ตู้เหิงหอบเอาความคิดหยามเกียรติที่มีต่อเหยาซูมาจนถึงนอกลานเรือนเล็ก ทั้งยังให้สาวใช้ตะโกนเรียกอยู่หน้าประตู
แต่เมื่อหลินเหราปรากฏตัวหน้าประตู ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเย็นชาและเมินเฉยก็ทำให้นางรู้สึกเสียใจขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพหลิน…” ตู้เหิงย่อกายลง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู “มาเยี่ยมเยียนถึงบ้านท่านตั้งแต่เช้าตรู่ครานี้ ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ เพียงแต่ข้ามีธุระต้องมาเอ่ยถามด้วยตนเอง”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แยกไม่ออกว่าโกรธหรือดีใจ “ท่านมีธุระอันใด?”
ตู้เหิงแต่งกายด้วยชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางสีเขียวอ่อน ลักษณะท่าทางที่ยืนอยู่ใต้ต้นหลิวนั้นช่างงดงามยิ่งนัก ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายความเป็นเทพธิดาอยู่มากทีเดียว แต่เมื่อสายลมยามเช้าตรู่พัดผ่าน ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาว
ใบหน้าของนางยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลินจะไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งด้านในหน่อยหรือ เราจะได้ค่อย ๆ คุยกัน”
หลินเหรายังคงไม่แสดงสีหน้าใด ทั้งยังปฏิเสธความประสงค์ที่จะเข้าไปด้านในบ้านของตู้เหิงด้วย “ข้าขอกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม ข้าและภรรยายังมีเรื่องต้องทำ คุณหนูตู้มีธุระอะไรสู้พูดมาโดยตรงดีกว่า”
อาซู่ที่อยู่ข้างกายตู่เหิงเคยชินกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในเมืองที่ชอบเข้ามาเกี้ยวพาราสีประจบเอาใจคุณหนูของตน แต่ทันทีที่เห็นหลินเหราผู้มีท่าทางไม่น่าเคารพเช่นนี้จึงเกิดอาการขุ่นเคืองไม่น้อย
ดรุณีน้อยพูดกับหลินเหราอย่างไม่เกรงใจ “ท่านแม่ทัพหลิน! แม้แต่หัวหน้าผู้ตรวจการต่างก็ให้ความเกรงอกเกรงใจคุณหนูของเรา บัดนี้คุณหนูมีธุระสำคัญจึงมาเยี่ยมถึงที่ เหตุใดท่านแม่ทัพหลินถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้เล่า?!”
หลินเหราเองก็ไม่พอใจเช่นกัน ทำได้แค่พูดเสียงราบเรียบว่า “คนชนบทบ้านนอกไม่รู้จักหรอกว่าสิ่งใดคือมารยาท”
หลินเหราจ้องเขม็งไปทางหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชาครั้งแล้วครั้งเล่า ตู้เหิงเป็นถึงบุตรสาวตระกูลที่มีชื่อ ได้รับการโปรดปรานและเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ความมุ่งมั่นปรารถนาย่อมสูงเป็นธรรมดา ไม่มีทางแสดงความอ่อนแอซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าหลินเหราเป็นแน่
ตู้เหิงเป็นสตรีประเภทที่ว่าหากทำไม่สำเร็จจะไม่ยอมรามือโดยเด็ดขาด
วันนี้ในเมื่อนางเดินทางมาถึงที่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะต้องเข้าไปข้างในให้ได้
สีหน้าของหญิงสาวดูสงบลง จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า “ข้าไม่ใช่คนที่จู้จี้มากความแต่อย่างใด ความจริงแล้วเพราะมีความลับที่ยากจะเอ่ยในใจ และไม่สะดวกพูดในจวนผู้ตรวจการ จึงได้มาถึงบ้านของท่านแม่ทัพ ปัญหาใหญ่เพียงนี้ข้าน้อยเองก็ยากจะมั่นใจ จึงปรารถนาให้ท่านแม่ทัพรับฟัง”
พูดถึงขนาดนี้แล้วหากหลินเหราปฏิเสธอีกก็คงจะดูไร้หัวใจเกินไปแล้ว
ครั้นนึกถึงคำกำชับนับไม่ถ้วนของหัวหน้าผู้ตรวจการว่าให้เจิ้งอันดูแลบุตรสาวของตระกูลตู้ให้ดีในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลินเหราจึงไม่อยากให้เจิ้งอันและจวนผู้ตรวจการต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง
เขาพยักหน้าและตอบรับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญท่านทั้งสองเถิด”
อาซู่ไม่สบอารมณ์เพราะท่าทีเฉยเมยดูไม่เต็มใจของหลินเหรา ราวกับว่าพวกนางมาขอเข้าบ้านของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น!
นางอายุยังน้อยนัก ความคิดจึงไร้เดียงสาและสามารถคาดเดาได้ง่าย คนภายนอกมองเพียงปราดเดียวก็เห็นถึงความไม่พอใจและความโกรธเคืองที่แสดงออกมาทางสีหน้าของนางแล้ว
ทว่าตู้เหิงไม่ได้ตำหนิการแสดงออกของนาง
นางพาอาซู่เดินตามหลังของหลินเหราเข้ามา สาวเท้าเข้าไปในลานเล็ก
ในตอนที่เดินทางมาเมื่อครู่นั้น ตู้เหิงที่เดิมทีคิดว่าเมืองชิงถงขนาดเล็กแห่งนี้ ไม่น่าจะมีที่พักดี ๆ
แต่เมื่อเข้ามาในลานบ้าน หญิงสาวก็ต้องยอมรับว่าบ้านที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเมืองอันแสนวุ่นวายแห่งนี้ คือสถานที่ที่หาได้ยากยิ่ง
ต้นหลิวด้านหน้าเพิ่งจะแตกหน่อผลิใบ บนกิ่งก้านสีเขียวอ่อนล้วนถูกแขวนด้วยเส้นด้ายหลากสีสัน ดูสงบและน่าสนใจมาก
ตู้เหิงเดินขึ้นหน้าสองก้าว และเอ่ยถามอย่างฉับพลันว่า “ท่านแม่ทัพไม่รู้สึกบ้างหรือว่าข้าวของในลานบ้านค่อนข้างระเกะระกะ น่าจะเก็บให้เรียบร้อยกว่านี้?”
หญิงสาวอยู่เคียงข้างหลินเหราในฐานะดวงวิญญาณมานานหลายปี ย่อมรู้ว่าบุรุษเย็นชาผู้นี้ไม่ชอบความระเกะระกะเป็นที่สุด
ชายหนุ่มเป็นคนประเภทที่ว่าต้องจัดระเบียบภายในบ้าน ต้องไม่วางข้าวของสะเปะสะปะ และต้องไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น
สถานะของหลินเหราในตอนนั้นดูสูงศักดิ์ มีอำนาจทรงพลัง ทุกอย่างในบ้านต้องถูกวางเป็นลำดับและเป็นระเบียบ
ในห้องนอนของเขามีเพียงแค่เตียงหนึ่งเตียง ฟูกรองนอนหนึ่งแผ่น โต๊ะหนึ่งตัวและชุดน้ำชาหนึ่งชุดเท่านั้น
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ หลินเหราจึงหันกลับไปมองตู้เหิงแวบหนึ่ง และพูดโดยไม่คิดว่า “ในบ้านมีเด็ก ข้าวของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาชอบ”
แรกเริ่มหลินเหราเองก็ไม่คุ้นชินกับอ่างไม้ โอ่ง ตามมาด้วยผ้าขนหนู ผงหวายฉู่ที่วางสะเปะสะปะอยู่ด้วยกันในลานเล็ก ประกอบกับของเล่นของเด็ก ๆ ทำให้ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยสิ่งของ
เขาเคยเอ่ยกับเหยาซูแล้ว แต่กลับถูกหญิงสาวว่าพลางค้อนปะหลับปะเหลือกกลับมา “หากท่านชอบความยากจนข้นแค้น ก็กลับไปอยู่บ้านซอมซ่อของตระกูลหลินเถอะ เพราะเราชอบให้มีสิ่งของมากมาย”
หลินเหราจึงทำได้แค่ปล่อยมันไป
รอให้เขาค่อย ๆ ปรับตัวให้เคยชิน แม้ว่าสิ่งของจะมากมายแต่กลับถูกวางอย่างเป็นระเบียบ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะยอมรับ
หลินเหรานึกถึงเรื่องเหล่านี้ พร้อมกับกระตุกมุมปากบาง ๆ ในมุมที่นายและบ่าวไม่เห็น ความกลัดกลุ้มในใจก็พลันรู้สึกดีขึ้น
ตู้เหิงรู้จักความโปรดปรานของชายหนุ่มอย่างชัดเจน แต่กลับทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “จากการสาธยายของท่านแม่ทัพ ดูท่าทางจะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวฉับไวคนหนึ่งทีเดียว ข้าคิดว่าท่านแม่ทัพจะรักในความสะอาดเสียอีก ใครเล่าคิดว่าจะเปลี่ยนความโปรดปรานเพื่อลูก ดูท่าท่านแม่ทัพเป็นคนที่มีความรับผิดชอบจริง ๆ”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา แม้แต่หลินเหราที่ได้ยินก็ยังแยกความผิดปกติไม่ออก
เขาพยักหน้าเล็กน้อย โดยไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
เหยาซูและเด็กทั้งสองคนได้ยินทุกคำชัดเจนอยู่ในบ้าน หากแต่หญิงสาวไม่ได้พูดสิ่งใด แต่กลับเป็นอาจื้อที่ไม่พอใจ เงยหน้าถามนางว่า “ท่านแม่ คนผู้นี้เป็นใครกันขอรับ? เหตุใดมาเพียงครั้งเดียวแล้วถึงกล้าจุ้นจ้านกับครอบครัวเราขนาดนี้…”
ในใจของเหยาซูรู้จักนางเอกในนิยายต้นฉบับผู้นี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าใคร
นางเข้าใจดี แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แค่พูดกับอาจื้อว่า “แม่เองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ในเมื่อมาหาพ่อของเจ้า คิดว่าน่าจะเป็นสหายของพ่อเจ้า”
เด็กทั้งสองคนเหมือนกับสัตว์เล็กที่ตอบสนองว่องไว พวกเขาต่างมองหน้ากัน ส่งสายตาโดยที่เหยาซูเองก็ไม่เข้าใจ
‘สหายของพ่อเจ้า’ ประโยคนี้ ดึงดูดความระแวดระวังโดยธรรมชาติของเหล่าเด็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหายที่เป็นสตรีผู้นี้
อาจื้อขยับเข้าไปใกล้น้องสาวอย่างเงียบ ๆ ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวจะคุยกับนาง
หลินเหราเชิญทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน สีหน้าสุภาพนอบน้อมและเอ่ยกับตู้เหิงด้วยความเกรงใจว่า “คุณหนูตู้ นี่คือภรรยาของข้า เหยาซู”
แสงสว่างภายในบ้านไม่ได้เจิดจ้าเหมือนภายนอก
ในขณะเดียวกับที่ครรลองสายตาของตู้เหิงกลับเข้าสู่สภาพปกตินั้น นางก็เห็นสตรีที่นั่งอยู่ข้างเตาปูนได้อย่างชัดเจน
“แม่นางตู้” หญิงสาวลุกขึ้น ย่อกายเคารพตู้เหิงก่อนจะยิ้มพลางพูดว่า “ได้ยินอาเหราเอ่ยถึงแล้ว วันนี้ได้เจอแม่นางเสียที เพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามีเสน่ห์ไม่ธรรมดา เมื่อเราคนธรรมดาได้ยลโฉมแล้วก็ให้รู้สึกว่าตนต่ำต้อยยิ่งนัก”
หญิงสาวยิ้มกว้าง ไม่เพียงแต่จะไม่ดูหยาบคายเหมือนอย่างที่ตู้เหิงคิดไว้แล้ว ตรงกันข้ามกลับมีกิริยาท่าทางสง่างาม จะก้าวหรือจะถอยก็เหมาะสม แม้แต่รูปโฉม ก็ยังเทียบเท่ากับคำว่างดงาม ไม่ด้อยไปกว่าตนเอง
ตู้เหิงไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดทันที ได้แต่ตะลึงงันไปชั่วขณะ
แต่ถึงอย่างไรคุณหนูตระกูลขุนนางก็ยังคงมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้
วินาทีต่อจากนั้น ใบหน้าของตู้เหิงก็แต้มไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง แม้ว่าจะไม่เย็นชา แต่ก็ยังแสดงสถานะของตัวเองอย่างชัดเจน “แม่นางเหยาไม่ต้องเกรงใจ แม่นางเหยาช่างมีจิตใจดีงามนัก รูปโฉมก็ไม่ธรรมดา ไร้ผู้ใดเทียบเทียม”
ทั้งสองคนต่างถ่อมตัวกันและกัน ใบหน้ายังคงแต้มรอยยิ้มจริงจัง ไร้ช่องโหว่ในการโจมตี ส่วนในใจของทั้งสองคนจะคิดอย่างไรนั้น มีแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
เมื่อเหลือบเห็นอาจื้อและอาซือที่ยืนอย่างว่าง่ายอยู่อีกด้าน ตู้เหิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบาบางว่า “นี่คือลูก ๆ ของแม่นางเหยาหรือ? หน้าตาน่ารักยิ่งนัก”
เด็กทั้งสองกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท “สวัสดีขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านน้าตู้”
เหยาซูแนะนำตัว “คนโตชื่อว่าอาจื้อ คนเล็กชื่อว่าอาซือ คนหนึ่งเจ็ดขวบ อีกคนสี่ขวบ”
ตู้เหิงรู้จักอาจื้อและอาซือเป็นอย่างดี
ชาติที่แล้วนางร่อนเร่อยู่ข้างกายของหลินเหรา รู้จักสายสัมพันธ์ทางสายเลือดที่บางเบาของเขา แม้ว่าเด็กทั้งสามคนจะมีความสามารถ แต่กลับไม่ยอมเข้าใกล้เขา…
เห็นจากวันนี้ ดูท่าเด็กทั้งสองคนนี้จะเริ่มรู้ความแล้ว
หลังจากที่ทั้งสองคนกล่าวทักทายแล้ว เหยาซูก็ยิ้มพร้อมกล่าวทักทาย “ทั้งสองโปรดนั่งลงก่อน แม่นางตู้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโปร่งบาง ข้างนอกไม่หนาวหรอกหรือ? มาดื่มชาร้อนสักแก้วเถอะเจ้าค่ะ”
หญิงสาวลุกขึ้นไปหยิบใบชา อาจื้อและอาซือเองก็ตามไปหยิบน้ำร้อน แต่กลับถูกเหยาซูห้ามไว้ “น้ำมันร้อนเกินไป ให้พ่อเจ้าไปดีกว่า”
หลินเหราตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มแล้วเดินเข้าไปในครัว เด็กทั้งสองคนเดินตามอยู่ข้างกายเหยาซู
เมื่อตู้เหิงเห็นแล้ว ในใจก็อึดอัดจนพูดไม่ออก ราวกับว่าสมบัติของตัวเองได้ถูกผู้อื่นช่วงชิงไปแล้ว…
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อาจื้อพูดได้ดี เพิ่งมาเยือนบ้านคนอื่นแท้ ๆ กลับสาระแนมาสอนเขาอีกยัยคุณหนูนี่ บ้านเขานะไม่ใช่บ้านหล่อน
ขอแนะนำว่าคุณหนูจงรีบกลับไปเสียเถิดหากไม่อยากโดนอาซูฉีกหน้าเหวอะหวะ
ไหหม่า(海馬)