นับตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ ตู้เหิงก็ตั้งใจไว้นานแล้วว่า ขั้นแรกคือต้องเจอหลินเหราให้ได้…
แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวคาดไม่ถึงคือ หลินเหราเย็นชาไม่ยอมพูดกับนางเลย แม้แต่ภรรยาที่เดิมทีต้องลาจากโลกนี้ไปแล้วของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นคือบรรยากาศระหว่างทั้งสองคน หากมองดูแล้วก็ไม่เหมือนคู่แต่งงานที่ไม่ลงรอยกันแต่อย่างใด
นางจึงถือโอกาสตอนที่หลินเหราไม่อยู่ชำเลืองไปมองเหยาซูด้วยสายตาเรียบเฉยแวบหนึ่ง และพูดเป็นนัยว่า “แม่นางเหยาอยู่บ้าน ยังจะใช้ให้ท่านแม่ทัพหลินไปยกน้ำชาอีกหรือ?”
ได้ยินมานานแล้วว่าก่อนที่หญิงสาวคนนี้จะสิ้นใจมักชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ดูจากในตอนนี้คงเป็นอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ
เหยาซูคลี่ยิ้ม เลิกคิ้วสูงและพูดว่า “ไม่เพียงแต่ยกน้ำชานะ ทั้งยังซักผ้าทำอาหารด้วย! ตราบใดที่หลินเหราอยู่บ้าน งานบ้านต่าง ๆ ข้าไม่ต้องแทรกมือเข้าไปช่วยเลย”
คำพูดนี้ทำให้ตู้เหิงต้องขมวดคิ้ว แม้แต่สาวใช้ข้างกายของนางอย่างอาซู่ก็อ้าปากตาค้าง
ในใจของสาวใช้กลับไร้ซึ่งความคิดอื่น คำพูดที่โพล่งออกมานั้นฟังรื่นหูกว่าผู้เป็นนายเสียอีก “ท่านแม่ทัพหลินที่ดูท่าทางเย็นชาไม่น่าจะคบค้าสมาคมได้โดยง่าย คาดไม่ถึงว่าจะเอาใจใส่ดูแลฮูหยินมากถึงเพียงนี้”
ตู้เหิงไม่ได้หันกลับไป สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่ดวงตากลับเย็นเยือกลง
เหยาซูยิ้มและพูดกับสาวใช้ว่า “แม่นางก็ชมเขาเกินไป ชมมากไปวันข้างหน้าสั่งแล้วไม่ทำขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? “
หญิงสาวแสดงท่าทางเป็นกันเองและไม่มองว่าอาซู่เป็นคนรับใช้เหมือนกับคนภายนอก
ยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นได้ชัดว่าถึงนางเป็นแค่หญิงสาวชนบท แต่จิตใจกลับเทียบได้กับสตรีตระกูลสูงศักดิ์ อาซู่จึงเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเหยาซูผู้นี้ทันใด จากนั้นก็ได้ยินนางถามว่า “แม่นางแซ่ว่าอย่างไร?”
สาวใช้รีบเอ่ย “แม่นางเหยาไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้น เรียกข้าว่าอาซู่ก็พอ”
เหยาซูยิ้มและให้ชวนให้นางนั่งลง “แม่นางอาซู่ ตระกูลชาวนาอย่างเราไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้หรอก ท่านก็นั่งลงเถิด”
ต่อหน้าคุณหนู นายคือนาย บ่าวคือบ่าว ขนาดนางกับตู้เหิงเติบโตมาด้วยกัน กลับไม่เคยนั่งข้างกายของคุณหนูมาก่อน
อาซู่รีบส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ได้ ไม่ได้เจ้าค่ะ มันไม่เหมาะสม”
เหยาซูเห็นนางยังคงยืนกรานเช่นนั้น จึงไม่เอ่ยบังคับ
ตู้เหิงที่อยู่ด้านข้างพลันพูดเสียงราบเรียบว่า “ตระกูลตู้มีกฎเกณฑ์มากมาย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้อิสระและไม่จำกัดเหมือนเช่นแม่นางเหยา แต่ในเมื่อเจ้าของบ้านเอ่ยแล้ว อาซู่เจ้าก็นั่งลงเถอะ”
เหยาซูฟังการเยาะเย้ยในคำพูดของอีกฝ่ายไม่ออก จึงจัดวางชุดน้ำชาและหยิบใบชาออกมา
หากอาซู่กลับเข้าใจกฎเกณฑ์ดี และไม่ยอมนั่ง เหยาซูจึงไม่ได้พูดสิ่งใดมากมายนัก
ไม่นานหลินเหราก็กลับมาพร้อมกับน้ำร้อน และชุดน้ำชาที่ลวกแล้ว ชายหนุ่มก่อนจะนั่งลง เหยาซูรับน้ำร้อนมา และเริ่มลงมือชงชา
เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ระวังร้อน”
หญิงสาวตอบรับเบา ๆ นิ้วมือที่เรียวยาวและขาวเนียนจับหูกาน้ำชาสีขาว ยิ่งทำให้แยกไม่ออกว่าเครื่องกระเบื้องเคลือบสีขาวแวววาว หรือนิ้วของนางกันแน่ที่งดงามกว่ากัน
เมื่อรินน้ำลงในกา ใบชาสีเขียวหยกก็ลอยวนไปมา จากนั้นถูกปิดฝาอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมสดชื่นกลับลอยลอดออกมา ทำให้ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชา
ตู้เหิงผู้เป็นบุตรสาวของครอบครัวมั่งคั่งย่อมถนัดทักษะในการชงชา
นางคิดว่าเหยาซูเป็นแค่หญิงสาวชนบทคนหนึ่ง ไฉนเลยจะเข้าใจวิธีการชงชา? แต่เมื่อเห็นขั้นตอนการชงชาของนางแล้ว แม้ว่าจะเปลี่ยนไปมากแต่กลับทำให้ความสง่างามนั้นดูซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ส่วนเสื้อผ้าที่เหยาซูสวมใส่ เนื้อผ้าก็เป็นผ้าธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อถูกสวมใส่อยู่บนร่างกายของนางกลับไม่ได้ดูด้อยราคาแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับเรือนเล็กอันคับแคบ และห้องที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยแห่งนี้ กลับเหมือนพาตัวเองไปอยู่ในศาลาพักผ่อนในจวนขุนนางไม่ก็ระเบียงทางเดินอันวิจิตรอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่เหยาซูล้างน้ำร้อนหนึ่งรอบ ก็ทำการชงชา นางรินชาให้ตู้เหิงก่อนพร้อมกับพูดเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้อากาศยังเย็นอยู่ ที่นี่คงสู้ในเมืองหลวงไม่ได้ สายลมยามเช้าก็แรงไม่น้อย แม่นางตู้รีบดื่มชาร้อน ๆ เถิด ร่างกายจะได้รู้สึกอบอุ่น”
ตู้เหิงกล่าวขอบคุณ เม้มปากจิบชาเล็กน้อยและวางลง “ฝีมือการชงชาของแม่นางเหยาไม่เลวเลย”
ฝีมือไม่เลวเลย แต่รสชาติชากลับแย่มาก ๆ
เบื้องบนมักจะให้ใบชาหลายโหลแก่ขุนนางประชาราษฎร์เป็นรางวัล ตระกูลตู้จึงได้รับมาไม่น้อย ตระกูลตู้รู้ว่านางหลงใหลในเรื่องชามากทีเดียว จึงนำใบชาที่จักรพรรดิพระราชทานเป็นของกำนัลมาส่งถึงในจวนของนาง ตู้เหิงมักจะชอบดื่มชาที่ได้รับการพระราชทานเหล่านี้เสมอ ไฉนเลยจะยอมให้ใบชาธรรมดาตกถึงท้อง?
เหยาซูเข้าใจเจตนารมณ์ในคำพูดของอีกฝ่ายดี แต่กลับพูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “เป็นที่ขบขันแก่แม่นางตู้แล้ว”
หญิงสาวรินชาอีกสองแก้วให้ตัวเองและหลินเหรา ก่อนรินน้ำเปล่าสองแก้วให้อาจื้อและอาซือทั้งสองคน พลางกล่าวอย่างอบอุ่น “เรียบร้อย ของผู้ใหญ่ตัวน้อยอย่างพวกเจ้าสองคน”
ตู้เหิงมองพลางขมวดคิ้วแน่น
ตามกฎเกณฑ์ของตระกูลตู้ ยามที่เหล่าอาวุโสคุยกัน การให้เด็กมานั่งฟังอยู่ด้านข้างนั้นช่างไม่เข้าท่าสิ้นดี!
มิน่าเล่าหลินเหราผู้มีตำแหน่งในราชการสูงเพียงนั้นกลับไม่ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ว่าจะถูกขุนนางเยาะเย้ยว่ามาจากชนบทก็ตาม
แค่กฎเกณฑ์นี้ ก็ต่างกันมากโขแล้ว
หลินเหราไม่คิดจะสนใจความคิดของตู้เหิง เมื่อทั้งหมดนั่งลงแล้วก็เริ่มเกริ่นหัวข้อหลักทันที “เมื่อครู่แม่นางตู้บอกว่ามีธุระอยากคุยกับข้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด?”
เด็กทั้งสองคนที่ดูเหมือนกับกำลังรินน้ำ แต่หูกลับเงี่ยฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่
ตู้เหิงยิ้มเล็กน้อย และไม่คิดไร้สาระแต่อย่างใด จากนั้นก็นำเรื่องที่ตระเตรียมเอาไว้แล้วพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ครั้นได้พบกับท่านแม่ทัพครั้งแรก ข้ารู้สึกคุ้ยเคยราวกับเคยพบกันมาก่อน การปฏิบัติกับท่านแม่ทัพ จึงแตกต่าง…”
หลินเหราแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึก
เหยาซูยิ้มเยาะ และนั่งฟังนางเพ้อเจ้ออย่างตั้งใจ
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่พูดสิ่งใด ตู้เหิงจึงพูดต่อว่า “ท่านแม่ทัพหลินเคยสงสัยเรื่องราวในชีวิตของตัวเองหรือไม่?”
หลินเหราขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เหยาซูเองก็ไม่เข้าใจ เรื่องราวในชีวิตของหลินเหรา? หลินเหรายังมีเรื่องราวในชีวิตอะไรอีก? ในนิยายก็ไม่เคยกล่าวนี่ว่าหลินเหราไม่ใช่ลูกหลานตระกูลหลิน
หากไม่ใช่เพราะตู้เหิงไปรู้อะไรมา นางจะกล้าพูดจาเหลวไหลเหล่านี้ไหม?
เดิมทีตู้เหิงไม่เคยคิดจะเอ่ยเรื่องนี้เร็วเพียงนี้ แต่ตอนนี้หลินเหราช่างเย็นชากับนางนัก แม้แต่พูดก็ยังไม่อยากพูด หญิงสาวจึงทำได้แค่ต้องใช้แผนการที่โง่เขลาเช่นนี้
“ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะข้าเดาเอง ….” นางหยุดชะงักอย่างเหมาะสมและพูดต่อว่า “ความจริงแล้วคือ ท่านแม่ทัพหลินกับผู้อาวุโสที่ข้ารู้จักท่านหนึ่งมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมาก”
เมื่อหลินเหราได้ยินดังนั้น ใบหน้ายังคงเผยสีหน้าคาดเดาไม่ได้และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “โลกช่างกว้างใหญ่ คนที่หน้าเหมือนกันก็มีมากมาย ข้าน้อยมีหน้าตาคล้ายผู้ใด มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ คุณหนูตู้ไม่ต้องใส่ใจหรอกขอรับ”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ตู้เหิงก็ไม่อาจฝืนใจเล่าเรื่องราวชีวิตของหลินเหราได้ หญิงสาวคาดเดาไว้ไม่มากก็น้อยว่ามันต้องจบเช่นนี้ ทำได้แค่ยิ้มบาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีท่านแม่ทัพหลินและผู้อาวุโสของข้าอาจจะมีวาสนาต่อกันก็เป็นได้ ใครเล่าจะล่วงรู้”
เหยาซูเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ แต่ก็มองสีหน้าของหลินเหราออก จึงยิ้มพลางพูดต่อโดยไม่คิดว่า “วาสนาเรื่องนี้ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก คนทั้งสองที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกันมาตลอดชีวิต จะบังเอิญเจอกันเพราะวาสนา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องหน้าตา”
ตู้เหิงที่ครุ่นคิดเรื่องการพบกันกับหลินเหราย่อมอ่อนไหวต่อหัวข้อนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นสายตาก็เลื่อนมายังเหยาซูทันที
แต่หลังจากสังเกตสีหน้าของเหยาซูอย่างละเอียด กลับไม่เห็นถึงความผิดปกติใด หญิงสาวจึงเก็บความสงสัยไว้ในใจ
ตู้เหิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองไปยังหลินเหราและถามขึ้น “ไหล่ขวาของท่านแม่ทัพ มีปานสีแดงเข้มใช่หรือไม่?”
หลินเหราตอบสนองอย่างว่องไวแม้ว่าจะไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ จึงถามออกไปว่า “เหตุใดคุณหนูตู้จึงถามเช่นนี้?”
ตู้เหิงไม่ได้ตอบโดยตรง หากแต่ส่ายหน้าและพูดว่า “หากไม่มี ก็คิดเสียว่าข้าเดามั่วซั่วก็แล้วกัน”
ความจริงแล้วบนไหล่ขวาของหลินเหรามีรอยสีแดงเข้มขนาดเท่าเล็บมืออยู่จุดหนึ่ง
เหยาซูเองก็เคยเห็นครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เคยคิดเรื่องปานนั้น
นางไม่รู้ว่าที่ตู้เหิงมาเอ่ยในวันนี้ เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในชีวิตของหลินเหราจริง ๆ หรือเพราะรู้เรื่องปานแดงบนไหล่ของหลินเหราโดยบังเอิญก่อนที่จะเกิดใหม่
เหยาซูวางแก้วชาในมือลง และพูดกับตู้เหิงด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แม่นางตู้ ข้าขอพูดกันแบบชาวบ้านเลยนะเจ้าคะ เพราะไม่รู้จะอ้อมค้อมด้วยเหตุใด ที่แม่นางตู้มาวันนี้ แล้วพูดเรื่องที่สามีของข้าและผู้อาวุโสของท่านมีหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างคลุมเครือ…จากการที่แม่นางตู้ขึ้นชื่อว่าเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์และมารยาทที่สุด ข้าต้องขออภัยที่ต้องพูดตรง ๆ ว่า…นี่น่ะหรือคือมารยาทของตระกูลตู้?”
อาซู่ไม่พอใจกับคำพูดนี้อย่างมาก สำหรับคนที่ไม่เคารพคุณหนู อาซู่ล้วนไม่ชอบทั้งสิ้น
แต่ที่เหยาซูพูด ก็มีเหตุผล ….
อาซู่ไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นอะไร จู่ ๆ ก็วิ่งมาถึงบ้านของอีกฝ่าย อีกทั้งยังพูดคลุมเครือชวนให้สับสน
แต่ในสถานการณ์ที่งุนงงเช่นนี้ นางก็ยังเลือกพูดแทนคุณหนูของตน “แม่นางเหยา คุณหนูของข้าล้วนเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ ไม่เคยพูดจาเพ้อเจ้อมาก่อนเจ้าค่ะ”
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว อาเหรารักอาซูมาก และอาซูก็ยังไม่ตาย เธอจะใช้เหตุการณ์ในอดีตมาตัดสินเรื่องตอนนี้ไม่ได้นะยัยคุณหนู
โดนไปหนึ่งดอกจุกๆ จากอาซูรู้สึกอย่างไรบ้างคะ ถ้ายังไม่สะเทือน ผู้แปลจะซ้ำอีกดอก แล้วก็แรงกว่าอาซูด้วยค่ะ
ไหหม่า(海馬)