ตอนที่ 219 เงินหายาก

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 219 เงินหายาก

หลายวันผ่านไป ภายในราชสำนักก่อเกิดพายุปะทะขุนนางท้องถิ่นขึ้นอย่างกะทันหัน

นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อบางคนในราชสำนัก

เถาฮองเฮาโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด บุตรชายคนโต เซียวเฉิงเหวินพูดถูกอีกแล้ว

ฮ่องเต้ทรงยอมรับความเห็นของนาง เปิดศึกปะทะในราชสำนัก

เพียงแต่เขายังคงขี้ขลาดไปเล็กน้อย ยังไม่กล้าก่อสงครามขึ้นในราชสำนักและปะทะกับขุนนางจากตระกูลขุนนางที่มีน้ำหนักมาก

ในขณะเดียวกันกับที่นางโล่งใจ เถาฮองเฮาก็รู้สึกไม่สบายอย่างมาก หัวใจของนางอึดอัดอย่างมาก

นางไม่ได้อึดอัดเพราะฮ่องเต้ หากแต่เพราะบุตรชายคนโต เซียวเฉิงเหวิน

ทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา

เขาต้องการก่อให้เกิดการนองเลือดในราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสภัยธรรมชาติและภัยมนุษย์ยุยงนาง

นอกจากนี้ยังใช้นางในการยุยงฮ่องเต้

เขาต้องการทำสิ่งใด

เขากำลังแบ่งเบาความทุกข์ร้อนของบ้านเมืองและราษฎร รวมไปถึงราชสำนักจริงหรือ

เถาฮองเฮาถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา “ข้าควรทำอย่างไรต่อจากนี้”

เหมาเส้าเจี้ยนกังวลเล็กน้อย “ฮองเฮาทรงกังวลเรื่ององค์ชายสองอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เถาฮองเฮาเคาะโต๊ะเบาๆ “เขากำลังหลุดการควบคุม ข้าควบคุมเขาไม่ได้ ฝ่าบาทก็อาจควบคุมเขาไม่ได้จริงๆ เจ้าว่าเขาอยากทำสิ่งใดกันแน่ ประหารขุนนาง บรรเทาภัยพิบัติ แล้วหลังจากนั้นเล่า”

เหมาเส้าเจี้ยนอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ฮองเฮาทรงกังวลมากเกินไปหรือไม่”

“เจ้ากำลังบอกว่าข้าคิดมากเกินไปหรือ”

“กระหม่อมมิบังอาจ!”

เถาฮองเฮาหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ข้าก็อยากให้ตัวเองคิดมากเกินไป หวังว่าเขาต้องการเพียงบรรเทาความทุกข์ร้อนแทนราชสำนักเท่านั้น แต่สายตาของเขา เจ้าเคยสังเกตสายตาของเขาหรือไม่ สายตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ คนที่ไร้หัวใจจะมีความเมตตาต่อราษฎรขึ้นมาได้อย่างไร”

เหมาเส้าเจี้ยนรู้สึกปากและคอแห้งผาก “ระยะนี้ฮองเฮาทรงกังวลมากเกินไป พระองค์ทรงพักผ่อนก่อนเสียดีกว่า รอองค์ชายสามทรงบรรเทาภัยพิบัติสำเร็จกลับมา สถานการณ์ในเมืองหลวงย่อมแตกต่างจากเดิม”

เถาฮองเฮาไม่ได้มองโลกในแง่ดีเพียงนั้น

นางมองออกไปนอกประตู ท้องฟ้ามืดครึ้ม รู้สึกแต่เพียงความอบอ้าว แต่ไม่เห็นฝนตกลงมา

“อากาศจะยังแห้งแล้งต่อไป ฝ่าบาททรงลงมือกับราชสำนัก ถึงแม้จะสามารถแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้ แต่ไม่อาจแก้ไขสาเหตุหลักได้ หากภัยแล้งนี้กินเวลาปีถึงสองปี เจ้าว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างไรขึ้น”

เหมาเส้าเจี้ยนไม่กล้าคิด “กระหม่อมมิทราบ!”

เถาฮองเฮายิ้มเย็นยะเยือก นางสะบัดแขนเสื้อพลันพูดเสียงดัง “เมื่อถึงเวลานั้น แผ่นดินจะเกิดสงครามจนวิกฤต ฝ่าบาทจะทรงกลายเป็นคนบาปของราชวงศ์ต้าเว่ย”

“ไม่ถึงกระนั้น! ไม่ถึงกระนั้น! ฮองเฮาทรงระวังคำพูดพ่ะย่ะค่ะ!” เหมาเส้าเจี้ยนตกใจหลุดพูดความในใจออกมา

เถาฮองเฮาไม่ถือสาเขา “ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนี้มีลางสังหรณ์มาก่อนแล้ว แม้จะไม่มีภัยแล้งนี้ ไม่นานก็ต้องเกิดปัญหา ตามที่ข้ารู้ ค่าเช่าแปลงนาสูงถึงร้อยละหกสิบ หรือร้อยละเจ็ดสิบ มีบางพื้นที่สูงถึงร้อยละแปดสิบ ค่าเช่าแปลงนาที่สูงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการบีบบังคับให้ผู้คนหมดหนทาง”

เหมาเส้าเจี้ยนยิ้มขมขื่น “วันนี้ฮองเฮาทรงเป็นอันใด เหตุใดจึงทรงกังวลเรื่องความลำบากของสามัญชนขึ้นมา”

เถาฮองเฮาพูดอย่างจริงจัง “แผ่นดินต้าเว่ยเป็นแผ่นดินของฝ่าบาท แต่ก็เป็นแผ่นดินของเจ้าสาม ข้าอยากให้เขารับมือแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่แผ่นดินที่เต็มไปด้วยบาดแผล”

“ฮองเฮาทรงกังวลพระทัยแล้ว!”

เถาฮองเฮาถอนหายใจ “เสียดายที่ข้าเป็นสตรี ไม่อาจออกจากวังหลวงได้อย่างง่ายดาย”

มีเรื่องมากมายที่นางไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงยืมมือของผู้อื่น

นางสั่งเหมาเส้าเจี้ยน “จับตาเจ้าสองแทนข้า เคลื่อนไหวสายลับในจวนองค์ชายสอง ข้าต้องการรู้ว่าเขาพูดหรือทำสิ่งใดในแต่ละวัน”

สีหน้าของเหมาเส้าเจี้ยนลังเล “ฮองเฮาทรงมั่นใจจะเคลื่อนไหวสายลับหรือ จะเสี่ยงเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กว่าจะแทรกแซงสายลับในจวนองค์ชายสองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากเคลื่อนไหว การจัดเตรียมนานหลายปีอาจสูญเปล่า

เถาฮองเฮาหันหน้ากลับมา สายตาจ้องมองเหมาเส้าเจี้ยนอย่างไม่เป็นมิตร “ข้าให้เจ้าทำอย่างไร เจ้าก็ทำ อย่าสงสัยการตัดสินใจของข้า”

เหมาเส้าเจี้ยนโน้มตัวตอบรับ

เซียวเฉิงเหวินยุ่งอยู่กับการอ่านตำรา ตกปลา เล่นกับบุตรสาวในแต่ละวัน

เขายุ่งมาก!

เยียนอวิ๋นฉีถามเขา “วันที่พี่สองหม่อมฉันแต่งงาน องค์ชายจะทรงเข้าร่วมงานเลี้ยงกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”

สาเหตุที่นางถามเพราะร่างกายของเซียวเฉิงเหวินอ่อนแอ ไม่ชอบความคึกคัก หลายปีนี้เขาแทบไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด มีแต่เยียนอวิ๋นฉีเป็นตัวแทนจวนองค์ชายผู้เดียว

เซียวเฉิงเหวินกำลังเล่นกับเด็ก

เด็กอายุหลายเดือนกำลังน่าเอ็นดูอย่างมาก

เพียงแค่มีคนเล่นด้วยก็จะหัวเราะจนเห็นเหงือกที่ยังไม่มีฟัน

เขาพูดโดยไม่เงยหน้า “วันงานแต่ง ข้าจะไปกับเจ้า”

เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกประหลาดใจ “จริงหรือเพคะ”

เซียวเฉิงเหวินพยักหน้า “จริง! อวิ๋นถงแต่งงาน เพียงแค่ร่างกายของข้าทนไหว ย่อมต้องออกงาน”

เยียนอวิ๋นฉียิ้มตาหยี “ขอบพระทัยองค์ชาย! หม่อมฉันให้คนส่งข่าวให้น้องสี่ ให้นางเตรียมการไว้ล่วงหน้า”

เซียวเฉิงเหวินพลางเล่นกับเด็ก พลางพูด “ไม่ต้องลำบากเช่นนี้ งานเลี้ยงงานเดียว ข้าอดทนได้”

“ลำบากองค์ชายแล้ว”

“เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ไม่ต้องเกรงใจ”

ระยะนี้เยียนอวิ๋นเกอยุ่งมาก และยังจนมากอีกด้วย

นางยุ่งอยู่กับการแบ่งเบาภาระให้เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับงานแต่ง

ยากจนเพราะภัยธรรมชาติกระทบต่อทุกด้าน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจหนีรอดจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ได้

ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยขายได้น้อยลงร้อยละแปดสิบเมื่อเทียบกับเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

ฤดูร้อนในปีที่แล้ว อากาศก็ร้อนเช่นนี้ แต่ก็ขายได้ดีไม่น้อย

น้ำแกงเครื่องในชามละสองเหวินยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะอย่างน้อยก็มีเนื้อกิน

ปีนี้…

ไม่ต้องพูดถึง!

แม้แต่ข้าวยังไม่มีกิน จะมีเงินกินน้ำแกงเครื่องในได้อย่างไร

เรือนพักร่ำรวยยิ่งแย่

เมืองหลวงใกล้เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง

ผลผลิตในปีนี้แทบจะคำนวณได้

ลดลงอย่างน้อยร้อยละหกสิบถึงเจ็ดสิบ

สองแห่งนี้ล้วนเป็นแหล่งรายรับใหญ่ของเยียนอวิ๋นเกอ แต่กลับถูกตัดขาดทั้งหมด

หากแต่ผักดองในร้านขายของชำหนายเป่ยที่ขายได้ดีกว่าทุกปี

เมื่อทุกคนกินเนื้อ รวมถึงผักสดและผลไม้ที่สดใหม่ไม่ไหว

ราคาถูกแต่ได้ปริมาณมาก ผักดองที่มีส่วนประกอบเป็นเกลือจึงกลายเป็นทางเลือกหลักของสามัญชน

ผักดองของร้านขายของชำหนานเป่ยราคาสูงกว่าร้านอื่นเล็กน้อย แต่ยังคงขายได้ดี

เยียนอวิ๋นเกอมองสถานการณ์ไม่ออกเล็กน้อย

“ในกระเป๋าของทุกคนต่างไม่มีเงิน ยังจะซื้อผักดองหนานเป่ยที่แพงกว่าร้านอื่นอีกหรือ”

นางสงสัยอย่างมาก

ผักดองของตนเองรสชาติดีก็จริง เพราะนางใช้วัตถุดิบอย่างเต็มเปี่ยม ผสมกับเครื่องปรุงมากมาย

เพียงแต่สมัยนี้ เงินหนึ่งเหวินแทบจะใช้แทนเงินหนึ่งพวง

จะมีคนมากมายยอมเสียเงินที่มากกว่าซื้อผักดองหนานเป่ยได้อย่างไร

เยียนมู่ให้คำตอบนาง

“คุณหนูไม่รู้ ผักดองหนาเป่ยของพวกเราใช้วัตถุดิบดี ยอมลงทุนในการใช้เกลือ ราคาเกลือพุ่งสูงขึ้นยิ่งกว่าราคาเสบียง ผักดองหนานเป่ยมีปริมาณเกลือที่เพียงพอ แม้ว่าจะราคาสูงแต่ก็คุ้มค่า อีกทั้งผักดองหนานเป่ยของพวกเรารสชาติดี กินเพียงสองคำก็มีรสชาติติดปาก แก้ความอยากอาหารได้อย่างดี ทุกคนต่างบอกว่าเรื่องที่มีความสุขที่สุดในแต่ละวันก็คือการกินผักดองหนานเป่ย”

อ่อ!

เยียนอวิ๋นเกอกระจ่างในทันที

“ทุกคนย่อมใช้ผักดองหนานเป่ยแทนเกลือ”

“ขอรับ!”

นอกจากผักดองขายดีแล้ว สิ่งของใช้สอยในครัวเรือนของร้านขายของชำหนานเป่ยก็ขายดีมาก

หากพูดให้ถูกต้องคือหีบศพขายดีมาก

ถูกต้อง!

ร้านขายของชำหนานเป่ยเป็นร้านขายของชำอย่างแท้จริง ขายทุกสิ่ง แม้แต่หีบศพ

เรือนพักร่ำรวยมีช่างไม้จำนวนมาก หนึ่งปีนี้ไม่มีงานทำจึงทำหีบศพ

ไม่คิดว่าปีนี้หีบศพจะขายได้ดี

ช่วงเวลาที่ยากลำบากมีคนตายเป็นจำนวนมาก

ผู้คนต่างพิถีพิถันเรื่องการตายอย่างสงบ หากมีวิธีก็ย่อมต้องจัดเตรียมหีบศพให้กับญาติที่เสียไป

หีบศพไม่จำเป็นต้องคุณภาพดี หีบศพไม้บางก็เพียงพอ แต่ก็เป็นน้ำใจของคนในครอบครัว

ดังนั้นปริมาณการขายหีบศพของร้านขายของชำหนานเป่ยจึงพุ่งทะยานเป็นเส้นตรง

ทุกสามถึงห้าวันก็จะมีการขนส่งหีบศพจากโรงไม้ในเรือนพักร่ำรวยไปยังเมืองแถบนครบาล

โรงไม้ในเรือนพักที่เงียบเป็นเวลานานจึงมีโอกาสฟื้นคืนชีพ คึกคักกว่าผู้ใด

เยียนอวิ๋นเกอที่พลิกดูบัญชีหนักใจอย่างมาก

หีบศพนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตคนอย่างแท้จริง

ดูจากปริมาณการขายในแต่ละเดือน นางไม่กล้าคิดว่าหย่งไท่ปีที่สิบสี่ต้องตายกี่คน สวรรค์จึงจะเมตตาให้ฝนตกลงมา

แต่ว่าผักดองและหีบศพล้วนเป็นการค้าขายที่ได้กำไรน้อย หากแต่เน้นขายปริมาณมาก ความสามารถในการหาเงินย่อมไม่อาจเทียบร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยและเรือนพักร่ำรวย

เยียนอวิ๋นเกอก็ยังยากจนอยู่ดี

เงินสดของนางล้วนลงทุนไปกับเหมืองของเซียวอี้ อีกทั้งยังส่งคนนับร้อยไปเฝ้าเอาไว้

เร็วสุดก็ต้องสิ้นปีจึงจะเห็นเงิน

ห่างจากสิ้นปียังอีกหลายเดือน นางเลี้ยงคนมากมายเพียงนั้น ยังติดหนี้อีก จะอดทนต่อไปได้อย่างไร

กลุ้มใจ!

นางอยากกลายร่างเป็นโจร ดักปล้นระหว่างทางเสียจริง

เมื่อเยียนอวิ๋นถงเห็นนางกลุ้มใจเรื่องเงิน ดังนั้นจึงเสนอขึ้น “ในมือข้ามีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ข้าให้น้องสี่ทั้งหมด”

เยียนอวิ๋นเกอโบกมือปฏิเสธ “พี่สองกำลังจะแต่งงาน หลังจากแต่งงานยังมีเรื่องต้องใช้จ่ายมากมาย ท่านให้เงินแก่ข้า ท่านจะทำอย่างไร อีกอย่างท่านมีเงินเท่าใดกัน”

เขาถูกน้องสี่ดูถูกว่ายากจนหรือ เขายากจนมากหรือ

เยียนอวิ๋นถงพูด “หลายปีนี้ข้าก็เก็บเงินได้สองสามหมื่นก้วน น้องสี่อย่าได้ดูถูกข้า”

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

เฮอะๆ !

นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณน้ำใจของพี่สอง! แต่เงินที่ข้าต้องการไม่ใช่เพียงสองสามหมื่นก้วน ข้าต้องการสองสามแสนก้วน”

ฮะ!

เยียนอวิ๋นถงตกตะลึง “เวลาเพียงกี่ปี กิจการของน้องสี่ก็เติบโตเพียงนี้แล้วหรือ เจ้าๆๆ เจ้าแค่ทำนาก็ขาดดุลมากเพียงนี้เชียวหรือ เงินสองสามแสนก้วนต้องซื้อเสบียงมากน้อยเพียงใด”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “พี่สอง ท่านทำสงครามเก่งกว่าข้า แต่หากพูดถึงเรื่องการบริหารแปลงนา วิธีการสร้างเงินท่านก็ไม่อาจเทียบข้าได้ เงินสองสามแสนก้วน ท่านคิดเพียงจะซื้อเสบียงได้มากน้อยเพียงใด แต่ข้าจะใช้เงินก้อนนี้มาหมุน พยายามหากำไรก่อนสิ้นปี”

“ได้กำไรจริงหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า

เยียนอวิ๋นถงไม่ถามว่าทำการค้าใด เขาตัดสินใจทันที “ข้าลงทุนสองหมื่นก้วน น้องสี่หาเงินแทนข้าดีหรือไม่”

“พี่สองไม่กลัวข้าทำขาดทุนหรือ”

“ไม่กลัว! หากขาดทุน อย่างมากข้าก็เดินไปทางดินแดนตะวันตกด้วยตัวเองสักครั้ง เงินก็ได้มาแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอซาบซึ้งอย่างมาก

“ข้าไม่มีทางทำให้พี่สองขาดทุน”

เยียนอวิ๋นถงหัวเราะ “พยายามหาเงินให้มาก ข้าจะสะสมทรัพย์สมบัติให้บุตรชายข้าในอนาคต”

มุมปากของเยียนอวิ๋นเกอกระตุก

ยังไม่ทันแต่งงานก็คิดแต่เรื่องมีบุตร พี่สองใจร้อนเกินไปหรือไม่