ฉับพลันนั้น ก็มีฝ่ามือเปื้อนเลือดฟาดกระแทกมาจากทางด้านข้าง และเวทคำสาปเลือดบนฝ่ามือก็กวาดไปทั่วศีรษะของนักพรตเต๋าชรา และฟาดฝ่ามือลงบนไข่มุกขจัดพิษ!
เมื่อไข่มุกขจัดพิษถูกฝ่ามือฟาดและมันก็บินกระเด็นออกไป!
ด้วยปราศจากการปกป้องจากไข่มุก น้ำสีดำที่อยู่เบื้องล่างก็แผ่พลังของมันออกมา แล้วละลายเท้าและขาของนักพรตเต๋าชราในทันที…
ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเหวินจิงซึ่งนอนอยู่บนเตียงในดินแดนเทวะประจิมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
และเป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดไว้ ในเวลานี้ นางอยู่ไกลเกินไป และทำเพียงส่งเสี้ยวเจตจำนงวิญญาณออกมา…
แต่นางก็…พ่ายแพ้จริงๆ แล้วใช่หรือไม่
และก่อนที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจะถอนเจตจำนงวิญญาณของนางได้
ชั่วขณะนั้นร่างทั้งสามที่มีใบหน้าและรูปร่างต่างกันก็พุ่งไปที่ด้านข้างของนักพรตเต๋าชราและไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
พวกมันเคลื่อนไหวพร้อมๆ กัน มันยกมือขวาแล้ววางนิ้วยาวราวกระบี่ไว้ที่ข้อมือซ้ายและผลักดันฝ่ามือซ้ายออกไปข้างหน้า!
ในฝ่ามือแต่ละข้างมีลวดลายคาถาเวทเป็นอักขระคล้ายเปลวไฟและอักขระทั้งสามก็ปะทุขึ้นพร้อมกัน
เพลิงสมาธิแท้ได้ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ แล้วร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของนักพรตเต๋าชราก็ถูกเปลวไฟลุกท่วมในทันที เขาถูกเผาจนเสียรูปร่างมนุษย์ฉับพลัน!
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ครุ่นคิดทันที
ที่ด้านหน้าของนักพรตเต๋าชราเทียนเซียน ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในรูปลักษณ์ของนักพรตเต๋าวัยกลางคนก็อ้าปากและกล่าวเย็นชา
“หึ!”
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นปีศาจอะไร แต่วันนี้ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า!”
หลังจากกล่าวเช่นนี้ พลังเซียนในตุ๊กตากระดาษนักพรตเต๋าทั้งสามก็กลายเป็นเพลิงสมาธิแท้ และพุ่งเข้าหานักพรตเต๋าชรา
เนื่องจากเจตจำนงวิญญาณของผู้บำเพ็ญเหวินจิง จึงทำให้หลี่ฉางโซ่วข้ามขั้นตอนทั้งหมดได้และเพลิงสมาธิแท้ก็หลอมละลายปราณวิญญาณและร่างเซียนของนักพรตเต๋าชราเทียนเซียน ทำให้เลือดในนั้นระเหยกลายเป็นไอไปทันที
และในที่สุด อักขระเต๋าที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วหวาดกลัวก็ค่อยๆ หายไป…
หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจ จะอย่างไรเขาก็ไม่กล้าประมาท และรีบทำตามขั้นตอนต่อไปในทันที
สิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวออกไปไม่ใช่เพียงกล่าวไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้น
เมื่อเขากล่าวว่า ‘ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นปีศาจอะไร’ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเหวินจิงนั้นเป็นใคร
เขาจงใจพูดคำว่า ‘ข้า’ อีกครั้ง ซึ่งเป็นอุบายเพื่อให้เข้าใจผิด
หลี่ฉางโซ่วไม่รู้ว่าคำพูดของเขาจะมีผลหรือไม่ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วรู้สึกอับจนหนทางขณะมองดูขี้เถ้าล่องลอยไปในในป่า
เรื่องนี้…
ผ่านมานานกี่ปีแล้วนับตั้งแต่ที่ข้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มา
กลายเป็นว่าความจริงแล้ว ข้ากลับได้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเหวินจิงซึ่งเป็นสัตว์ปีศาจบรรพกาลผ่านทางหุ่นเชิดและตุ๊กตากระดาษ
โลกบรรพกาลช่างอันตรายเกินกว่าจะคาดคิดได้จริงๆ…
ลึกลงไปในพื้นดิน ปิ่นหยกสั่นส่ายไปมาเบาๆ แล้วเสียบเข้าไปในเส้นผมสีดำของหลิงเอ๋อร์อย่างแน่นหนามากยิ่งขึ้น
…
แพ้…
นางแพ้?!
ข้า ราชินีปล่อยให้เจตจำนงวิญญาณของข้าลงมาและยังถูกเผาเป็นเถ้าถ่านโดยที่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย!?!
‘ข้าหรือ’ มันเป็นผู้ใดกัน
ณ ถ้ำที่พำนักใกล้ภูเขาหลิงซานในดินแดนเทวะประจิม
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงที่นอนอยู่บนเตียงพลันลืมตาขึ้นทันที และนางดูหงุดหงิดเล็กน้อยขณะโบกมือของนาง
“ออกไปให้พ้น!”
สาวใช้สองคนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ล้วนไม่กล้าหายใจ พวกนางพลันรีบลุกขึ้นแล้วล่าถอยจากไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้น ชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางของผู้บำเพ็ญเหวินจิงพลันพลิ้วสะบัดขึ้นแล้ว ขณะที่นางนั่งขัดสมาธิทันที และมีคลื่นอารมณ์ผุดขึ้นในใจ
คนผู้นั้นเป็นใครกัน
เมื่อครู่ก่อน นางยังคงชื่นชมกับการต่อสู้ที่วุ่นวายในสำนักตู้เซียน
เมื่อผู้บำเพ็ญเหวินจิงตระหนักว่าหุ่นเชิดที่นางรวบรวมเอาไว้นั้นอ่อนแอลงมากแล้ว นางย่อมรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน
หุ่นเชิดที่น่าจะกำจัดสำนักตู้เซียนได้ จู่ๆ กลับถูกทำลายโดยไม่รู้สาเหตุกะทันหัน
อันที่จริง แผนการนี้สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายในสำนักตู้เซียนได้เท่านั้น แต่ยังไม่อาจสั่นคลอนรากฐานของสำนักได้…
แม้นางจะไม่พอใจ แต่นางก็ไม่สนใจ
เพราะมันเป็นเพียงแผนการเล็กๆ ที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก
เมื่อศึกสู้หลักกำลังจะพ่ายแพ้แล้ว ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็ไม่คิดจะดูอีกต่อไป
แต่นางยังอยากดูว่า เหล่าเซียนเทียนที่นางส่งไปเพื่อฆ่าศิษย์ทั้งหมดของสำนักตู้เซียน ได้ทำภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นหรือไม่
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเหวินจิงได้เปลี่ยนไปสนใจนักพรตเต๋าชรา
ทันทีที่นางกวาดสายตามองไป นางก็เห็นว่าเทียนเซียนชราถูกขังอยู่ในค่ายกลและถูกค่ายกลสังหารโจมตี…
ช่างน่าเศร้าจริงๆ!
ช่างเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก!
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงพลันบังเกิดโทสะขึ้นทันที แล้วจึงตัดสินใจควบคุมนักพรตเต๋าชราด้วยตัวเอง
แต่ก่อนที่นางจะทันได้สำแดงพลังออกมา นางก็พบว่า หุ่นเชิดนั้นก็ถูกสามเซียนเสิ่นเผาเป็นเถ้าถ่านในขณะที่นางเข้าไปใจในจิตใจของหุ่นเชิด…
ไม่ นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ อาจสร้างขึ้นมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่างหรือไม่
ผู้อยู่เบื้องหลังอาจเป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่ง!
แล้วต่อหน้าต่อตาของผู้บำเพ็ญเหวินจิง จู่ๆ ลวดลายเปลวเพลิงก็เริ่มปรากฏขึ้นมา
มันเป็นภาพที่นำเจตจำนงวิญญาณของนางกลับมาโดยที่ไม่อาจระงับมันได้
คนผู้นี้เป็นใครกัน
เขาจะเป็นเหมือนข้าที่สั่งงานผ่านหุ่นเชิดหรือไม่
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะปัดความคิดเหล่านั้นออกไปแล้วเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ออกมา
สำนักตู้เซียนนี้ ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ …
“หือ? นั่นเจ้าหรือ”
ทันใดนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็ขมวดคิ้ว เมื่อมีเสียงของชายคนหนึ่งซึ่งฟังดูแปลกๆ ดังขึ้นในใจของนาง
คนผู้นั้นกล่าวว่า “มีคนปิดบังความลับสวรรค์ของเจ้าจริงหรือ มิน่าเล่า ข้าไม่อาจรู้ว่าเจ้าเป็นใคร แม้ว่าจะมาได้ครึ่งทางแล้ว”
ผู้ใดกัน!
ผู้ใดกำลังพูดอยู่!
ร่างของผู้บำเพ็ญเหวินจิงพลันสั่นสะท้าน นางหยุดผนึกทันที ในขณะที่มีแสงสีเลือดเจิดจ้าเปล่งแสงสว่างวาบออกมาจากร่างของนางและหยุดเสียงนั้นทันที
แต่นางก็ไม่มีเวลาพอจะคิดออกว่าเกิดอันใดขึ้น ดวงตาของนางยังคงฉายแววงุนงงเมื่ออักขระเต๋าลึกลับยิ่งหมุนรอบกายนาง
และในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่นางไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน…
ความกลัว
เป็นความกลัวสุดๆ ที่มาจากส่วนลึกของปราณวิญญาณนาง!
ท่ามกลางความงุนงง ดูเหมือนว่าผู้บำเพ็ญเหวินจิงจะชั้นเห็นหมอก พร้อมกับม่านน้ำปรากฏขึ้นต่อหน้านางแล้วปกคลุมร่างของนางเอาไว้
นางรู้ว่านี่คือการสำแดงของปรากฏการณ์แห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ และม่านน้ำนี้ก็เป็นทักษะที่ปราชญ์เทพผู้หนึ่งใช้เพื่อปกปิดไม่ให้นางได้ล่วงรู้ความลับแห่งสวรรค์
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่อาจมองผ่านหมอกไปได้เลย
ในขณะนั้น ที่ด้านนอกม่านน้ำ มีเงาในสายหมอกที่บิดเบี้ยวโดยม่านน้ำ กำลังเดินข้ามไปอย่างช้าๆ
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงมองเห็นได้เพียงเลือนรางว่าคนผู้นั้นกำลังยกฝ่ามือซ้ายของเขาขึ้น ดูเหมือนจะมีรัศมีสีดำและสีขาวบางเบาสองดวงในฝ่ามือของเขา รัศมีทั้งสองนี้ไล่ตามกันและกันอย่างไม่รู้จบ และบรรจุหลักการที่ลึกซึ้งเอาไว้
“โอ้!”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง และอีกฝ่ายก็ยังคงเผยรอยยิ้ม
“หลังจากยืมพลังของแผนภาพไท่จี๋ แล้วข้าก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าต้องเป็นศิษย์ของปราชญ์เทพอย่างแน่นอน”
เมื่อมองผ่านม่านน้ำนั้น ร่างของนักพรตเต๋ายังคงบิดหมุนและสั่นไหวไปมา ในขณะที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงรู้สึกหนาวสั่นในใจของนาง
ในยามนี้ นางถูกอักขระเต๋ากักขังไว้ และไม่อาจออกมาจากภาพลวงตานั้นได้
จากนั้น คนผู้นั้นก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ข้าคือ เสวียนตู ศิษย์คนโตของบรรพชนไท่ชิง เทพแห่งเต๋าสวรรค์”
“สหายเต๋า เจ้าต้องการทำร้ายสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของข้าอย่างไร้เหตุผล ด้วยเจตนาร้ายและวิธีการชั่วร้าย แต่คราวนี้ เพื่อเห็นแก่หน้าของท่านจอมปราชญ์เทพที่อยู่เบื้องหลังเจ้า ข้าจะยังไม่ทำสิ่งใด”
เขากล่าวต่อว่า “แต่หากเจ้ายังกล้าทำร้ายสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอีกในอนาคต ต่อให้เป็นเพียงสำนักตู้เซียนเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญอันใด…อาจารย์ลุงที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าก็อาจไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป”
เมื่อกล่าวจบ ร่างที่อยู่นอกม่านน้ำก็หัวเราะเบาๆ แล้วค่อยๆ หายไปพร้อมกับหมอกที่อยู่โดยรอบ
สายตาของผู้บำเพ็ญเหวินจิงยังคงพร่าเลือน และในพริบตานั้น นางก็เห็นสถานการณ์ในถ้ำของนางทันที
จากนั้นนางก็มองลงไปที่มือของนางและสัมผัสได้ถึงเต๋าของนาง
แล้วสั่นสะท้านไปหมดอย่างควบคุมไม่ได้…
…
ในเวลานี้ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสำนักตู้เซียน ห่างออกไปนับหมื่นลี้ ขณะนี้ เสวียนตูกำลังหลับตาและยืนอยู่บนก้อนเมฆ พลันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราที่อยู่ข้างๆ เขารีบเอ่ยถาม