การตำหนิตักเตือนของบิดายามนี้ทำให้หัวใจของอาจื้อแทบแตกสลาย
เขาเข้าใจความเจ็บปวดจากการไม่มีพ่อดี รู้ว่าเหตุใดเด็กที่ไม่มีพ่อถึงถูกผู้อื่นรังแกได้โดยง่าย
ในตอนที่หลินเหราปรากฏตัวตรงหน้าของตนเองเหมือนวีรบุรุษนั้น อาจื้อสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง ว่าเงาของผู้เป็นพ่อนั้นสูงใหญ่และแข็งแกร่งมาก
เด็กชายหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากหลินเหรา หวังจะได้รับความมั่นใจจากผู้เป็นพ่อ บางทีคนที่เด็กผู้ชายทุกคนอยากเจริญรอยตามมากที่สุดในวัยเด็กก็คือบิดา
อาจื้อมองเข้าไปในดวงตาของหลินเหรา เขาพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่กล้าให้มันไหลออกมา ก่อนจะพูดแก้ตัวให้ตัวเองด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ไม่เชื่อฟัง ไม่ได้เอาแต่ใจตัวเอง…”
หลินเหรากลับมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “กลั้นน้ำตาไว้”
เหยาซูรู้ว่าน้ำตาของอาจื้อในเวลานี้คือความเสียใจจริง ๆ เพราะมันแตกต่างจากเสียงสะอื้นที่ไม่ได้ออกไปเล่นเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
แต่นางก็เคยพูดเอาไว้ว่า ตนเองเคารพการอบรมสั่งสอนลูกของหลินเหราเสมอ และจะไม่ก้าวก่ายสิทธิ์ของความเป็นพ่อ
หญิงสาวหยิบผ้าขึ้นมาซับไปตามใบหน้าให้อาจื้อ “เช็ดน้ำตาซะ แล้วคิดตามที่พ่อเจ้าพูด”
การมีอยู่ของเหยาซูทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองพ่อลูกไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดนัก แม้แต่สีหน้าของหลินเหราก็ยังค่อย ๆ อ่อนโยนลง
อาซือนั่งมองอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกายโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ มาโดยตลอด เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเหราดีขึ้นไม่น้อย จึงเอ่ยถามอย่างขลาดกลัวว่า “ท่านพ่อโกรธท่านพี่งั้นหรือเจ้าคะ?”
อาจื้อคิดว่าคำตอบของพ่อจะต้องใช่อย่างแน่นอน แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินหลินเหราพูดกับอาซือว่า “ไม่ได้โกรธ พี่ชายของเจ้าประพฤติตัวดีและรู้ความมาก”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเล็กน้อย เผยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา “ท่านพ่อ…”
หลินเหรามองไปยังดวงตาที่แดงก่ำที่เกิดจากการร้องไห้ของลูกชาย แม้ว่าสีหน้าจะไม่ได้ดูอ่อนโยนลงมากนัก แต่ก็ดีกว่าสีหน้าที่น่าหวาดกลัวเมื่อครู่มากทีเดียว “ที่ข้าต้องตำหนิเจ้าก็เพราะมีส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข หากวันหน้าข้าไม่ตำหนิเจ้าแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าไม่มีส่วนที่ต้องจับผิดอีกแล้ว”
ลมหายใจของอาจื้อเริ่มถี่ขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ความเสียใจและความไม่สบายใจเมื่อครู่ถูกสลัดทิ้งออกจากสมอง เขาก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับมองไปยังหลินเหราด้วยแววตาระยิบระยับ “ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”
เหยาซูคาดไม่ถึงกับปฏิกิริยาตอบสนองของสองพ่อลูก หญิงสาวคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าหลินเหราที่แสดงสีหน้าเย็นชาในขณะที่อบรมสั่งสอนลูกชายมาตลอด จะมีช่วงเวลาที่เอ่ยชื่นชมลูกได้
หญิงสาวมองไปยังโครงหน้าที่คล้ายคลึงกันของสองพ่อลูก พลางทอดถอนใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พวกท่านสองคนนี่นะ…”
อาจื้อหันมาเผชิญหน้ากับเหยาซู และพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ท่านแม่ ต่อไปข้าจะไม่ร้องไห้แล้วขอรับ”
เหยาซูรู้สึกจนปัญญา แต่ยังเอื้อมมือลูบศีรษะของอาจื้อแผ่วเบาและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ลูกผู้ชายต้องไม่เสียน้ำตาง่าย ๆ แต่ต้าเป่าตรงหน้าของแม่คนนี้ยังเป็นเด็กน้อย อยากร้องก็ร้องไห้ออกมาเถิด”
เหยาซูกล่าวพลางเงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปยังหลินเหราแวบหนึ่งก่อนจะพูดหยอกล้อกับลูกชายว่า “แค่อย่าให้น้ำตาร่วงหล่นต่อหน้าพ่อเจ้าก็พอ พ่อของเจ้าอาจจะยอมเสียเลือด เสียหยาดเหงื่อ หากแต่ไม่ยอมเสียน้ำตาอยู่แล้ว…”
หลินเหราพินิจพิเคราะห์กับประโยคสุดท้ายของเหยาซู กระทั่งรู้สึกว่านางกำลังชื่นชมตนจึงรีบพยักหน้ายอมรับทันที
เมื่ออาซือเห็นพี่ชายไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนกับเด็กน้อยเมื่อครู่แล้ว ในใจก็ก่อเกิดความรู้สึกรักที่มีต่อพี่ชายมากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับมือของอาจื้อไว้
เด็กน้อยใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างต่ำเป็นพิเศษ เอ่ยปลอบใจเขา “ท่านพี่ หากท่านพี่อยากขี่ม้า เราไปหาท่านลุงรองก็ได้”
อาซือคิดว่าน้ำเสียงของตัวเองมีแค่อาจื้อเท่านั้นที่ได้ยิน คิดไม่ถึงว่าเหยาซูและหลินเหราเองจะได้ยินกันทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยาซู หญิงสาวรู้สึกว่าลูกทั้งสองของตัวเองน่ารักทะลุขึ้นฟ้าเลยทีเดียว หัวใจของนางยิ่งรู้สึกรักพวกเขามากขึ้น
เหยาซูยิ้มและถอนหายใจเบา ๆ ออกมาในที่สุด “เอาล่ะ หากอยากขี่ม้าขนาดนั้น พ่อและแม่จะไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า… แต่คุยกันก่อนนะ ถึงตอนนั้นแค่นั่งอยู่บนหลังม้าเท่านั้น ให้พ่อเจ้าจูงเดิน ไม่อนุญาตให้วิ่งเด็ดขาด!”
หญิงสาวไม่ได้ไม่อยากให้เด็ก ๆ ออกไปเที่ยวเล่น เพียงแต่เป็นกังวลเรื่องบาดแผลของหลินเหราเท่านั้น
หากรับประกันว่าบาดแผลบนไหล่ของเขาจะไม่เป็นอุปสรรค การที่ครอบครัวหนึ่งจะออกไปเล่น มันเป็นเรื่องยากมากเพียงนั้นเลยหรือ?
เดิมทีเด็กทั้งสองคนไม่ได้คาดหวังกับเรื่องขี่ม้าในวันนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเหยาซูจะเปลี่ยนคำพูดเสียอย่างนั้น
อาจื้อและอาซือตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ ทั้งสองคนล้วนเหมือนกับลูกไก่ที่จิกรำข้าว พยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ไม่วิ่ง ไม่วิ่งแน่นอนขอรับ/เจ้าค่ะ!”
ทั้งสองคนดีใจจับมือกันจนเกือบพากันกระโดดโลดเต้น ตื่นเต้นดีใจราวกับอยู่ในช่วงปีใหม่ พากันมาออดอ้อนอยู่ข้างกายของเหยาซูซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง “ท่านแม่ใจดีที่สุด!”
เหยาซูปวดหัวกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของทั้งสองคน แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุขอย่างบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับพวกเด็ก ๆ
หญิงสาวกอดลูกทั้งสองคนไว้ ห้ามไม่ให้พวกเขากระโดดโลดเต้นอีก “เอาล่ะ เอาล่ะ เก็บของกันเถอะ ข้าจะไปดูว่าซานเป่าตื่นแล้วหรือไม่ อีกเดี๋ยวเราจะออกเดินทาง”
หลินเหรากระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ นัยน์ตาที่ดูเย็นชานั้นฉายแววตาอันอบอุ่นออกมา
อาจื้อดีใจเป็นที่สุด เขาลืมท่าทางร้องไห้ขี้มูกโป่งเมื่อครู่ไปแล้ว ตอนนี้คิดแต่เรื่องที่จะได้ไปขี่ม้า “ข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ! แล้วก็เอ้อเป่าเจ้าต้องแต่งตัวให้หนาขึ้นด้วย อีกเดี๋ยวจะได้ไม่กลัวล้ม…”
ในขณะที่กำลังพูด หูกลับได้ยินเสียงสตรีสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากนอกลานบ้าน ดูท่าน่าจะมีอายุไม่มากนัก “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพหลินอยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูหยุดชะงักกระทั่งได้สติว่า ‘ท่านแม่ทัพหลิน’ ที่เอ่ยนั้นหมายถึงหลินเหรา จึงมองไปทางเขา ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
หลินเหรารู้สึกอ่อนไหวต่อเสียงที่ตัวเองได้ยินเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวก็ฟังออกว่านี่เป็นเสียงของอาซู่สาวใช้ตัวน้อยข้างกายของตู้เหิง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นก็รีบอธิบายให้เหยาซูฟังเสียงต่ำ “เป็นสาวใช้ของคุณหนูตระกูลขุนนางผู้นั้น”
เมื่อวานหลังจากที่หลินเหรากลับบ้าน ในช่วงค่ำเขาก็ได้เล่าเรื่องที่เขาเจอในหน่วยลาดตระเวนทั้งหมดให้เหยาซูฟังอย่างละเอียด
เหยาซูที่ได้ยินจากปากของเขา และเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจคุณหนูตู้ผู้นั้น จึงได้วางใจลง
แต่เรื่องที่นางคาดไม่ถึงก็คือ ดูเหมือนว่าตู้เหิงผู้นี้จะไม่ยอมรามือ อีกทั้งยังตามมาถึงบ้าน
เหยาซูเลิกคิ้วสูงพร้อมกับมองไปทางหลินเหราทั้งที่รู้อยู่เต็มอก “นางมาทำไม?”
ชายหนุ่มมักจะเมินเฉยต่อคนแปลกหน้าเสมอ พูดได้ว่าน้อยนักที่จะเก็บคนที่ไม่สำคัญมาใส่ใจ ความรู้สึกที่เขามีต่อตู้เหิงคือแบบนี้
แต่การที่คุณหนูตู้ผู้นี้ปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หลินเหราเองก็เบื่อหน่ายเช่นกัน
“ข้าไม่รู้ว่านางมาทำไม” หลินเหราขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มหมดความอดทน “มีอะไรก็ค่อยพูดกันพรุ่งนี้ไม่ได้หรือไร?”
เมื่อเห็นหลินเหรารู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่าตัวเอง เหยาซูก็พลันหายหงุดหงิด กระทั่งยังมีความคิดอยากดูความสนุกนี้ด้วย จึงพยักพเยิดไปทางหลินเหรา “ตัวเองหาเรื่องเอง ก็ต้องไปจัดการเอง”
หากแต่ชายหนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เด็กทั้งสองคนที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเมื่อครู่พลันสงบอาการลง พลางเบิกตากว้างมองบิดามารดา ราวกับกำลังจะถามว่า ‘เช่นนั้นแสดงว่าเราจะไม่ได้ไปขี่ม้าแล้วใช่หรือไม่?’
หลินเหรามองไปทางอาจื้อและอาซือก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวรอให้พ่อส่งพวกเขากลับไปก่อน แล้วเราค่อยไปกัน….”
ยังไม่ทันพูดจบเสียงที่ดังมาจากลานบ้านก็ตัดบทสนทนาฉับพลัน “ท่านแม่ทัพหลิน ท่านแม่ทัพหลิน! คุณหนูของเรามาเยี่ยมเยียน ได้โปรดท่านแม่ทัพหลินออกมาพบเราด้วยเจ้าค่ะ!”
หลินเหรายืนขึ้นอย่างหมดความอดทน จากนั้นก็พูดกับภรรยาและลูกว่า “ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
พูดจบก็สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ก้าวเท้าออกไปทันที
ในใจของเหยาซูสนใจนางเอกนิยายต้นฉบับผู้นี้เป็นอย่างมาก จึงตามออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว เพราะอยากพบเจอคุณหนูตู้ ‘ผู้มีจิตใจงดงาม’ ผู้นี้สักหน่อย
แต่ด้วยลางสังหรณ์ของสตรี หญิงสาวรู้สึกว่าการที่ตู้เหิงมาถึงบ้านกะทันหันน่าจะเพราะรู้ว่า ‘ภรรยาผู้ล่วงลับ’ ที่เดิมทีน่าจะต้องตายไปนานแล้วของหลินเหราผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะมาเห็นด้วยตาตัวเอง
เวลานี้หญิงสาวนั่งอยู่บนแท่นตกปลาอย่างมั่นคง รอให้ตู้เหิงผู้นั้นเดินเข้ามา
ตู้เหิงที่อยู่ด้านนอกลานบ้านรู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของตนเองมุทะลุเกินไป แต่เมื่อวานหลังจากที่หลินเหรากลับไป หญิงสาวก็ได้แต่กินน้ำตาต่างข้าวโดยแท้จริง ตกกลางคืนก็นอนพลิกไปพลิกมาไม่อาจข่มตาหลับลงได้
ภรรยาของหลินเหรา เหตุใดยังมีชีวิตอยู่? แล้วนางจะตายเมื่อใด?
ตู้เหิงเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจต่อความทรงจำในอดีตชาติที่ปรากฏอยู่ในสมองของตัวเอง กระทั่งสงสัยว่าตัวเองอาจจะฝันไร้สาระไปเอง
แต่หากเป็นความฝัน แล้วเหตุใดหลินเหราในความจริงถึงเหมือนกับในความฝันมากถึงเพียงนั้น?
เช้าตรู่วันนี้ ตู้เหิงจึงร้อนใจออกจากบ้าน นางมุ่งหน้ามาบ้านของหลินเหรา เพราะอยากเห็นว่าสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของหลินเหราผู้นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านไหนกันแน่
เคยได้ยินว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยกลมเกลียวกันเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวคนนั้นก็เกิดในชนบท คิดว่าน่าจะเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ดูหยาบคายและอัปลักษณ์มากแน่นอน
ไฉนเลยจะเหมาะสมกับหลินเหราแม่ทัพใหญ่ผู้มีสิทธิ์ปกครองราชสำนักและประชากรในภายภาคหน้า?
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เด็ก ๆ น่ารักเชื่อฟังดีกันจังค่ะ ทะลุมิติมาไม่สูญเปล่าแล้วอาซู
รู้สึกคันมืออยากจุดไฟเผาต้นมะม่วงแรดค่ะ ตามมาถึงบ้านเขาแล้วยังแช่งให้เมียเขาตายอีก
ไหหม่า(海馬)