ตอนที่ 172 ความผิดพลาดที่เกิดจากความบังเอิญ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 172 ความผิดพลาดที่เกิดจากความบังเอิญ
โต้วเหนียงใช้สายตาอันเยือกเย็นมองกวาดไปยังผู้คนช้าๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าว่านี่มันยุติธรรมแล้วหรือ หรือเพราะข้าเป็นสาวรับใช้ผู้ต้อยต่ำ ชีวิตถึงต้องจบลงเช่นนี้ ส่วนคนที่ทำลายข้ากลับไม่ได้รับการลงโทษเลยแม้แต่นิดเดียว”

ทุกคนได้แต่เงียบ

โต้วเหนียงช่างโง่เขลานัก เดิมชีวิตคนรับใช้ก็ต้อยต่ำอยู่แล้ว เอาไปเปรียบกับผู้ที่เป็นเจ้านายได้อย่างไร

ทว่าสิ่งที่โต้วเหนียงประสบอยู่มันก็น่าสงสารจริงๆ

มีคนรับใช้จำนวนไม่น้อยนึกถึงความไม่ยุติธรรมและความน้อยเนื้อต่ำใจที่ได้ประสบพบเจอ ต่างพากันทอดถอนหายใจออกมา

“มีอยู่คืนหนึ่ง สามีของข้าทุบตีข้าอย่างหนัก ข้าหมดสติไปนานมากถึงได้ฟื้นขึ้นมา เขากอดข้าพลางร้องไห้โฮ ปากก็พร่ำบอกว่าที่จริงไม่ได้อยากจะทุบตีข้า แต่เขาควบคุมมันไม่ได้ เพียงเพราะเขานึกถึงเรื่องที่ไม่คาดคิด ลูกชายที่เลี้ยงมาตั้งหลายปีเป็นลูกของชายอื่น กระนั้นเขาก็แทบจะเป็นจะตายทันที”

นัยน์ตาของโต้วเหนียงกำลังหวนนึกถึงเรื่องในอดีตอย่างสุดซึ้ง “พอเขาพูดถึงเรื่องความตายมันก็เตือนสติข้า ในเมื่อเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ ส่วนข้ายังไม่ยอมตายถ้ายังไม่ได้แก้แค้นคนที่ทำร้ายข้า เช่นนั้นข้าจึงช่วยให้เขาสมหวังเสีย ให้เขาไปก่อน รอข้าแก้แค้นเสร็จข้าจะตามไปเอง ถึงตอนนั้นครอบครัวของเราก็จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที”

โต้วเหนียงเช็ดคราบน้ำตาออก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุดัน “หลังจากที่เขาหลับ ข้าก็ใช้เชือกป่านเส้นหนึ่งรัดคอเขาจนตาย ผู้คนในเมืองต่างก็รู้ว่าหลายวันมานี้พวกเราเศร้าโศกเสียใจมากที่สูญเสียลูกชายไป บวกกับก่อนหน้านี้พ่อของสามีของข้าได้เสียไป ซึ่งไม่ได้มีญาติสนิทที่ไหน ข้าเพียงแค่หาข้ออ้างบอกไปว่าเขาป่วยตายเพราะคิดถึงลูกชายก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว หลังจากจัดการงานศพของสามีเสร็จ ข้าก็ไว้ทุกข์ให้เขาเป็นเวลาสามเดือน จากนั้นข้าก็ขายทรัพย์สินในบ้านออกมาอยู่ที่เมืองหลวง เรื่องราวต่อจานนี้ ท่านก็คงจะรู้อยู่แล้ว”

“แม้จะรู้เรื่องราวที่เจ้าเข้ามาในจวน แต่ข้าก็อยากจะรู้มากว่าเจ้าสามารถเข้ามาในจวนอย่างราบรื่นได้อย่างไร”

โต้วเหนียงหัวเราะออกมา “ข้าตั้งแผงขายของอยู่ที่เจินเป่าเก๋อ ทางผ่านก่อนไปจวนปั๋ว ตอนที่ข้าเป็นสาวรับใช้ในจวนปั๋ว ข้าอยู่กับปั๋วฮูหยินพักหนึ่งจึงรู้ว่านางชอบมาเดินซื้อของที่เจินเป่าเก๋อ นางชอบทานของหวาน พอมาคิดดูรสนิยมของคนเราคงไม่เปลี่ยนกันง่ายๆ ตอนที่ข้าอยู่ที่หนานเหอฝีมือการทำขนมหวานของข้าไม่มีใครเทียบได้ แล้วอีกฝ่ายจะไม่ตกหลุมพรางได้อย่างไร!”

“เช่นนั้น การที่ปั๋วฮูหยินพาลูกสาวคนโตมาซื้อขนมหวาน แล้วเจอพวกคนพาลเข้ามาคว่ำแผงขายของของเจ้าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่หรือไม่”

“จริงอยู่ที่พวกคนพาลเข้ามารังแกหญิงสาวไร้ซึ่งที่พึ่งพิงอย่างข้า ปกติข้ามักจะจ่ายเงินให้พวกเขาครบอยู่แล้ว ทว่าว่าวันนั้นรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว จึงจงใจยั่วโมโหพวกคนพาล ซึ่งเป็นอย่างที่คิดไว้ ปั๋วฮูหยินเห็นข้าถูกทุบตีอยู่บนถนน จึงสั่งให้สาวรับใช้นำตัวข้ามาอธิบายให้ฟังต่อหน้า แล้วถามข้าว่าอยากไปเป็นคนครัวที่จวนปั๋วหรือไม่” พูดถึงตรงนี้โต้วเหนียงก็อมยิ้มออกมา ดวงตาใสเป็นประกายจนน่าประหลาดใจ “ข้าก็ต้องเต็มใจไปอยู่แล้วสิ”

เจินซื่อเฉิงแอบถอนหายใจอยู่ในใจ พลางลูบเคราไปมา “เจ้าเล่าแผนการฆ่าปั๋วฮูหยินออกมาเถอะ”

เข้าเมืองตัวคนเดียวมาขายขนมหวานเลี้ยงชีพก็เพื่อการแก้แค้น แถมยังรอจนปั๋วฮูหยินเดินเข้ามาติดกับดักเอง ความอดทนนี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ชายใดบนโลกนี้อย่าริอาจดูถูกสตรีจริงเชียว

“หลังจากที่ข้าได้เข้าไปทำงานในครัวนอก ข้าก็กลายเป็นแม่ครัวที่รับผิดชอบทำขนมหวาน ทว่าการอยู่ครัวนอกมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยถ้าอยากจะเข้าไปครัวใน เช่นนั้นการฆ่าปั๋วฮูหยินก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ข้าจึงทำได้เพียงแค่อดทนรอ ซึ่งไม่นึกเลยว่าขนาดสวรรค์ก็ยังเข้าข้างข้า ไม่นานปั๋วฮูหยินสั่งย้ายข้าเข้าไปในห้องครัวหลัก เดิมข้ามีแผนในใจอยู่แล้วจึงรีบสืบหาแผนที่และกฎระเบียบการเปลี่ยนเวรของสาวรับใช้ทันที”

“เพียงเท่านี้เจ้าก็ลงมือแล้วหรือ”

โต้วเหนียงหัวเราะร่า พลางเหลือบมองหย่งชังปั๋ว “ไม่ เดิมข้าไม่ได้วางแผนว่าจะลงมือเร็วขนาดนี้ ถึงแม้ความคิดที่อยากจะฆ่าคนจะอยู่ในใจข้ามาตั้งนานแล้วก็ตาม ทว่ายิ่งใกล้จะลงมือก็ยิ่งกังวลว่าจะพลาด เหตุผลที่ทำให้ข้าตัดสินก็คือข้าบังเอิญรู้มาว่าหย่งชังปั๋วป่วยเป็นโรคนอนละเมอ การที่คนป่วยเป็นโรคนอนละเมอคนหนึ่ง ตื่นขึ้นมาพบว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ ตายแล้ว และไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้ข้า แล้วข้าจะไม่คว้ามันไว้ได้อย่างไร!”

เจียงซื่อตั้งใจฟังสิ่งที่โต้วเหนียงพูดมาโดยตลอด พอได้ยินถึงตรงนี้สมองก็ตื้อไปทันที แล้วเซถอยหลังไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ พริบตาเดียวเหงื่อไหลอาบเสื้อผ้าจนชุ่ม

มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาประคองเข้าที่หลังนาง

เจียงซื่อหันกลับไป ดวงตาประสานเข้ากับสายตาอันเยือกเย็นคู่หนึ่งอย่างกะทันหัน

เซี่ยอินโหลวเป็นคนประคองนางไว้

เนื่องจากมันกะทันหัน เจียงซื่อจึงลืมรักษาระยะห่าง และก็ลืมเอ่ยขอบใจด้วยเช่นกัน ใบหน้าสวยสดไร้ซึ่งเลือดฝาด แววตาดูสั่นเครือ นันย์ตาสั่นระริก

เซี่ยอินโหลวนึกว่าตัวเองมองผิดไป

เขาค่อนข้างสับสนเล็กน้อยว่าเมื่อก่อนเจียงซื่อเป็นอย่างไร วันนี้เจียงซื่อดูโดดเด่นตั้งแต่แรกพบ ตอนเจอผู้ตรวจการก็พูดคุยอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับว่าไม่มีอะไรทำให้นางรู้สึกเกรงกลัวได้เลย ทว่าตอนนี้ทำไมนางถึงดูอ่อนแอเช่นนี้

เซี่ยอินโหลวรู้สึกสับสน น้ำเสียงพูดจึงแฝงไปด้วยความเป็นห่วง

ทำให้เจียงซื่อได้สติ นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็นไร”

นางต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่!

หลังจากได้ยินเหตุผลที่โต้วเหนียงตัดสินใจลงมือ ในที่สุดนางก็เข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดชาติที่แล้วก่อนนางจะตายหย่งชังปั๋วฮูหยินถึงมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ทว่าจู่ๆ ชาตินี้กลับถูกฆ่า

ชาติภพที่แล้วอาการนอนละเมอของหย่งชังปั๋วไม่ได้วินิจฉัยออกมาได้ในเวลานี้ แต่เป็นหลังจากมีเรื่องไปนอนในคอกหมูแล้วเชิญหมอชื่อดังมาถึงได้รู้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เวลานี้ชาติที่แล้วโต้วเหนียงยังไม่ได้ตัดสินใจลงมือ

บางเวลาก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีความคิดใดความคิดหนึ่งเปลี่ยน ชีวิตหลังจากนั้นก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นางไม่รู้ว่าชาติที่แล้วท้ายที่สุดโต้วเหนียงได้ลงมือหรือไม่ หรืออาจจะยังไม่ทันลงมือก็มีคนมาพบ สรุปแล้วเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่นางไม่รู้ หย่งชังปั๋วฮูหยินจึงรอดมาได้

ทว่าชาตินี้ นางเตือนเซี่ยชิงเหยาด้วยความหวังดีไปแล้ว เพราะอยากให้พ่อของสหายคนสนิทไม่ต้องเจอกับเรื่องตลกที่ไปนอนในคอกหมู เซี่ยอินโหลวก็จะได้ไม่ต้องเสียฤกษ์ดูตัว ทว่าภายใต้ความบังเอิญกลับผิดพลาดทำให้หย่งชังปั๋วฮูหยินถึงแก่ความตาย

เมื่อเจียงซื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางแทบจะล้มทั้งยืน

หากเป็นเช่นนี้ หย่งชังปั๋วฮูหยินตายเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของนางหรอกหรือ

เหงื่อเม็ดโตผุดออกมาตามหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของหญิงสาว มันไหลผ่านใบหน้าที่ซีดเผือดลงไปยังริมฝีปากที่ไร้ซึ่งเลือดฝาด

“อากาศร้อนมากจนจะเป็นลมหรือ” เซี่ยอินโหลวเอ่ยถามเสียงเบา

เจียงซื่อไม่กล้ามองตาเซี่ยอินโหลว จึงเบือนหน้าหนี “ข้าไม่เป็นไร”

สายตาของเซี่ยอินโหลวนิ่งสุขุมลง พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากไม่สบายก็ไปพักเถอะ”

ถึงจะพูดเช่นนี้ ทว่าเขากลับรักษาระยะห่างของทั้งสองไว้

โต้วเหนียงได้เล่าถึงเหตุการณ์การฆาตกรรมที่ผ่านมา “พอข้าเห็นชุนฟังเก็บเสื้อผ้าออกไปเรียบร้อย ปั๋วฮูหยินออกไปทานข้าวที่ห้องรับแขกในสวนดอกไม้ ข้าก็เลยแอบย่องเข้าไปซ่อนตัวที่ตู้เสื้อผ้าในห้องนอน และจุด ธูปผสมยานอนหลับ จนถึงช่วงเช้า ข้าถึงได้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วใช้เชิงเทียนแทงปั๋วฮูหยินจนตาย ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนั้นปั๋วฮูหยินเลือดอาบท่วมตัว เสียดายหย่งชังปั๋วหลับเป็นตาย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข้าเอาเชิงเทียนยัดใส่มือเขา ถอดเสื้อผ้าชั้นนอกสุดออกมาพับไว้อย่างดี จากนั้นก็ออกไปเงียบๆ”

โต้วเหนียงมองเฉาอวิ๋นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เดิมแผนของข้าก็คือโบ้ยความผิดให้หย่งชังปั๋ว เขาจะได้ลิ้มลองความเจ็บปวดจากการฆ่าภรรยาด้วยมือของตัวเอง ทว่าตอนที่เดินมาถึงลานกลางเรือน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ข้าเดินตามเสียงไปเลยเจอเข้ากับเฉาอวิ๋นที่กำลังเผากระดาษอยู่ ตอนนั้นจึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ข้าเอาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดไปซ่อนที่นั่น ถ้าหย่งชังปั๋วยอมรับผิดว่าฆ่าภรรยาก็จะดีมาก แต่ถ้าหากพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ อย่างน้อยข้าก็จะได้มีแพะรับบาปแทน…”

ฝูงชนที่ได้ยินต่างสูดหายใจเฮือก

สตรีผู้นี้ช่างน่ากลัวเสียจริง

“อย่างไรก็ตาม การที่ได้เปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ของเจ้าต่อหน้าลูกสาวและลูกชายทั้งสองคนของเจ้า เท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ในที่สุดหย่งชังปั๋วที่สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุดก็เอ่ยปากขึ้น “เจ้าบอกข้าหน่อยว่าข้าหลอกเจ้าอย่างไร”