ตอนที่ 218 อันตรายอย่างมาก
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินเดินเข้าตำหนักเว่ยยางด้วยใบหน้าอ่อนเพลีย
เมื่อเวลาผ่านไปนาน ไฟโกรธของเถาฮองเฮาก็สงบลงแล้ว
เวลานี้ นางมีอารมณ์ต้มชาแล้ว
“เข้ามานั่ง!”
นางทักทายเซียวเฉิงเหวินก่อน
เซียวเฉิงเหวินเดินขึ้นหน้า โน้มตัวถวายบังคม “ถวายบังคมเสด็จแม่!”
“ไม่ต้องมากพิธี! ร่างกายเจ้าไม่ดี นั่งลงเถิด!”
“ข้าน้อมรับคำสั่ง!”
เซียวเฉิงเหวินนั่งลงบนพื้นด้วยใบหน้าผ่อนคลาย
เถาฮองเฮารินชาด้วยตนเอง จากนั้นวางแก้วชาไว้ตรงหน้าเขา
“ลองชิมฝีมือการชงชาของข้าว่าถอยหลังหรือไม่”
เซียวเฉิงเหวินยกแก้วชาขึ้นจิบ พลันลิ้มลองรสชาติอย่างละเอียด จากนั้นพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีกับเสด็จแม่ ฝีมือการชงชาพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
เถาฮองเฮาได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา
“วันนี้ข้าตระหนักบางเรื่องได้ ไม่คิดว่าจะทำให้ฝีมือการชงชาพัฒนาขึ้นด้วย สิ่งของหายไปในตอนเช้า ได้กลับมาตอนกลางคืน คนเราช่างยากที่จะอธิบายเสียจริง”
นางพูด
เซียวเฉิงเหวินยิ้ม “ได้ยินขุนนางฝ่านในบอกว่าวันนี้เสด็จแม่ทรงโกรธมาก”
เถาฮองเฮาตำหนิ “เจ้าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้เลยเสียจริง อารมร์ข้าเพิ่งดีขึ้นเล็กน้อยก็ถูกเจ้าทำลายอีกแล้ว”
“เป็นความผิดของข้า เพียงแต่เสด็จแม่ทรงเรียกข้าเข้าวังหลวง ไม่ใช่เพราะเรื่องเหล่านั้นหรือ”
เซียวเฉิงเหวินขอโทษอย่างไม่จริงใจแม้แต่น้อย
เถาฮองเฮายกแก้วชาขึ้นดื่ม นางพูดอย่างเชื่องช้า “วันนี้เสด็จพ่อของเจ้าได้รับรายงานจากองครักษ์จินอู่จึงทรงโกรธอย่างมาก พระองค์ทรงอาละวาดอยู่ในตำหนักซือเจิ้ง ฟันข้าหลวงตายและบาดเจ็บไปหลายคน ขุนนางราชสำนักรู้ข่าว เมื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้อย่างไร ข้าจึงเดินทางไปอย่างรวดเร็วไม่คิดว่า…”
พูดถึงตรงนี้ เถาฮองเฮาก็ยิ้มเสียดสี
ไม่รู้ว่ากำลังเสียดสีตนเอง หรือกำลังเสียดสีฮ่องเต้หย่งไท่
นางพูดต่อ “เสด็จพ่อของเจ้ากลับบีบคอของข้าด้วยความบ้าคลั่ง ราวกับต้องการฆ่าข้า โชคดีที่พระองค์ยังทรงมีสติอยู่บ้าง”
พูดจบ นางก็ปลดคอเสื้อออกเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยช้ำบนลำคอ
เมื่อเซียวเฉิงเหวินเห็นจึงขมวดคิ้วมุ่น “เสด็จแม่ทรงลำบากแล้ว! เสด็จพ่อไม่ควรปฏิบัติต่อเสด็จแม่เช่นนี้”
เถาฮองเฮากระชับคอเสื้อ พลันหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ข้าบอกแล้วว่าเสด็จพ่อของเจ้าทรงบ้าคลั่ง คำพูดเหล่านั้นข้าล้วนทูลต่อพระองค์แล้ว ให้พระองค์ทรงประหารขุนนางชุดหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม ย่อมจะบรรเทาภัยพิบัติได้จากต้นเหตุ แต่พระองค์กลับสงสัยในเจตนาของข้า ทรงกล่าวหาว่าข้ายั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับขุนนาง เจ้ามีใจจะบรรเทาความทุกข์ร้อนให้ราชสำนัก เสียดายที่เสด็จพ่อของเจ้าไม่เห็นแม้แต่น้อย”
บนใบหน้าของนางแสดงออกถึงความเสียดสี ทั้งเสียดสีฮ่องเต้หย่งไท่ แต่ก็เสียดสีเซียวเฉิงเหวินในเวลาเดียวกัน
จะเป็นคนจะไร้เดียงสามากไม่ได้
เซียวเฉิงเหวินไม่ผิดหวัง หากแต่ซักถามอย่างละเอียด “เสด็จแม่ทรงบอกปฏิกิริยาของเสด็จพ่อในเวลานั้นอย่างละเอียดได้หรือไม่”
เถาฮองเฮาขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากรื้อฟื้นประสบการณ์ที่ไม่ดีเหล่านั้น
เมื่อเห็นเซียวเฉิงเหวินยืนกราน นางจึงเอ่ยขึ้น
เซียวเฉิงเหวินฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่ปล่อยผ่านแต่ละรายละเอียด ซักถามซ้ำๆ
หลังจากถามเสร็จ เขากลับหัวเราะขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ทรงบอกว่าข้าเสียแรงเปล่า เสด็จพ่อไม่ทรงเห็นด้วยกับคำแนะนำเหล่านั้น แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ข้ากลับคิดว่าเสด็จพ่อทรงฟังคำเสนอแนะแล้ว อีกทั้งยังยอมรับข้อเสนอของเสด็จแม่จึงทรงพูดจาด้วยโกรธ” เถาฮองเฮาได้ยิน จึงขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าเป็นสามีภรรยากับเสด็จพ่อเจ้ามายี่สิบกว่าปี ข้ารู้จักนิสัยของเขาดีกว่าเจ้า”
เซียวเฉิงเหวินกลับส่ายหน้า
“เสด็จแม่เพียงแค่รู้จักอดีตของเสด็จพ่อ แต่พระองค์ไม่ทรงรู้จักเสด็จพ่อในเวลานี้ นับแต่สยบสงครามเหล่าท่านอ๋องแล้ว เสด็จแม่ไม่ทรงสังเกตหรือว่าเสด็จพ่อทรงเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก่อนเสด็จพ่อทรงระงับความโกรธ สามารถละทิ้งศักดิ์ศรี รู้จักการซ่อนเร้นความสามารถ วางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่เวลานี้เสด็จพ่อกลับทรงต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หยิ่งในศักดิ์ศรี เมื่อเผชิญหน้ากับเสด็จแม่ พระองค์จะทรงยอมรับความเห็นเหล่านั้นได้อย่างไร พระองค์ย่อมต้องทรงแสร้งทำเป็นโกรธ ตำหนิ ต่อว่าจึงจะปิดบังความอับอายภายในใจได้”
เถาฮองเฮาขมวดคิ้วครุ่นคิด
เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “เสด็จพ่อก็ทรงตระหนักได้ว่าจำเป็นต้องมีการประหารจึงจะสำเร็จได้ เพียงแต่เรื่องนี้มีความเสี่ยงมาก หากเคลื่อนไหวย่อมต้องสำเร็จในคราวเดียว เมื่อเสด็จแม่ทรงพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผย หากพระองค์ทรงยอมรับข้อเสนอในทันที หากเรื่องนี้ส่งไปถึงหูของขุนนางราชสำนักย่อมต้องเกิดความโกลาหล สู้พระองค์ทรงใช้ความโกรธเป็นเครื่องมือตบตาผู้อื่นเสียดีกว่า หากเสด็จแม่ไม่ทรงเชื่อ พระองค์ทรงรออีกไม่กี่วัน เสด็จพ่อย่อมต้องมีการเคลื่อนไหว”
อารมณ์ของเถาฮองเฮาไม่ดีนัก
หากเรื่องเป็นไปตามที่บุตรชายคนโตพูด หมายความว่านางรู้จักฮ่องเต้เพียงผิวเผิน
มันอันตรายอย่างมาก
ฮ่องเต้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ความคิดของนางยังอยู่ในอดีต
การตัดสินฮ่องเต้ก็ยังคงหยุดอยู่ในอดีต
อันตรายอย่างมาก!
การตัดสินใจที่ผิดพลาดเดียงครั้งเดียวก็อาจนำมาซึ่งความล่มสลายของตระกูล
เถาฮองเฮาเงียบ
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เถาฮองเฮาจึงเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อของเจ้าอารมณ์…”
“พระองค์เพียงแค่หยิ่งในศักดิ์ศรีกว่าแต่ก่อน!” เซียวเฉิงเหวินพูดขัดเถาฮองเฮา
“พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดคัดค้าน สงสัย หรือท้าทาย การสยบสงครามท่านอ๋องมอบความเชื่อมั่นอย่างมากให้แก่เสด็จพ่อ พระองค์ทรงมั่นใจว่าบนแผ่นดินไม่มีเรื่องที่พระองค์จัดการไม่ได้”
เถาฮองเฮาได้ยินจึงหัวเราะร่า
“ช่างทะนงตนเสียจริง ไม่มีเรื่องที่เขาจัดการไม่ได้ สุดท้ายภัยธรรมชาติก็ทำให้เขากระวนกระวายใจ ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ช่างน่าขันเสียจริง”
“ดังนั้นเสด็จพ่อจึงทรงโกรธเสด็จแม่! เสด็จพ่อทรงยอมรับความล้มเหลวของตนเองไม่ได้”
ประโยคนี้เป็นเรื่องจริง
ฮ่องเต้หย่งไท่เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองอย่างมาก
ตอนแรกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะจัดการภัยธรรมชาติได้ อย่างมากก็สิ้นเปลืองเสบียง
แต่ความเป็นจริงกลับตบหน้าเขาอย่างจัง
ผลผลิตลดลงร้อยห้าห้าสิบถึงหกสิบ หรืออาจจะร้อยละเจ็ดสิบหรือแปดสิบ…หรืออาจจะไม่มีเลย
ผลผลิตเพียงเท่านี้ อย่าว่าแต่จ่ายส่วย แม้แต่การกินก็เป็นปัญหา
เมื่อชาวบ้านไม่มีข้าวกิน จิตใจคนก็ไม่มั่นคง
เมื่อกิน จิตใจไม่มั่นคงก็จะถูกคนหลอกใช้ประโยชน์
ทันใดนั้นอาจเกิดสงครามขึ้นทุกหนแห่ง
สยบทางตะวันออกแล้ว ทางตะวันตกก็เกิดขึ้นใหม่
สยบทางใต้แล้ว ทางเหนือก็เกิดขึ้นใหม่
บทเรียนจากราชวงศ์มากมายมีให้เห็น ฮ่องเต้หย่งไท่จะไม่กังวลและโกรธได้อย่างไร
เขาอยากจะประหารขุนนางทั้งหมดและริบทรัพย์สินมาบรรเทาภัยพิบัติกว่าผู้ใด
แต่เขาทำได้หรือ
แต่เถาฮองเฮากลับพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างเปิดเผย หัวเราเยาะความขลาดของเขา ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่โกรธจึงจะแปลก
เขาไม่รักเกียรติหรือ!
เถาฮองเฮาโกรธเล็กน้อย
นางสงสัยว่าลเซียวเฉิงเหวินคาดเดาเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงยั่วยุให้นางทำ ไม่มีเจตนาดีเสียจริง
แต่นางไม่ได้อาละวาด
สีหน้าของนางราบเรียบ “จากที่เจ้าพูด ต่อจากนี้ข้าเพียงแค่ต้องอดทนรอ รอเสด็จพ่อของเจ้ามีการเคลื่อนไหว”
เซียวเฉิงเหวินพยักหน้า “ใช่แล้ว! นอกจากนี้เสด็จแม่ยังสามารถทรงบอกตระกูลเถาให้สงวนท่าทีเอาไว้บ้าง อย่ากินมูมมาม ตราบใดที่เสด็จพ่อทรงตัดสินพระทัย เวลานี้ตระกูลเถาจะตกเป็นเป้าได้ง่ายมาก เพื่อไม่ให้ล่มสลาย อยู่อย่างสงบจะดีกว่า อย่าได้เข้าร่วมการซื้อขายที่ดิน”
เถาฮองเฮาพูด “ข้าเตือนท่านลุงเจ้าแล้ว ระยะนี้เขาก็สงวนท่าทีลงไปมาก เมื่อเทียบกับตระกูลขุนนางจำนวนมากนั้น ที่ดินที่ตระกูลเถาซื้อเอาไว้ยังเทียบกับเศษที่ดินที่ผู้อื่นซื้อไม่ได้”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างมีนัย “ตระกูลเถาเป็นผู้อื่นหรือ”
สีหน้าของเถาฮองเฮาดำทะมุน
เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “ตระกูลขุนนางบนแผ่นดินปรองดองกันในแต่ละรุ่น ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันมากมาย หากแตะต้องตระกูลหนึ่งย่อมกระทบกับอีกตระกูลหนึ่ง ดังนั้นเสด็จพ่อไม่กล้าแตะต้องตระกูลขุนนางอย่างง่ายดาย แต่สำหรับตระกูลเถา เสด็จพ่อทรงไร้ความกังวลนี้ การเติบโตของตระกูลเถามีระยะเวลาเพียงยี่สิบสามสิบปี ไร้ซึ่งรากฐานที่มั่นคง ยิ่งไร้การสนับสนุนจากตระกูลเครือญาติ
การแตะต้องตระกูลเถาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงมาก ถึงแม้เสด็จแม่จะทรงอ้อนวอนก็คงมิอาจรักษาตระกูลเถาเอาไว้ได้ ในเมื่อตระกูลเถาไม่มีความมั่นใจที่จะเดินหมากตามตระกูลขุนนางก็ให้รีบวางมือ ยืนดูอยู่ด้านข้างจะปลอดภัยยิ่งกว่า”
น้ำเสียงของเซียวเฉิงเหวิน ทำให้เถาฮองเฮาไม่พอใจอย่างมาก
เมื่อเขาพูดถึงตระกูลเถา ราวกับพูดถึงตัวตลกที่ไร้ความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
เถาฮองเฮาจำเป็นต้องตักเตือนเขา “ตระกูลเถาเป็นตระกูลมารดาของเจ้า”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “เสด็จแม่ อันดับแรกข้าคือองค์ชาย จากนั้นจึงจะเป็นหลานของตระกูลเถา ในเมื่อข้าวางตัวได้เหมาะสมแล้ว หวังว่าเสด็จแม่จะทรงวางตัวได้เหมาะสมด้วยเช่นกัน”
“อย่างไร เจ้าจะให้ข้าละทิ้งตระกูลเถาในยามจำเป็นอย่างนั้นหรือ เมื่อไม่มีตระกูลเถา ข้าจะเป็นผู้ใด เมื่อถึงเวลา ไม่ว่าสนมนางใดก็สามารถปีนขึ้นมาบนหัวข้าได้”
“ไม่มีตระกูลเถา เสด็จแม่ยังทรงมีข้ากับน้องสาม”
“เจ้าผิดแล้ว!”
เถาฮองเฮายิ้มเสียดสี
“ไม่มีตระกูลเถา เจ้ายังเป็นองค์ชาย แต่ข้าอาจไม่ใช่ฮองเฮาอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องปกป้องตระกูลเถาเอาไว้ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังวางแผน แต่เจ้าไม่อาจเสียสละตระกูลเถาได้ เจ้าต้องมีมโนธรรมบ้าง!”
เถาฮองเฮาเกลี้ยกล่อม นางอ้อนวอนด้วยความจริงใจอย่างหาได้ยาก
เซียวเฉิงเหวินก้มหน้า ในดวงตาฉายแววตลก
มโนธรรม!
มโนธรรมกินได้หรือ
เขายกแก้วชาขึ้นปิดบังรอยยิ้มเสียดสีบริเวณมุมปาก
เถาฮองเฮาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
การพูดกับบุตรชายคนโตเหนื่อยยิ่งกว่าพูดกับฮ่องเต้
นางนวดหัวคิ้ว “เจ้ามีความคิดของตนเอง ผู้ใดก็เกลี้ยกล่อมเจ้าไม่ได้ ข้าก็ไม่อาจทำอันใดเจ้าได้ เพียงแต่คนอยู่บนโลกนี้ ย่อมต้องมีความหวังและที่พึ่งพิง ต้องมีญาติและตระกูล”
“ข้าเข้าใจความหมายของเสด็จแม่ดี เสด็จแม่ทรงวางพระทัย ข้ามีขอบเขต ข้าจะไม่แตะต้องตระกูลเถา”
เซียวเฉิงเหวินเด็ดเดี่ยวอย่างมาก เขาให้คำมั่นสัญญากับเถาฮองเฮา
เพียงแต่คำสัญญานี้เชื่อถือได้หรือไม่
เถาฮองเฮาสงสัย
เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้วยิ้ม พูดขึ้นทันควัน “เสด็จแม่ควรจะเชื่อใจข้ามากกว่านี้”
เถาฮองเฮาหัวเราะออกมา “ข้าเชื่อเจ้า! บุตรของข้าล้วนเป็นคนที่จริงใจ”
คำพูดนี้ทิ่มแทงหัวใจยิ่งนัก
อีกทั้งยังเป็นการเตือนว่าหากเซียวเฉิงเหวินไม่สามารถทำตามสัญญาได้ เขาก็ไม่ใช่บุตรของนาง
เซียวเฉิงเหวินเม้มปากยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ฝีมือการชงชาของเสด็จแม่พัฒนาขึ้น ข้าควรเข้าวังมาถวายบังคมเป็นประจำ เช่นนี้ย่อมมีโอกาสได้ดื่มชาที่เสด็จแม่ทรงต้มเอง”
เถาฮองเฮายิ้ม “หากเจ้าชอบ เจ้าเข้าวังหลวงมาทุกวันย่อมได้ หากเจ้าไม่รำคาญที่ข้ารบกวนความสงบของเจ้า”
“ข้าเข้าวังหลวงทุกวันย่อมได้ กลัวแต่เพียงจะรบกวนเสด็จแม่ ยังคงเหมือนแต่ก่อนเถิด หากข้าว่าง ข้าจะเข้าวังหลวงครึ่งเดือนครั้ง หรือเดือนละครั้งก็เพียงพอ!”
“ตามใจเจ้า! ข้าตามใจเจ้าเช่นนี้เสมอมาอยู่แล้ว”
เซียวเฉิงเหวินก้มหน้ายิ้ม ความเสียดสีภายในตายิ่งเข้มข้นขึ้น