บทที่ 146 ไม่เชื่อฟังและเอาแต่ใจ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

ในขณะที่กำลังกินนั้น เหยาซูก็พลันเงยหน้าขึ้นและถามประโยคหนึ่งว่า “หลินเหรา วันข้างหน้าหากมีคนอนุมัติให้ท่านเป็นข้าราชการระดับสูง มีเงินเดือนมาก จนร่ำรวยเจริญรุ่งเรือง แต่ขอท่านเพียงเรื่องเดียวคือแยกทางกับข้า ท่านจะยอมหรือไม่?”

จิตใจของหลินเหรากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศในการพูดคุยอย่างเรียบง่ายของทั้งสองคน เมื่อได้ยินประโยคไร้เหตุผลของเหยาซู จึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “ว่าอย่างไรนะ?”

หญิงสาวโพล่งความกังวลที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แต่ในเมื่อถามออกมาแล้วจะให้นางทำอย่างไร แม้ว่าวันนี้หลินเหราจะให้คำตอบในเชิงปฏิเสธ นางจะวางใจลงได้โดยแท้จริงหรือ?

เหยาซูยิ้มแล้วกินขนมในมือต่อ ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่มีอะไร”

หลินเหราทอดขนมแป้งทอดจนหมด ส่งผลให้ปลายจมูกในเวลานี้มีเหงื่อเม็ดละเอียดผุดออกมาเนื่องจากไอร้อนจากน้ำมัน ปอยผมเปียกชื้นเล็กน้อย แม้แต่ดวงตาดำก็ดูสุกสกาว

เขาจ้องมองไปทางเหยาซูอย่างไม่วางตา และน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างน่าเหลือเชื่อก็ดังขึ้น “อาซู ข้าไม่มีวันแยกจากเจ้าและลูกเด็ดขาด”

เหยาซูไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้า

“เจ้ามักจะเป็นกังวลเสมอ” ฝ่ายชายรับจานในมือของเหยาซู และโน้มน้าวหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อย่ากังวลในเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย”

เหยาซูยื่นจานให้แก่เขาอย่างว่าง่าย สายตาเลื่อนไปตามการเคลื่อนไหวของจาน ส่วนปากก็ยังคงเคี้ยวแป้งทอดดังกรอบแกรบ

เมื่อเห็นนางกินอย่างมีความสุข ใบหน้าอันงดงามก็เผยสีหน้าคล้ายเด็กน้อยที่พบเห็นได้ยากในวันปกติ หลินเหราจึงอดหยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปากไม่ได้ “อร่อยมากขนาดนั้นเลยหรือ?”

หลังจากท่านปู่ของหลินเหราลาจากโลกนี้ไปได้สองสามปี บรรยากาศในบ้านก็เริ่มดีขึ้น ช่วงปีใหม่เขาจะได้กินขนมแป้งทอดเป็นครั้งคราว

แต่เรื่องอาหารการกิน หลินเหราไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดมาตั้งแต่เด็ก แค่ได้กินอิ่มก็พอ เขาไม่สนใจว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย

ขนมที่กรุบกรอบยามกระทบกับฟันก็พลันเกิดเสียงกรอบดังสนั่น ภายในครัวจึงมีเพียงเสียงเคี้ยวขนมดังขึ้นเท่านั้น

พฤติกรรมของทั้งสองคนเหมือนกันมาก

เมื่อเหยาซูพบเรื่องนี้จึงอดยิ้มไม่ได้ “ท่านกำลังทอดไม่ใช่หรือไร? มากินทำไมเล่า?”

“อือ…ทอดเสร็จแล้ว” ฝ่ายชายกำลังขบเคี้ยว ช่างเป็นภาพที่น่ารักยิ่งนัก “ทำมากกว่านี้ มื้อค่ำคงไม่ต้องกินข้าวกันพอดี”

ทั้งสองคนพูดคุยกันไปพลางกินไปพลาง ทำให้ขนมที่อยู่ข้างเตาถูกกินไปแล้วครึ่งจาน

“พอแล้ว ๆ” เหยาซูใช้มือปิดจานไว้พร้อมพูดห้ามว่า “เก็บไว้ให้ต้าเป่าและเอ้อเป่าบ้าง”

หลินเหราไม่ใช่คนตะกละตะกลาม แต่เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของเหยาซูจึงตั้งใจหยิบขนมอีกชิ้นใส่ปาก จากนั้นก็เคี้ยวกรอบแกรบพร้อมกับเลิกคิ้วสูง

เหยาซูมองไปทางเขาอย่างหมดคำพูด “ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ”

เสียงพึมพำของนางเบามาก แม้ว่าหลินเหราจะมีทักษะการฟังที่ดีแต่ก็ยังไม่ได้ยิน “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

เหยาซูกลับทนไม่ไหว หญิงสาวคลี่ยิ้ม แย่งจานที่อยู่ในมือของหลินเหรามาจากนั้นก็วิ่งเหยาะ ๆ ออกจากครัวไป พลางตะโกนเรียกเด็กทั้งสองคน “ต้าเป่า เอ้อเป่า! มากินขนมแป้งทอดเร็ว ไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่จะกินหมดนะ!”

อาจื้อและอาซือกำลังเล่นพันเชือกอยู่บนต้นหลิวในลานบ้าน เมื่อได้ยินเสียงของเหยาซู ก็พากันวิ่งเข้ามาในเรือนเล็ก จากนั้นก็ล้อมเหยาซูไว้ “ท่านแม่! ท่านพ่อทอดขนมแป้งทอดหรือ?”

เหยาซูกำลังจะหยิบให้พวกเขา แต่เมื่อชำเลืองเห็นมือเล็ก ๆ ที่สกปรกของเด็กทั้งสองคนก็รีบเก็บจานอีกครั้ง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้พวกเขาไปล้างมือ

“ไปล้างมือให้สะอาด! คราบสีเหลือง ๆ เขียว ๆ ในมือนั้นคืออะไร? อย่าลืมใช้ผงหวายฉู่ผสมกับน้ำด้วยล่ะ…”

เด็กทั้งสองคนตอบรับเสียงดังและส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวว่าใครไปหยิบผงหวายฉู่ได้ก่อนคนนั้นชนะ

บางทีอาจเป็นเพราะเคยชินกับเสียงแตรสัญญาณและเสียงฆ่าฟันในสนามรบ เสียงบทสนทนาในชีวิตประจำวันที่โหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ สำหรับหลินเหราแล้วมันค่อนข้างอบอุ่นและสงบยิ่งนัก

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เหยาซูทำให้เขาทั้งสิ้น

ใบหน้าของเขาไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนกับวันปกติ สายตาที่ทอดมองไปยังร่างบอบบางนั้นก็ดูอบอุ่น พลางคิดในใจว่า ‘อาซู ข้าจะแยกจากเจ้าได้อย่างไรกัน’

หัวหน้าผู้ตรวจการสั่งให้หลินเหราหยุดพัก เขาจึงตั้งใจจะพาภรรยาและลูกไปขี่ม้าในทุ่งหญ้าทางทิศตะวันตกของเมือง

เมื่ออาจื้อได้ยินดังนั้น ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย ใบหน้าแต้มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังออดอ้อนเหยาซูไม่รามือ “ท่านแม่ ท่านแม่ ไปเถอะขอรับ! เราไปกันเถอะ ม้าสีน้ำตาลแดงของท่านพ่อเชื่องมากเชียวนะ ไม่มีทางเป็นอันตรายแน่นอน!”

เหยาซูกลับไม่ยอมลูกเดียว “ไม่เห็นหรือว่าไหล่ของพ่อเจ้าบาดเจ็บอยู่? รอให้พ่อเจ้าหายก่อนแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ?”

“แต่ท่านพ่อดีขึ้นแล้ว….”

แต่เด็กชายยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพูดคะยั้นคะยอ “ข้าและน้องสาวแค่นั่งบนหลังม้า ไม่วิ่ง และไม่ใช้แขนที่ได้รับบาดเจ็บของพ่อแน่นอน ไม่ได้หรือขอรับ?”

เหยาซูส่ายหน้าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่คล้อยตามคำออดอ้อนของอาจื้อแต่อย่างใด “พูดได้ดี คิดว่าแม่ไม่รู้จักพวกเจ้าหรือ? พอได้เล่นก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่เอาล่ะ”

ความจริงแล้วอาซือไม่ได้สนใจเรื่องการขี่ม้าสักเท่าไร แต่เมื่อเห็นท่าทางที่อยากไปมากของพี่ชาย จึงช่วยพูดให้อาจื้อว่า “ท่านแม่ ข้าและท่านพี่จะเชื่อฟังอย่างดีเจ้าค่ะ”

เด็กทั้งสองนั่งอยู่ตรงหน้าของเหยาซู ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ ต่างมองไปยังเหยาซูด้วยสายตาวิงวอน

หญิงสาวใจอ่อนนานแล้ว

จากนั้นก็แกะผ้าพันแผลที่พันให้เขาเมื่อคืนออก แม้ว่าตรงบาดแผลจะไม่มีเลือดไหลแล้ว แต่มันก็ยังดูน่ากลัวและโหดร้าย เหยาซูมองดูด้วยความอึดอัดอยู่ในใจ

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าบาดแผลนั้นได้มาจากการช่วยตัวปัญหาผู้หนึ่ง หญิงสาวจึงอดพูดกับหลินเหราอย่างประชดประชันไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อนุญาตให้เด็ก ๆ ไปเล่น แค่รอให้บาดแผลบนไหล่ของท่านหายดีก่อน ต่อให้พวกท่านจะปีนต้นไม้ลงแม่น้ำ ขี่ม้าหรือล่ากระต่าย ข้าก็ไม่สน แต่ถ้าบอกว่าไม่อนุญาต ก็คือไม่อนุญาต! ดูซิว่าวันข้างหน้าท่านจะยังกล้าบาดเจ็บอีกหรือไม่?”

หลินเหรารู้สึกจนปัญญา

เดิมทีเขาแค่อยากพาเด็ก ๆ ไปเล่น เมื่อเห็นเหยาซูไม่ยอมหัวชนฝาจึงทำได้แค่คล้อยตามนาง

เขามองไปทางลูกชายพลางส่ายหน้า

อาจื้ออยากขี่ม้ามานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสมาโดยตลอด

ในตอนที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยานั้น เหยาต้าหลางและเหยาเอ้อหลางเคยโม้เรื่องที่พวกเขาได้ไปขี่ม้าอยู่หน้าหมู่บ้านหลายครั้งให้เขาฟังอยู่เสมอ เมื่ออาจื้อได้ยินจึงอิจฉาเป็นอย่างมาก

ไม่ง่ายเลยที่หลินเหราจะมีเวลาว่างพาเขาไปขี่ม้า ประกอบกับต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างดี ขืนรอจนถึงฤดูร้อน เหยาซูจะต้องหาเหตุผลมาค้านไม่ให้เขาไปอีกอยู่ดี

ครั้นถึงฤดูใบไม้ร่วง… ครั้นถึงฤดูใบไม้ร่วงหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาเล่า? ฤดูหนาวยิ่งเป็นไปไม่ได้! งั้นเขาก็คงได้แต่มองม้าที่สูงใหญ่ของท่านพ่อ แต่กลับไม่มีวันได้ขี่มันอย่างนั้นหรือ?

เมื่อนึกถึงตรงนี้ อาจื้อก็อดเสียใจไม่ได้ จากนั้นน้ำตาก็ไหลรินออกมาจากดวงตา

ความรักที่เหยาซูมีต่อลูกทั้งสามคนไม่เคยลดน้อยลงเลย แต่หญิงสาวมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ไม่ยอมคล้อยตามการร้องขอโดยไร้เหตุผลของลูก

เมื่อเห็นอาจื้อที่ไม่ค่อยร้องไห้โดยง่ายเริ่มมีน้ำตา นางจึงมีสีหน้าอ่อนโยนลงและถามเขาอย่างอบอุ่นว่า “เพราะไม่ได้ไปขี่ม้าเลยร้องไห้หรือ?”

เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตา แต่ยิ่งเช็ดกลับยิ่งไหลรินมากกว่าเดิม

เหยาซูได้แต่ทอดถอนใจและพูดกับอาจื้อว่า “ต้าเป่า มาหาแม่ตรงนี้”

เด็กชายก้าวขาไปหยุดลงข้างกายของเหยาซู ก่อนจะถูกหญิงสาวโอบกอดเข้ามาในอ้อมแขน ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มเช็ดน้ำตา กระทั่งได้ยินเหยาซูถามขึ้นว่า “ปกติเวลาที่บอกว่าจะไม่พาเจ้าไปขี่ม้า ก็ไม่เคยเห็นว่าเจ้าอยากไปมากเพียงนั้น ทำไมวันนี้พอบอกว่าไม่อนุญาตให้ไป กลับร้องไห้เสียได้เล่า?”

แม้ว่าอาจื้อจะยังร้องไห้ แต่กลับพยักหน้า

อารมณ์ของเด็กตัวน้อยบทจะมาก็มาทันใด ต่อให้อาจื้อโตแค่ไหน บัดนี้ก็ยังเป็นเด็กชายตัวน้อยที่ต้องได้รับการปกป้องจากพ่อแม่อยู่ดี เพราะไม่ได้สิ่งที่ต้องการจึงร้องไห้ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เหยาซูกลับหวังให้เขาที่แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ผิดหวัง แต่ก็ยังคงรับฟังเหตุผลได้

นางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าดูสิ เห็น ๆ อยู่ว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยเอ่ยถึง เจ้าก็ไม่เคยร้องไห้เพราะไม่ได้ขี่ม้า สิ่งนั้นบ่งบอกว่า ความจริงแล้วในใจของเจ้าไม่ได้ปรารถนากับเรื่องขี่ม้ามากมายเพียงนั้น”

อาจื้อค่อย ๆ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง แม้ว่าจะไม่มีน้ำตาไหลพรากออกมา แต่ดวงตาคู่นั้นก็ยังรื้นด้วยหยาดน้ำตาก่อนจะพูดอย่างไม่เป็นธรรมว่า “แต่ท่านแม่ ข้าอยากไปขี่ม้ามากจริง ๆ นะขอรับ”

ในตอนนี้เองที่อาจื้อเหมือนกับเด็กน้อยวัยแปดเก้าขวบโดยแท้จริง

เหยาซูยิ้มพลางพูดว่า “แม่รู้ว่าเจ้าอยากขี่ม้า แม่ไม่ได้ห้ามลูกไม่ให้ไป ใช่หรือไม่? เพียงแต่วันนี้นั้นไม่ได้….”

เมื่อเอ่ยเรื่องที่เสียใจ อารมณ์ของอาจื้อก็กลับมาอีกครั้ง น้ำตาเจ้ากรรมพากันไหลรินออกมา “แต่อาการบาดเจ็บของท่านพ่อก็ไม่เป็นไรแล้วนี่ขอรับ ข้าไม่ให้ท่านพ่อใช้แขนที่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน!”

หลินเหราที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว

เขามีนิสัยเข้มแข็งและอดทนมาตั้งแต่เด็ก แต่เท่าที่จำได้ไม่เคยร้องไห้

หากเป็นผู้อื่น หลินเหราไม่เก็บมาใส่ใจแน่นอน แต่นี่ลูกชายของตัวเองร้องไห้คร่ำครวญเพราะเรื่องเล็กแค่นี้ สำหรับเขาแล้วรับไม่ได้อย่างมาก

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว” หลินเหราออกคำสั่งเสียงเข็ง “ขืนร้องไห้อีก วันข้างหน้าข้าจะไม่พาเจ้าไปขี่ม้า”

ประโยคนี้ได้ผลกว่าการปลอบใจนับร้อยของเหยาซูเสียอีก น้ำตาของอาจื้อก็พลันหยุดไหลทันใด

หญิงสาวถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและพูดกับหลินเหราว่า “ท่านอย่าขู่ลูกสิ”

คิ้วของหลิวเหราขมวดเข้าหากันแน่นชนิดที่ว่าหนีบฆ่าแมลงวันได้

น้อยนักที่เขาจะแสดงความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ต่อเรื่องใด แต่กับเรื่องที่ลูกชายคนโตร้องไห้ หลินเหรากลับไม่อ่อนข้อให้แม้แต่ก้าวเดียว

เขาตอบกลับเหยาซู แต่กลับพูดให้อาจื้อได้ยิน “ไปขี่ม้าไม่ได้มันเป็นเรื่องใหญ่เพียงนั้นเชียวหรือ? คุ้มค่ากับน้ำตาลูกผู้ชายหรือ? ไม่มีความเป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย!”

เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อขุ่นเคือง อาจื้อทำได้แค่กัดริมฝีปากล่างโดยไม่พูดสิ่งใด จากนั้นก็เช็ดคราบน้ำตาที่ใบหน้า

เหยาซูเองก็รู้สึกไม่พอใจจึงพูดกับหลินเหราว่า “มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันสิ? ทำไมจะต้องอบรมลูกแบบนี้ด้วย? ต้าเป่าทำดีมากแล้ว เขายังเป็นเด็ก…”

หลินเหราเชื่อฟังเหยาซูมาโดยตลอด แต่เรื่องการอบรมสั่งสอนหลินจื้อ ทั้งสองคนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันได้มาแต่ไหนแต่ไร

ชายหนุ่มมองไปยังอาจื้อ และพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “เขาไม่ใช่เด็กแล้ว มีแค่เด็กทารกที่ไม่รู้ความเท่านั้น ถึงจะไม่เชื่อฟังและเอาแต่ใจแบบนี้”

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

น่าสงสารอาจื้อ แต่ท่านพ่อบาดเจ็บอยู่ รอให้ท่านพ่อแผลหายสนิทดีแล้วค่อยไปขี่ม้านะลูก

หักแต้มนางคุณหนู 1000 คะแนน โทษฐานทำให้พี่เหราต้องบาดเจ็บจนไม่ได้พาอาจื้อขี่ม้า

ไหหม่า(海馬)