หลังจากเอาชนะบอสคิงมิโนทอร์สุดโหดมาได้ สิ่งที่รออยู่กลับเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตที่มีอาวุธครบมือ นั่นเลยทำให้พวกทัตยังคงรู้สึกเกร็งจนผ่อนคลายไม่ได้ทั้งที่หวังสิ่งนั้นมากที่สุด

เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือว่าศัตรูกันแน่ ทั้งทัต ฝ้าย สินและคิวจึงยืนนิ่งกันสักพักในขณะที่กำลังคิดหาประโยคเปิดดี ๆ

“ว่าไง? พวกเธอมาจากไหนกันเหรอ?”

แต่ดูเหมือนจะนิ่งนานเกินไปหน่อย… ชายหนุ่มที่เดินนำกลุ่มออกมาจึงเป็นคนเปิดบทสนทนาเอง ดูแล้วเขาน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้

“…มาจากต่างอำเภอค่ะ” คนที่ตอบกลับคือฝ้ายที่เป็นหัวหน้า และแน่นอนว่าไม่ได้พูดความจริงออกไปทั้งหมด เพราะถ้าบอกว่ามาจากโรงพยาบาลใกล้ ๆ คงจะถูกเพ่งเล็งแน่หากพวกนี้เป็นศัตรู

“โห เดินทางมาไกลน่าดูเลยนะ… นี่มาหาเสบียงถึงนี่เลยเหรอ?”

“ก็ประมาณนั้นค่ะ” ฝ้ายยังคงตอบกลับพอเป็นพิธี แต่นั่นก็เป็นบุคลิกของเธอเวลาโต้ตอบกับคนอื่นอยู่แล้ว

และไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่มันทำให้อีกฝ่ายคิดว่ากำลังถูกระแวงจึงเผยข้อมูลแค่เท่าที่จำเป็น บวกกับพฤติกรรมอย่างเดียวกันของสิน คิวและทัต ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเลยขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

ก่อนที่จะยิ้มออกมา และแบมือ

“ไม่เห็นต้องเครียดกันขนาดนั้นเลย พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายซะหน่อย”

“นั่นสิ ๆ แค่จะถามว่ามีกลุ่มอยู่กันรึยังแค่นั้นเอง”

ชายหัวหน้ากลุ่มพูดโดยมีอีกคนช่วยกล่าวเสริม บวกกับอีกเจ็ดคนที่ยืนอยู่ข้างหลังแสดงรอยยิ้มออกมา แต่จะชี้ชัดว่าเป็นรอยยิ้มเป็นมิตรหรือไม่คงยังทำไม่ได้

แต่วิธีพิสูจน์เรื่องนั้นมันก็ง่ายนิดเดียว

“พวกเราเป็นพวกของเซฟเวอร์น่ะค่ะ”

และเพื่อยืนยันเรื่องนั้นให้เร็วที่สุด ฝ้ายเลยเผยตัวตนของพวกตัวเองไปในทันที

แต่มองในแง่นึง มันก็ดูเป็นทางเลือกที่เสี่ยงไม่น้อยเพราะฝั่งของฝ้ายมีทัตที่กำลังบาดเจ็บอยู่ ซึ่งถ้ามีการต่อสู้เกิดขึ้น พวกฝ้ายคงลำบากแน่

หรือไม่อย่างนั้น ฝ้ายคงมั่นใจพอดูว่าเรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับตนถึงได้กล้าเผยตัวตน

ทัตเองก็บาดเจ็บอยู่เลยไม่อยากจะพูดอะไรมากจึงไม่ได้ห้ามให้เธอทำแบบนั้น รวมถึงเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝ้ายมีประสบการณ์การรับมือกับเรื่องนี้มานานกว่าอีก ทัตเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจน้องสาวผู้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าคนนี้

“อุวะ… จังหวะไม่ดีเลยแฮะ” ชายหนุ่มที่เป็นหัวโจกหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยินฝ้ายตอบแบบนั้น

ไม่สิ… คนอื่น ๆ เองก็เช่นเดียวกัน

รอยยิ้มที่พวกเขาเคยมีค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้าคือสัญญาณแรกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลำดับถัดไปคือการที่พวกเขาทุกคนเริ่มกำอาวุธของตัวเองแน่นจนถนัดมือ

คิวเองก็ทำอย่างเดียวกัน ซึ่งถ้าไม่นับสินที่ช่วยพยุงทัตอยู่กับตัวทัตที่บาดเจ็บ คนที่ไม่ได้มีอาวุธในมือก็มีแค่ฝ้ายคนเดียว แถมเธอยังเป็นคนเดียวที่ดูใจเย็นที่สุดด้วย

“ถ้าพวกเราเป็นเซฟเวอร์แล้วจะลำบากกันเหรอคะ?” แถมนอกจากนั้น ฝ้ายยังพูดราวกับตนเป็นฝ่ายเหนือกว่าด้วย ในดวงตาและน้ำเสียงนั้นสงบเรียบเฉย ไม่ปรากฏแม้ความหวาดกลัวหรือสับสนในสถานการณ์

เพราะรู้แก่ใจว่าฝ่ายตัวเองมีแต้มต่อเรื่องที่โค่นบอสมิโนทอร์ได้ เลยเป็นจุดที่ทำให้กลุ่มคนพวกนี้รู้ว่าพวกฝ้ายแข็งแกร่งมากขนาดไหน

และดูเหมือนฝ้ายจะคิดถูก เพราะทันทีที่เธอเอ่ยแบบนั้น หัวหน้าของกลุ่มที่เป็นชายหนุ่มก็เหงื่อตกทันที

“…เธอเนี่ยห้าวกว่าที่เห็นภายนอกอีกนะ” แต่ในจังหวะถัดมาความกังวลบนสีหน้าของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด ในแง่ที่ว่าแสดงความเป็นศัตรูจนเหมือนกับศึกจะปะทุขึ้นตอนนี้ได้เลยทีเดียว

“แต่ฉันก็ไม่โง่ถึงขนาดที่ไม่เข้าใจสถานการณ์หรอกนะ” แต่ชายที่เป็นหัวหน้าก็ดันพูดแบบนั้นออกมาก่อน ทำให้ความตึงเครียดลดลง อย่างน้อยก็สำหรับพวกนี้เอง

เพราะหากคำนวณกำลังรบแต่ละฝั่งแล้ว คนพวกนี้ดูเผิน ๆ อาจเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเพราะมีจำนวนมากกว่า แต่มีความจริงอยู่อย่างนึง นั่นคือเรื่องที่พวกฝ้ายเอาชนะบอสคิงมิโนทอร์ได้ในขณะที่คนพวกนี้ต้องซ่อนตัว มันก็น่าจะชี้ให้เห็นภาพรวมกำลังรบได้ ว่าจริง ๆ แล้ว ฝ่ายที่เก่งกว่าคือพวกฝ้าย

แต่ก็แน่นอนอีกว่ายังวางใจไม่ได้แน่เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมถอยจริงไหม

“พวกเรามีกำลังเสริมรออยู่ข้างนอกด้วยนะคะเผื่อไม่รู้”

“…”

และเพื่อให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ฝ้ายเลยเพิ่มความได้เปรียบของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้แถมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสวนทางกับสิ่งที่พูดออกมาด้วย

ซึ่งมองจากมุมไหนก็รู้ว่ามันคือการข่มขู่ แถมสำหรับคนที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าตั้งแต่เริ่มอย่างฝ้ายนั้นไม่มีความจำเป็นต้องโกหกด้วย

พวกกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนี้เองก็ดูฉลาดกว่าที่คาดไว้ ท่าทีของพวกเขาถึงสงบเสงี่ยมลงไปเยอะ เห็นได้ชัดเลยว่าคนพวกนี้ไม่ได้เป็นพวกใช้สัญชาตญาณดิบคิดแทนสมองแบบพวกแก๊งปลอกแขนแดงที่ทัตไปเจอมา

…แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันก็อาจเป็นปัญหาในภายหลังได้เหมือนกัน

“เข้าใจแล้ว ๆ”

แต่เรื่องที่คนพวกนี้เสียเปรียบพวกฝ้ายก็เป็นความจริงอยู่วันยันค่ำ… ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าคงคิดแบบนั้นถึงได้ชูสองมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นภาษาสากลว่ายอมจำนน

ถึงแบบนั้น ก็มีข้อสังเกตที่พวกเขายังถืออาวุธในมือกันอยู่

“อย่าใจร้ายมากนักสิสาวน้อย… ถ้าไม่มีอาวุธเราก็ตายจากพวกมอนสเตอร์สิ” ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ายังคงเป็นคนพูดอธิบายแทนคนอื่น ๆ แถมยังมีเหตุผลมากพอให้ยอมรับเสียด้วย

“เข้าใจแล้วค่ะ… อย่าเล่นตุกติก แล้วออกจากห้างสรรพสินค้าไปแบบสงบ ๆ ด้วยนะคะ”

“รับทราบครับผม”

หลังได้ยินคำสั่งชี้ชัดเสมือนคำอนุญาตจากฝ้าย กลุ่มของชายฉกรรจ์ก็เดินทิ้งระยะห่างผ่านพวกฝ้ายไป แน่นอนว่าแม้จะเดินผ่านกันไปแล้ว แต่สายตาก็ยังคงสอดส่องอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

ในขณะเดียวกัน ฝ้ายก็อาศัยจังหวะนั้นติดต่อกับกิฟที่รออยู่ตรงทางเข้าเพื่อจ่ายข้อมูลให้กันด้วย

…แต่นั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่ทัตสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างเช่นกัน

“นี่!” ทัตจึงได้ตะโกนถามกลุ่มชายฉกรรจ์จนพวกเขาต้องหยุดชะงักลง

“ไม่หยิบเสบียงติดไม้ติดมือไปหน่อยเหรอ?” คำพูดของทัตทำให้สินกับคิวสงสัยว่าทำไมถึงถามแบบนั้น ในขณะที่ฝ้ายนั้นถึงกับขมวดคิ้วเลยทีเดียว

พวกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ชะงักเองก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน แต่ด้วยสีหน้าลำบากใจจนเหงื่อตกแถมเป็นคนละเหตุผลกับที่โดนฝ้ายขู่

ไม่ว่าคำพูดของทัตจะหมายถึงอะไร ในแง่นึงมันก็ไม่ต่างจากการหยามหน้ากลุ่มคนนี้พวกนี้เท่าไหร่ เพราะคนที่แย่งแหล่งเสบียงของพวกเขาไปก็คือพวกทัตเองนี่แหล่ะ

“ใจดีเอาเรื่องนี่หว่า… แต่ไม่ล่ะ”

หัวหน้ากลุ่มถึงได้ปฏิเสธด้วยความเกรงใจก่อนจะรีบเดินออกจากตรงนั้นไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมแต่แน่นอนว่ายังคงไม่ละสายตาจากพวกทัต

กระทั่งพวกเขาเดินหายไปจนลับสายตาของพวกทัต ฝ้ายก็กลับไปคุยโทรศัพท์กับฝั่งของกิฟเหมือนเดิม

‘พวกนั้นออกจากลานจอดรถไปแล้วค่ะ’

“ทราบแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะกิฟ”

ได้ยินเสียงกิฟดังออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์ ฝ้ายก็ตอบกลับและเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“คนพวกนั้นเหมือนจะออกไปแล้วค่ะ” พอฝ้ายพูดแบบนั้น ทั้งทัต สินและคิวต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“ให้ตายสิ… นึกว่าจะเกิดเรื่องแล้วนะครับเนี่ย สมแล้วจริง ๆ ครับหัวหน้า” คิวพูดหลังจากทำสีหน้ากังวลแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่ง เห็นได้ชัดเลยว่าตั้งใจเยินยอฝ้าย

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ” แน่นอนว่าฝ้ายไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ตัวเองทำขนาดนั้น เธอเลยตอบแบบธรรมดา ๆ เหมือนเคย

ในขณะที่สินนั้นยังขมวดคิ้วอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่ามีเรื่องคาใจ

“จะว่าไป ฉันเพิ่งมานึกขึ้นได้… บางทีเจ้าพวกนี้อาจเป็นแก๊ง ‘พยัคฆ์ฟ้า’ ก็ได้” สินถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

“…นั่นสินะคะ ถ้าจะพูดถึงกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอนี้ก็คงเป็นกลุ่มนั้นแหล่ะค่ะ”

ฝ้ายที่ได้ยินแบบนั้นแสดงสีหน้ากังวลออกมาเช่นเดียวกับคิว ดูท่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่เบา อย่างน้อยทัตที่ไม่รู้เรื่องนี้เองก็เริ่มจะรู้สึกแบบนั้น

“เป็นประเภทเดียวกับพวก ‘ปลอกแขนแดง’ งั้นเหรอ?” แต่แน่นอนว่าคิดไปเองก็เท่านั้น ทัตเลยเอ่ยถามออกมาเพื่อให้แน่ใจ

และต้องขอบคุณเรื่องนี้ สีหน้ากังวลของฝ้ายเลยหายไป แต่ก็เปลี่ยนเป็นความจริงจังอย่างเดิมแทน

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงค่ะ… พวกมันเป็นกลุ่มต่ำช้าที่ชอบใช้กำลังจับคนทั่วไปมาสนองตัณหาของตัวเองได้หน้าตาเฉยเพราะคิดว่ายังไงเวลาก็ถูกย้อนเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น แล้วยิ่งถ้าเป็นคืนจันทร์เต็มดวงที่ยาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อจะทรมานขนาดไหน”

“อย่างที่หัวหน้าว่าแหล่ะครับ เพราะงั้นถ้ามองในแง่ความเป็นอันตรายกับคนทั่วไป… ‘พยัคฆ์ฟ้า’ น่ะ อันตรายกว่า ‘ปลอกแขนแดง’ อีกครับ”

ทั้งฝ้ายและคิวต่างพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิดและเกรี้ยวกราด น้ำเสียงของทั้งสองคนแสดงความรังเกียจออกมาจนเห็นได้ชัด แต่ถ้าเรื่องที่พวกเขาพูดเป็นความจริง ทัตเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

เพราะจากสิ่งที่ทัตสังเกตเห็นและเอ่ยถามกลุ่มชายฉกรรจ์ไปเมื่อครู่ มันก็เกิดขึ้นก็เพราะมีจุดที่น่าสงสัย

ทัตจึงถามเพื่อยืนยันให้แน่ใจ… ว่าเป้าหมายที่คนพวกนี้มายังซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นไม่ได้มาเพื่อหาเสบียงแต่มาด้วยจุดประสงค์อื่น แถมยังแสดงออกถึงความเป็นศัตรูกับเซฟเวอร์ด้วย

พอคำนึงจากเรื่องราวของกลุ่มที่ฝ้ายเล่าให้ฟังร่วมด้วย ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่เผชิญหน้ากับพวกทัตเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน ก็คือสมาชิกกลุ่ม ‘พยัคฆ์ฟ้า’ ที่ว่า

“แล้ว… จะทำยังไงกับพวกนั้นล่ะ?”

นั่นคือสิ่งที่ทัตสงสัย ไม่สิ… ที่จริงเขาเองก็สงสัยมาตลอดว่าเซฟเวอร์มีวิธีจัดการกับพวกนอกคอกแบบนี้ยังไง นี่จึงเป็นจังหวะดีทีเดียวที่จะถามถึงเรื่องนั้น

“หลังจากเราส่งเสบียงกลับไปที่ฐานแล้ว พวกเราจะกลับมาที่นี่ ตามรอย กระจายกำลังหาที่อยู่ของพวกนั้น แล้วจัดการ ‘สั่งสอน’ ให้พวกนั้นไม่ทำเรื่องแบบเดิมอีกน่ะค่ะ” ฝ้ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเอาเรื่องสอดคล้องกับสีหน้า

แต่เมื่อลองมาคิดดูว่าคนที่พูดเรื่องน่ากลัวแบบนั้นเป็นเด็กสาวน่ารักอย่างฝ้าย มันก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกและเหงื่อตกอย่างที่ทัตเป็น

“พูดง่าย ๆ ก็คือไปอัดให้เละ แต่ไม่ฆ่าให้ตายนั่นแหล่ะว่ะ” ในขณะที่สินนั้นพูดไปด้วยยิ้มไปด้วยเหมือนเป็นเรื่องสนุก

“แบบนั้นมันได้ผลเหรอ?” ในขณะที่ทัตนั้นยังรู้สึกแคลงใจกับวิธีการไม่หาย เพราะมันไม่เหมือนการแก้ปัญหา แต่เหมือนเป็นการเลี้ยงไข้มากกว่า

“ช่วยไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเป็นกฎของเซฟเวอร์ด้วยที่ห้ามฆ่าคน… และพวกเราก็ไม่อยากทำแบบนั้นด้วยครับ”

คิวเองก็เป็นคนนึงที่คิดแบบเดียวกัน เขาถึงได้ยิ้มแห้ง ๆ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ได้ผล หรือไม่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ผลจากประสบการณ์ของเขา

แต่ดูเหมือนฝ้ายจะไม่ได้คิดแบบนั้นไปเสียทีเดียว เพราะสายตาของเธอไม่มีหวั่นไหวเลยสักนิดเมื่อได้ยินคำถามของทัต

“ถ้าองค์กรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ช่วยชีวิต (Saver) ดันเป็นพวกที่คร่าชีวิตคนอื่นซะเอง เหตุผลในการคงอยู่ขององค์กรก็ไม่มีความหมายพอดีสิคะ” ทางด้านของฝ้ายนั้นดูจะคิดต่างออกไปในระดับจิตสำนึก และมีเหตุผลที่ยอมรับได้มากกว่าที่ทัตคิดเอาไว้เสียอีก

“…ก็จริงของเธอนะ” ทัตถึงได้ยอมรับอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

แม้ว่ามันจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นทางเลือกที่ ‘เหมาะสมที่สุด’ แล้วในโลกแบบนี้

เพราะถ้าจะให้ถึงกับต้องทิ้งความเป็นคนเพื่อเอาตัวรอด การมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์มันก็คงจะไม่มีความหมายเหมือนกันล่ะนะ

ทัตคิดแบบนั้นแล้วก็ยิ้มออกไปในทางเห็นด้วยกับฝ้าย คงมีเรื่องนี้แหล่ะที่ทัตกับฝ้ายเห็นพ้องต้องกัน

อย่างไรก็ดี… เพราะเหตุการณ์มารผจญจบลง ภารกิจลาดตระเวนและค้นหาเสบียงเลยเริ่มขึ้นอีกครั้ง

กระทั่งมั่นใจแน่แล้วว่าไม่เหลือมอนสเตอร์อยู่ในระยะสายตา อย่างน้อย ๆ ก็ในโซนปกติที่ลูกค้ามาซื้อของกัน พวกหน่วยสนับสนุนที่ตามมาด้วยจึงเริ่มเข้ามาพร้อมรถเข็น แล้วจัดการหยิบอาหาร เครื่องดื่มลงไปให้มากเท่าที่จะมากได้แล้วขนขึ้นรถบรรทุกที่มาด้วย

แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นอาหารแห้ง แต่ก็มีเนื้อสัตว์แช่แข็งและผักสดติดไม้ติดมือไปด้วยพอสมควรเพื่อใช้ทำอาหารแบบสด ๆ ให้ได้กินกัน เพราะเชื่อว่าความสดใหม่และกลิ่นหอมของอาหารคงจะกลบกลิ่นคาวเลือดให้ผู้อพยพได้มีความสุขแม้สักนิดก็ยังดี

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นเรื่องปากท้องของทุกคนจนกว่าจะถึงเวลารีเซ็ทในอีกหนึ่งสัปดาห์นั่นแหล่ะ การหาเสบียงจึงถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้อพยพและสมาชิกของเซฟเวอร์

“แล้วปกติจะเอาไปเยอะแค่ไหนเหรอน้องฝ้าย?” พิมที่เข้ามาช่วยขนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“แค่สำหรับร้อยคนก็พอค่ะ” ฝ้ายว่าอย่างนั้นในขณะที่ยังหยิบของลงรถเข็นไปเรื่อยไม่หยุดมือเช่นเดียวกับพิมที่ทำแบบเดียวกัน

ดูเหมือนฝ้ายเองก็แปลกใจไม่น้อยที่พิมซึ่งเป็นลูกคุณหนูกลับทำงานจิตอาสาเสียคล่องขนาดนี้

แต่ถ้าจะให้พูด… การที่พิมมาช่วยนั้น น่าจะเป็นเพราะตัวเธอสามารถเลือกขนมที่ตัวเองชอบติดไม้ติดมือกลับไปได้ด้วยต่างหาก

ทัตที่รู้แบบนั้นถึงได้ยิ้มแห้ง ๆ อยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่นั่งอยู่ตรงพื้น

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ข้อเท้าแพลงไม่ได้มีอาการแย่อย่างที่คิด หลังจากปฐมพยาบาลเสร็จก็มากพอที่จะทำให้ทัตเดินได้เอง แต่ก็ถูกฝ้ายห้ามไม่ให้ทำงานอยู่ดี

เพราะรู้สึกเหมือนได้รับสิทธิพิเศษแบบนั้น ทัตก็เลยอยากแสดงออกว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในพวกพ้องและคนที่ทำงานเหมือนกันจึงไม่ได้ไปนั่งรอบนรถเหมือนที่ฝ้ายแนะนำ

…แต่ถึงแม้จะตั้งใจแบบนั้น เขาก็ยังไม่สามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วจนถึงระดับที่ทำงานได้จริง ๆ นั่นแหล่ะ ทัตถึงต้องมานั่งอยู่กับพื้นใกล้ ๆ กับชั้นวางสินค้าที่พิมกับฝ้ายกำลังเลือกของกันอยู่

“เป็นยังไงบ้าง? หายเจ็บรึยังอ่ะ?” นั่นเลยมีโอกาสได้คุยกับพิม และแน่นอนว่าสิ่งที่เธอให้ความสนใจเป็นอันดับหนึ่งก็คืออาการบาดเจ็บของทัต

“ก็เกือบจะเดินได้ปกติแล้วล่ะนะ” ทัตว่าไปตามจริงเพราะไม่มีความจำเป็นต้องโกหก

“เหรอ…” แต่ถึงแบบนั้นพิมก็ยังพยายามจ้องตาจับพิรุธทัตอยู่ดี ซึ่งดูเหมือนเธอจะดูออกว่าไม่ได้โกหกราวกับอ่านใจได้เหมือนเคย แถมยังแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาอย่างซื่อตรงด้วย

“แต่ถึงจะเดินได้แล้ว คำสั่งห้ามทำงานก็ยังอยู่นะคะ” ในขณะที่ฝ้ายนั้นยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับทัตเหมือนเคย

“รู้แล้วล่ะน่า”

และเพราะฝ้ายทำท่าทางแบบนั้นแหล่ะ ทัตที่รู้สึกไม่พอใจมาตั้งแต่ตอนที่พยายามจะกันเขาออกจากการต่อสู้กับบอสคิงมิโนทอร์ถึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเชิงรำคาญ แต่ดูเหมือนว่าฝ้ายจะไม่คิดมากเลยที่โดนทัตโกรธ

…แน่นอนว่านั่นเป็นแค่การแสดงออกทางสีหน้าของเธอ ส่วนความรู้สึกจริง ๆ ในใจนั้นก็คงมีแต่ฝ้ายนั่นแหล่ะที่รู้

“น้ำเสียงแบบนั้นมันอะไรน่ะทัต!”

แต่ดูเหมือนจะมีคนที่แคร์ความรู้สึกในใจนั่น ถึงได้มีเสียงต่อว่าดังขึ้นมา

และแน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพิมที่ยืนท้าวสะเอวมองลงมายังทัตที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังประหนึ่งอาจารย์สาวตำหนินักเรียนเลยทีเดียว

“ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าน้องฝ้ายเขาทำไปเพราะเป็นห่วงน่ะ ใจเย็น ๆ หน่อยสิ!” พิมพูดแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ทัตเข้าไปอีก สื่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิมทำให้ทัตนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนเพิ่งได้สติจากความโกรธที่เข้าครอบงำ

“…เรื่องนั้นก็รู้อยู่หรอก” ทัตถึงได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาบางไม่น้อยจากความรู้สึกผิด

เช่นเดียวกันกับฝ้ายที่ได้ยินอย่างนั้น… พอมานึกย้อนดู การเอาคมหอกจี้คอพี่ชายตัวเองแบบนั้นมันก็ไม่เป็นการสมควรเลย ถึงจะทำเพื่อให้เขาปลอดภัยก็ตาม

“หนูเอง… ก็ต้องขอโทษด้วยเหมือนกันนะคะพี่” และเพราะแบบนั้น ฝ้ายถึงได้ไม่ลังเลที่จะกล่าวขอโทษกับทัตตรง ๆ

เรื่องสำนึกผิดก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นคือเธอคงไม่อยากจะถูกทัตเกลียดมากกว่า

และไม่ว่าทัตจะรู้เรื่องนั้นไหม แต่ที่สัมผัสได้แน่นอนคือฝ้ายกำลังขอโทษเขาจากใจจริง ความหงุดหงิดก็เลยหายไปโดยอัตโนมัติ

…ถึงจะยังมีเรื่องที่ติดใจและรู้สึกอยากพูดมาตลอดอยู่ก็ตาม

ครั้นจะพูดออกไปตอนนี้ ทัตก็รู้สึกกลัวว่าฝ้ายจะไม่เข้าใจ และนั่นจะกลายเป็นการเปิดใจที่เสียเปล่า หนำซ้ำอาจกลายเป็นการทำให้ฝ้ายมองว่าเขาเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นไปแทนเสียอีก

ที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ มันคงหมายถึงสิ่งที่ทัตกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้

และดูเหมือนจะมีคนที่รู้เรื่องนั้นเหมือนเคย… พิมถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง สองคนนี้คงไม่เข้าใจกันแหง ๆ’

“ให้ตายสิ… ทัตก็เรื่องนึง แต่ฝ้ายเองคราวหน้าคราวหลังก็เป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นบ้างนะรู้ไหม?” พิมพูดในขณะที่หันไปทางฝ้ายที่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้ฝ้ายหยุดมือหันมามองตามไปด้วย

“…เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับการรักษาชีวิตหรอกค่ะ”

แต่ฝ้ายใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบกลับมาทันที ด้วยน้ำเสียงธรรมดาราบเรียบจนเหมือนกับไม่สนอะไรและอ่านความคิดเธอไม่ออกเหมือนเคย แถมเรื่องที่พูดมันก็ฟังขึ้น เพราะอย่างน้อยพิมก็รู้สึกอย่างเดียวกัน

“ที่พูดมันก็ถูกแหล่ะ… แต่น้องก็ต้องเลือกวิธีพูดด้วยนะ เมื่อกี้เองก็เหมือนกัน มันเย็นชาเกินไปไม่ใช่เหรอ?”

“เอ๊ะ!”

“เอ๊ะ!?”

พอได้ยินที่พิมว่า ปฏิกิริยาตอบกลับที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกลับเป็นสีหน้าประหลาดใจของฝ้าย นั่นก็เลยทำให้เกิดปฏิกิริยาแบบเดียวกันจากพิมด้วย

“ดูเหมือนคนที่มีปัญหาการสื่อสารจะไม่ได้มีแค่คนเดียวนะเนี่ย” ก่อนที่พิมจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ หลังจากได้รู้ว่าฝ้ายนั้นเป็นประเภทเดียวกันกับพี่ชายของเธอ แต่ที่หนักกว่าคือ เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“…หนูดูเย็นชาเหรอคะ?” การที่ฝ้ายพูดด้วยสีหน้านิ่ง แต่เงียบไปสักพักคือสิ่งยืนยันว่าเธออึ้งไปพักนึง

…ถึงการเอียงคอสงสัยจะแอบทำให้คิดว่าดูน่ารักไม่เบาก็ตาม

แต่อย่างน้อย ๆ ทัตก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ฝ้ายพูดและแสดงออกมาทางสีหน้าอันเฉยชาอาจไม่ใช่ใจจริงของเธอเสมอไป บวกกับการที่พิมหันมามองหน้าทัตเหมือนกับจะบอกว่า “อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย” ด้วย เลยทำให้ทัตรู้สึกว่าบางทีถ้าคุยกันอาจจะเข้าใจก็ได้

“ก็… บางทีพี่ก็กลัวน้องเพราะไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ มันเลยทำให้พี่คิดว่าบางที… น้องอาจจะไม่ค่อยสนใจความรู้สึกพี่เท่าไหร่ อะไรประมาณนั้น”

ทัตว่าไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจผิดกับทุกที แต่ถึงแบบนั้นก็ยังพยายามไม่ละสายตาไปจากฝ้าย บางทีนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาพูดเรื่องที่คิดออกมากับน้องสาวอย่างฝ้าย

ฝ้ายที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับเบิกตาโพลง นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฝ้ายแสดงออกมาว่า ‘ตกใจจนยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก’

“อะไรกัน… เรื่องนั้นไม่จริงเลยค่ะ!” แต่แน่นอนว่าเธอรีบตั้งสติตัวเองใหม่และรีบแก้ไขเรื่องที่ทัตเข้าใจผิดในทันที และด้วยความร้อนรนจนเห็นได้ชัด

แม้แต่ทัตกับพิมเองก็ต้องแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นฝ้ายมีท่าทีแบบนั้นมาก่อน

“จริงเหรอ ถ้าเป็นงั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย” อาจเพราะแบบนั้นด้วย ทัตเลยเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะการได้เห็นด้านที่ไม่เคยรู้จักของน้องสาว มันก็หมายถึงได้รู้จักกันจริง ๆ มากขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที

“จริงสิคะ! หนูน่ะ… เป็นห่วงพี่ทัตมาตลอดเลยนะคะ!”

คำพูดของทัตมันเหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยเชื่อ ฝ้ายถึงได้ยืนยันเสียงแข็งอีกครั้ง

แต่ดูเหมือนจะพลั้งเผลอเผยความในใจมากเกินไปจนผิดวิสัยของตัวเอง ด้วยเหตุนั้นในตอนที่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เจ้าตัวก็เลยอายม้วนต้วนจนบิดตัวไปมาหน้าแดงก่ำอย่างน่ารักน่าชัง

เธอน่าเอ็นดูถึงขนาดที่พิมเองยังมองตาเคลิ้มเลยทีเดียว และถึงทัตจะไม่รู้สึกถึงขนาดนั้นแต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของพิมอยู่

“นั่นสินะ… พอมานึกดูฝ้ายก็พยายามทำแบบนั้นจริง ๆ นั่นแหล่ะ บางทีคนที่เย็นชาอาจจะเป็นพี่ซะเองล่ะมั้งเนี่ย” ทัตว่าแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา

เพราะพอมานึกดูเมื่อไม่กี่วันก่อน ฝ้ายก็ถึงกับมาเยี่ยมเขาถึงที่หอด้วยความเป็นห่วง แต่ทัตกลับแสดงท่าทีไม่พอใจออกไปเสียอย่างนั้น ซึ่งในกรณีนี้ คนที่ควรโมโหน่าจะเป็นฝ้ายด้วยซ้ำ

ทั้ง ๆ แบบนั้นเธอก็ยังยอมเชื่อฟังสิ่งที่ทัตต้องการโดยการกลับบ้านไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้เกรี้ยวกราดเหวี่ยงอารมณ์ใส่ทัตเลย เธอคำนึงถึงทัตมากกว่าที่คิดและคงจะเป็นห่วงทัตมาตลอดจริง ๆ นั่นแหล่ะ

“เพราะงั้น พี่เองก็ขอโทษด้วยนะ” ทัตที่ตระหนักเรื่องนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอโทษพร้อมกับค้อมหัวลงให้ เพราะเขารู้ว่ามันช่างเป็นเรื่องน่าละอายจริง ๆ ที่เพิ่งจะมาพูดเอาป่านนี้

…แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น การได้พูดออกมามันก็ทำให้ทัตรู้สึกโล่งใจมากทีเดียว

“อย่าสิคะพี่ ไม่เห็นต้องก้มหัวเลย” ในขณะที่ฝ้ายนั้นรีบบอกปัดในทันที แถมยังพยายามสะบัดมือไปมาอย่างกระวนกระวาย นี่คงเป็นอีกครั้งที่ฝ้ายแสดงท่าทางที่ไม่เคยเห็นให้ได้เห็น

นั่นยิ่งทำให้ทัตรู้ว่าน้องสาวของเขาคนนี้เกรงใจเขามากแค่ไหน ทั้งที่ตลอดมาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้

“จะว่าไป… พี่สงสัยมาตลอดเลยว่าทำไมน้องถึงเกรงใจและพยายามจะสนิทกับพี่นัก ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรกออกจะเงียบขนาดนั้นแท้ ๆ” จากเรื่องที่เริ่มคุยกันมาตลอด เลยทำให้ทัตตัดสินใจถามในสิ่งที่คาใจมาตลอด เพราะคงไม่มีจังหวะไหนเหมาะเจาะไปกว่านี้อีกแล้ว

“เรื่องนั้น…”

และดูเหมือนสำหรับฝ้าย เรื่องนี้จะมีเหตุผลมากกว่าแค่เพื่อให้ครอบครัวใหม่กลมเกลียว เพราะแม้แต่พี่น้องแท้ ๆ บางคนยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องสนิทกันเลยด้วยซ้ำ การที่คนเงียบ ๆ อย่างฝ้ายพยายามเข้าหาทัตตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ได้มาอยู่บ้านเดียวกันจึงถือว่าเป็นเรื่องแปลก

เพราะท่าทีของเธอมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนั่นแหล่ะเลยทำให้ทัตรู้สึกสงสัยแบบนั้น

“พอมานึกดู หนูก็ทำเรื่องแปลก ๆ ลงไปจริง ๆ นั่นแหล่ะค่ะ” ฝ้ายนึกย้อนแล้วก็รู้สึกว่าช่วยไม่ได้ รวมถึงเริ่มจะเข้าใจในเบื้องต้นแล้วว่าทำไมทัตถึงระแวงและปิดกั้นเธอแบบแปลก ๆ

“นั่นสินะคะ… ถ้าจะให้พูดล่ะก็ มันเริ่มจากวันนั้น————”

“หัวหน้า! อยู่นี่รึเปล่า!?”

แต่อนิจจา… ในตอนก่อนที่ฝ้ายจะได้แถลงไขเรื่องนั้น เสียงของสินก็ดังขึ้นมาขัดพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของเขาด้วย

ซึ่งถ้าไม่ได้มีเรื่องด่วนเขาก็คงไม่เดินมาหาฝ้ายถึงนี่ ด้วยเหตุนั้นเรื่องส่วนตัวก็เลยต้องยกไว้เป็นเรื่องรองจากหน้าที่

“มีอะไรเหรอคะ?” ฝ้ายทำเสียงไม่พอใจนิดหน่อย แต่ไม่มากพอให้คนส่วนใหญ่สังเกตได้

“จะว่าไงดี… ลองมาดูเองน่าจะดีกว่า” สินพูดด้วยสีหน้าลำบากใจไม่เบา พาลให้คิดว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล

“นายมาด้วยก็ได้ทัต แต่ยัยผมหางม้าไม่ต้องมา”

“เอ๋? ทำไมล่ะ!”

“เอาเถอะน่า บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ”

แม้จะถูกคะยั้นคะยอจากพิมสินก็ไม่โอนอ่อนให้ แต่ท่าทางของเขาไม่ได้ดูหงุดหงิดเหมือนโกรธอยู่ตลอดเวลาเหมือนทุกที จึงน่าจะเชื่อได้ว่ามีเหตุผลที่ไม่ให้พิมตามมา

“ช่วยไม่ได้หรอก เธอรออยู่นี่นะ” ทัตเลยพูดย้ำกับพิมแบบนั้น เพราะคิดว่าถ้าเขาพูดเองพิมคงยอมทำตาม

“อือ… เข้าใจแล้วก็ได้”

เป็นดังว่า พิมทำตามที่ทัตบอกอย่างว่าง่ายตามเคย แม้จะครางเสียงเสียดายอย่างน่ารักน่าชังตามหลังมาก็ตาม

แต่จะว่าไป… นี่มันเรื่องอะไรกันอีกนะ

ถ้าเป็นมอนสเตอร์คงไม่น่าใช่

หรือจะเจอของที่จะสาวไปหาที่อยู่ของ ‘พยัคฆ์ฟ้า’ ได้แล้วกันนะ?

ทัตคาดคะเนไปต่าง ๆ นานาในขณะที่เดินตามสินไปพร้อมกับฝ้าย ตอนนี้เขาเกือบจะเดินได้เป็นปกติแล้ว จะหลงเหลืออยู่ก็แค่อาการปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

…แต่ถึงจะเล็กน้อยยังไง ก็ยังทำให้พิมรู้สึกเป็นห่วงจนต้องมองตามแผ่นหลังอยู่ตลอด หรือฝ้ายที่เดินไปด้วยกันเองก็ยังสังเกตอาการของทัตอยู่แม้กระทั่งตอนนี้เองด้วย

แม้จะดูเป็นห่วงกันมากเกินไปหน่อย แต่ถ้ามันเป็นเครื่องพิสูจน์ความรู้สึกดี ๆ และความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ทัตก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร

นอกจากนี้ หากยังพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต่อไปเรื่อย ๆ ทัตก็คิดว่าอาจจะมีโอกาสได้เปิดใจกับฝ้ายมากขึ้นด้วย และวันที่เขาเอาชนะปมในใจจากครอบครัวได้ก็อาจจะมาถึงในเร็ววันตามไปด้วย

นั่นคือสิ่งที่ทัตหวังเอาไว้

“มาแล้วสินะครับ”

เดินมาจนถึงประตูห้อง ๆ หนึ่งซึ่งนำไปสู่ห้องพักพนักงาน ก็เจอกับคิวที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

ที่น่าสังเกตคือประตูห้องดังกล่าวถูกปิดเอาไว้ทั้งที่เป็นจุดหมายแท้ ๆ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ฝ้ายรีบถามทันที เพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องด่วน

“อย่างที่คิดไว้ครับ… กลุ่มที่พวกเราเจอเมื่อกี้น่าจะเป็น ‘พยัคฆ์ฟ้า’ จริง ๆ” คิวตอบกลับว่าอย่างนั้น

“แสดงว่าเจอเบาะแสแล้วเหรอ?” ทัตเอ่ยถาม ทางด้านคิวที่ได้ยินแบบนั้นกลับนิ่งไปสักพักก่อนที่จะตอบ

“…จะว่าไปคุณยังไม่รู้จักพวกพยัคฆ์ฟ้าเลยสินะครับ”

“ก็ฉันไม่เคยเจอนี่นา” ทัตว่าพลางยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ

“แล้วในห้องนั้นมีอะไรเหรอ?”

และเพราะไม่รู้จัก ทัตจึงอยากจะรู้ข้อมูลของศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากันอีกในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นี้

…แม้ว่าบางข้อมูล ไม่รู้มันอาจจะดีกว่าก็ได้

“ยังไงก็ เตรียมปิดจมูกไว้หน่อยก็ดีนะครับ” คิวพูดไปพร้อม ๆ กับที่ค่อย ๆ แง้มประตูที่ปิดอยู่ให้เปิดออกมา

ตอนแรกทัตก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น จนกระทั่งประตูได้เปิดออกแล้วมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยมาเตะจมูก

พริบตาแรก ทัตสัมผัสได้เลยว่ามันคือกลิ่นเลือด แต่พริบตาถัดมากลับเป็นกลิ่นคาวอันน่าสะอิดสะเอียนเหม็นอับจนต้องกลั้นหายใจ

“!!!?”

กระทั่งได้สบกับที่มาของกลิ่น… เป็นภาพที่ทัตไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อนจนต้องเบิกตาโพลง

คือภาพของหญิงสาวจำนวนเกือบสิบคนในสภาพเปลือยเปล่า มีรอยถูกปาดที่คออย่างโหดร้ายทารุณเป็นสาเหตุของกลิ่นเหล็กที่อบอวนอยู่ในห้อง ส่วนกลิ่นคาวอันคุ้นเคยนั้นก็มาจากต้นเหตุของสภาพอันน่าสังเวชของพวกหล่อน

“…นี่ฝีมือพวกมันเหรอ?” ทัตเอ่ยถามคิวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความสับสนและความพิโรธ แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

“ใช่แล้วครับ… เจ้าพวกนั้นเห็นพวกคนธรรมดาเป็นแค่สิ่งของที่จะทำยังไงก็ได้เท่านั้น ทั้งที่เรายังไม่รู้เลยแท้ ๆ ว่าการตายของคนธรรมดาในช่วงกลางคืนแรกจะส่งผลเสียยังไง”

คิวเอ่ยแล้วก็เผลอกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิดเช่นเดียวกันกับที่ทัตรวมถึงสินทำ

ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าพวก ‘พยัคฆ์ฟ้า’ ทำมันโหดร้ายเกินมนุษย์มนา พวกมันเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองมากกว่าปัญญา เกลือกกลั้วกับมันจนพฤติกรรมไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ซื่อตรงกับความต้องการพื้นฐานโดยไม่สนสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งความเป็นตัวตนของตัวเอง

“ฝ้าย น้องไม่ต้องเข้ามาก็ได้” แต่ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นยังไง ทัตก็ไม่ได้สนใจมากไปกว่าสภาพจิตใจของคนใกล้ตัว โดยเฉพาะน้องสาวของเขา เนื่องด้วยกลัวว่าเธอจะเห็นภาพสะเทือนใจเหล่านี้

ถึงตอนนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมสินถึงไม่อยากให้พิมมาด้วย ทัตต้องขอบคุณเขาในเรื่องนี้

เว้นแต่ว่า…

“ทำไมล่ะคะ” สิ่งที่ฝ้ายตอบกลับไม่ใช่สิ่งที่ทัตคาดหวัง อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้คิดว่าน้ำเสียงของฝ้ายจะนิ่งสงบขนาดนั้นหลังได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนใจ

“ทำไมน่ะเหรอ? ก็เรื่องแบบนี้น้องไม่ควรมาเห็นไง พวกนายเองก็คิดอะไรอยู่! ทำไมถึงให้เด็กผู้หญิงมาดูของแบบนี้! แค่ให้ข้อมูลก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ!?”

ทัตตะโกนใส่สินกับคิวแบบนั้นด้วยความหงุดหงิด เพราะถึงฝ้ายจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือมียศสูงที่สุดแต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุ 15 เท่านั้น

…แต่ดูเหมือนทุกคนที่นี่จะไม่ได้คิดแบบนั้น แม้ว่าสินกับคิวจะไม่ได้ตอบโต้ทัตเลยก็ตาม

และคนแรกที่บอกเรื่องนี้ให้ทัตรู้ก็คือน้องสาวที่เขาเป็นห่วงนี่แล

“พี่ไม่จำเป็นต้องโกรธหรอกนะคะ เพราะหนูเป็นคนบอกเองว่าอยากจะตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง”

ฝ้ายพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงธรรมดาตามเคย ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้ร่างไร้วิญญาณทั้งหลายโดยไม่มีแม้แต่ความลังเล หวาดกลัวหรือขยะแขยง

ทัตไม่อยากจะใช้คำนี้เท่าไหร่… แต่ไม่มีคำที่อธิบายได้ดีกว่าคำว่า ‘เคยชิน’ อีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทัตคิด

“ฝ้าย… ไม่เป็นไรแน่นะ” ทัตถึงได้ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ควรต้องห่วง

“ไม่จำเป็นต้องห่วงหนูขนาดนั้นก็ได้ หนูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ” นั่นคือคำตอบของฝ้าย ในขณะที่เดินไปสำรวจของในห้องอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ

“ถึงแบบนั้นก็เถอะ มันไม่เกี่ยวกับว่าเป็นเด็กรึเปล่าไม่ใช่รึไง?”

“ที่หนูพูดก็ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นค่ะ หนูกำลังบอกว่า ‘ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่เห็นต้องเป็นห่วง’ ต่างหาก”

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ… การที่พี่ชายจะห่วงน้องสาวมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

กระทั่งทัตพูดเรื่องนั้นขึ้นมา ฝ้ายก็กลับมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไปจากทุกทีราวกับประโยคที่ทัตเอ่ยมันไปเปิดสวิทช์อะไรบางอย่างเข้าโดยที่เขาไม่รู้ เธอถึงกับหยุดสิ่งที่กำลังทำแล้วหันมาทางทัตเลยทีเดียว

“จริงเหรอค่ะ?” ฝ้ายหันมาแล้วมองตาทัตด้วยแววตาที่เฉยชาเอาเรื่อง… เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เป็นไปในทางเดียวกัน

“ถ้าเรื่องนั้นจริง… ทำไมที่ผ่านมาพี่ถึงเย็นชากับหนูนักล่ะคะ?”

ก่อนที่จะพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งที่ทำให้ทัตหนาวสั่น เขายิ่งรู้สึกเหมือนถูกต่อยเข้าตรงแก้มจัง ๆ เพราะทัตเพิ่งจะพูดเรื่องที่คล้ายกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เองแท้ ๆ

ต่างเพียงแค่คนที่โดนพูดถึงในรอบนี้ไม่ใช่ฝ้าย หากแต่เป็นตัวทัตเอง

นั่นจึงทัตให้ตระหนักอีกครั้ง… ถึงผลที่ตามมาจากการกระทำในอดีตของตัวเขาเอง

❖❖❖❖❖