ตอนที่ 23 ใครจะรู้ว่าน้องสาวกำลังคิดอะไรอยู่

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

หลังจากได้พบกับสิ่งที่หลงเหลือจากการกระทำตามใจชอบของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘พยัคฆ์ฟ้า’ ทำให้ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่ศพของผู้หญิงหลายคนที่คิวกับสินไปเจอมา

จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ผู้หญิงพวกนี้ถูกกระทำชำเราก่อนจะถูกฆ่าทิ้งอย่างโหดร้ายทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย การทำแบบนั้นก็ยิ่งทำให้พวกฝ้ายกระตือรือร้นในการตามล่าพวกมันมากขึ้น

ด้วยเหตุนั้น ในตอนที่เดินทางกลับมาถึงฐาน แม้จะเป็นช่วงเย็นแล้วแต่พวกฝ้ายก็ยังรีบเข้าห้องประชุมไปวางแผนกันต่อเกือบจะทันที

ส่วนทัตกับพิมนั้นยังไม่ได้อยู่ในระดับที่จะเข้าประชุมวางแผนกลยุทธ์ได้ จึงต้องมาช่วยงานอาสาสมัครด้วยการแจกน้ำและอาหารมื้อเย็นให้ผู้อพยพแทน

แล้วหลังจากที่ทำแบบนั้นเสร็จก็จะไม่มีอะไรอื่นให้ทำอีกนอกจากนั่งรอ ซึ่งการรอเองก็เป็นกิจกรรมส่วนใหญ่ที่ผู้อพยพเขาทำกันอยู่แล้ว แถมแพรก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนอื่นนอกจากพิมเลยรู้สึกเหงา ๆ สุด พิมเลยคิดว่าจะชดเชยส่วนนั้นให้ด้วยการอยู่กับเธอ

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่กลุ่มเที่ยวหลังเลิกเรียนอันประกอบไปด้วยทัต พิม แพร พล หนุ่มและกล้าได้กลับมานั่งรวมตัวกันอีกครั้ง ทุกคนนั่งรวมตัวกันเป็นวงอยู่ในห้องโถงใหญ่ของศูนย์อพยพซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ใช้นอนเช่นเดียวกับที่ผู้อพยพคนอื่น ๆ ทำ

“เอ๋! เจอเรื่องมาขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วเป็นอะไรกันรึเปล่า!?” แพรหลุดตกใจหลังได้ฟังเรื่องที่เจอมอนสเตอร์ประเภทบอสที่ชื่อคิงมิโนทอร์จากพิม แม้จะไม่เคยเห็น แต่จากแค่ที่ฟังมันก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวแล้ว

“ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก… แต่ฉันก็ไม่ได้ไปสู้ด้วยหรอกนะ แฮะ ๆ” พิมว่าแล้วก็หัวเราะ รอยยิ้มของเธอเป็นเหมือนยาชูกำลังสำหรับแพร รวมถึงพวกพลด้วย

…แต่ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับทัตที่กำลังทำหน้าเหมือนกับเหม่อคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว

“ไม่สิ… จริง ๆ ทัตเองก็โดนเล่นงานเหมือนกันนะ ข้อเท้าแพลงเลยด้วย!” และเพราะรู้ว่าเป็นแบบนั้น พิมเลยพยายามดึงทัตให้เข้ามาร่วมบทสนทนาอย่างแนบเนียนตามเคย

“แล้วทัตเป็นยังไงบ้าง!? ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?” แพรที่ได้ยินแบบนั้นก็ยังตกใจน่าดูเพราะพื้นฐานเธอเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว เธอถึงหันขวับมาหาทัตในทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

“ที่จริงก็แทบจะไม่รู้สึกเจ็บแล้วล่ะ” ทัตหันมาตอบแพร พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“จริงเหรอ? แต่นี่มันเร็วมากเลยนะ”

“นั่นสิ ปกติมันตั้งหลายวันกว่าจะหาย”

แต่ทั้งแพรและพลต่างก็เอียงคอสงสัยหลังได้ยินทัตตอบแบบนั้น

ยังไงก็ตาม ตอนนี้ทัตรู้สึกลำบากใจมากกว่าที่ต้องกลายเป็นเป้าสนทนาของคนในกลุ่ม

…เพราะไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยนั่นแหล่ะ

“แสดงว่าเป็นเพราะนาย ‘มีพลัง’ สินะ… ถึงได้ฟื้นตัวเร็วกว่าชาวบ้าน” นั่นเป็นตอนที่หนุ่มพูดในขณะที่กอดอกอิจฉาทัต

“ดีจังน้า ฉันเองก็อยากมีพลังบ้างจัง จะได้ไปอัดพวกมอนสเตอร์ให้เละเลย” กล้าพูดแล้วก็ทำท่าต่อยลมเหมือนอยากออกแรงเต็มที่

แม้แต่พลที่พยักหน้าตามงก ๆ เองก็ไม่วายเห็นด้วยกับทั้งสองคน

พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้… ไม่รู้ว่าแค่นึกสนุกอย่างเดียวหรือมองพลังนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเอาตัวรอดกันแน่

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน พวกเขาก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้หากไม่รู้ถึงสิ่งที่ต้องแลก

และคนที่พูดถึงเรื่องนั้นก็คือพิม

“พวกนายก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าทุกอย่างจะย้อนกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามีพลังแล้วมันจะต่างกันเลยนะ”

“เรื่องนั้นไม่ใช่แค่การปลอบใจหรอกเหรอ?” หนุ่มตั้งข้อสังเกต ซึ่งการคิดแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างพวกเขา

“ไม่ใช่หรอก” พิมส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ

“แล้วที่สำคัญ… ถึงคนธรรมดาจะตายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนที่เวลาถูกย้อนกลับไป แต่ถ้ามีพลังแล้วจะตายในตอนที่เวลาถูกย้อนกลับไปเลยนะ” พิมชี้จุดตัดสินยากที่สุดให้ ทำให้หนุ่ม ๆ ทั้งสามเหงื่อตกแล้วเริ่มพิจารณาเรื่องที่ตัวเองต้องการใหม่เป็นครั้งแรก

“นั่นคือที่พิมกับทัตเจอเหรอ…”

คนแรกที่ตระหนักถึงความน่ากลัวของการมีพลัง แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากแพร เธอถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ยินพิมพูดแบบนั้น

“ใช่… ถึงจะไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่ดีหรอก” พิมพูดแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา

“เพราะงั้นสำหรับพวกนายทุกคน ให้มันเป็นแค่ฝันร้ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วลืมน่ะดีแล้ว”

ก่อนจะปิดท้ายเหมือนมอบข้อสรุปให้กับทุกคนแทนที่ทุกคนจะพูดออกมาเอง และแน่นอนว่าคำตอบของทุกคนตรงกับที่พิมพูดออกมาถึงได้ไม่มีใครค้าน

แต่อันที่จริง ปฏิกิริยาของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่พิมให้ความสนใจเท่าไหร่นักหรอก

เพราะเธอกำลังใช้ความสนใจส่วนใหญ่ไปกับการมองและสังเกตอารมณ์ของทัตอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ที่กลับมาถึงที่นี่จนถึงตอนนี้

เนื่องจากเห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แถมน่าจะลงลึกจนถึงขนาดที่รับรู้เรื่องรอบตัวได้น้อยลงมากถึงระดับที่คงไม่รู้เลยว่าทุกคนกำลังคุยอะไรกันอยู่

“อ๊ะ! นั่นน้องสาวนายไม่ใช่เหรอทัต”

กระทั่งพลพูดแบบนั้นออกมาพร้อมกับชี้ไปที่ทางออกจากห้อง ซึ่งเห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านไปและหนึ่งในนั้นคือฝ้าย ทัตก็หันขวับตามเสียงนั้นโดยอัตโนมัติราวกับไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจรอบข้างเสียทีเดียว

หรือไม่อย่างนั้น ก็เป็นเพราะสิ่งที่พลพูดคือสิ่งเดียวกับที่ทัตกำลังครุ่นคิดถึงอยู่ เขาถึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบเฉพาะกับเรื่องนี้เท่านั้น

“ทัต!”

เรื่องนั้นชัดเจนมากขึ้นเมื่ออยู่ ๆ ทัตก็ลุกขึ้นแล้วเริ่มจ้ำอ้าวออกจากกลุ่มไปหาฝ้ายที่อยู่ข้างนอกห้องโถงในทันที แม้จะมีเสียงเรียกจากพิมเขาก็ไม่ได้ลดความเร็วหรือหยุดเท้าลงเลย

พิมก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามทัตไปโดยทิ้งกลุ่มเพื่อนให้นั่งงงอยู่ที่เดิม

ส่วนทางด้านของทัตนั้นได้วิ่งตามออกไปจนออกจากห้องโถงหลัก กระทั่งพบกับกลุ่มคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งหลายครบทุกคนตั้งแต่สิน คิว กิฟ เบลและลินดาที่ไปลาดตระเวนด้วยกัน รวมไปถึงมิ้นและคุณหมอนิว

และแน่นอนว่าฝ้ายที่เป็นหัวหน้าของทุกคนเองก็อยู่ด้วย

“พี่ทัต” ฝ้ายสังเกตเห็นทันทีที่ทัตเดินออกมาจากห้องโถงจนมาอยู่ตรงทางเดิน ทุกคนเองก็หยุดเท้าของตัวเองลงด้วย แต่พอเห็นว่าเป็นทัตทุกคนก็เดินต่อทันทีด้วยมารยาทที่คิดว่าทัตคงมีเรื่องอยากคุยกับฝ้ายจึงปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง

แต่ในขณะเดียวกัน การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของทัตก็ทำให้ฝ้ายเอียงคอสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขามีธุระอะไรกับตน

“มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” แน่นอนว่าคิดเองคงไม่ได้คำตอบ เธอถึงได้เอ่ยถามในทันทีที่ทัตเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธอ

“…ก็ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก” ทัตตอบด้วยสีหน้ากังวลไม่เบาและเหมือนจะพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก

อาจเพราะเขารู้สึกว่าคำพูดของฝ้ายกำลังสื่อว่า ‘ปกติแล้วถ้าไม่มีธุระสำคัญ ทัตจะไม่เข้ามาคุยกับฝ้าย’ กระมัง เขาถึงได้รู้สึกผิดขึ้นมาอีกทบจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ฝ้ายเผยความรู้สึกที่มีต่อเขาออกมาเป็นครั้งแรก

“ทำไมที่ผ่านมาพี่ถึงเย็นชากับหนูนักล่ะคะ?” คำพูดนั้นของฝ้ายดังก้องในความคิดของทัต ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดของเขาพอกพูนขึ้นจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี

ในขณะเดียวกัน ฝ้ายเองก็รู้สึกสับสนเพราะไม่รู้ว่าท่าทีของทัตมันหมายความว่าอะไร นั่นจึงยิ่งทำให้บรรยากาศดูเงียบเชียบแต่ก็อึมครึม

“ประชุมเป็นยังไงบ้างเหรอน้องฝ้าย? จากนี้เรามีแผนจะทำอะไรต่อเหรอ?” ต้องขอบคุณพิมที่ตามทัตมาติด ๆ ช่วยต่อบทสนทนาให้ ความกระอักกระอ่วนระหว่างทัตกับฝ้ายเลยลดลงไปบ้าง

“พรุ่งนี้เราจะลาดตระเวนเพื่อหาร่องรอยของพวกพยัคฆ์ฟ้าอย่างที่คิดเอาไว้ค่ะ รวมตัวกันตอนตีห้าของวันพรุ่งนี้ ถ้าพี่ทัตกับพี่พิมอยากไปด้วยก็รีบพักผ่อนแต่เนิ่น ๆ ด้วยนะคะ” ฝ้ายว่าแบบนั้น เป็นแผนที่เข้าใจง่ายกว่าที่คิด นั่นคือเรื่องของหน้าที่ในวันพรุ่งนี้

“โดยเฉพาะพี่ทัตต้องพักผ่อนให้เยอะๆ ด้วยนะคะ ถึงแผลจะหายเร็วกว่าคนทั่วไป แต่ก็ต้องคำนึงเรื่องความสามารถในการสู้รบด้วย เพราะงั้นต้องพยายามให้ร่างกายสมบูรณ์พร้อมร้อยเปอร์เซนต์นะคะ”

แม้จะมีเรื่องของหน้าที่ แต่ฝ้ายก็ไม่เคยลืมสุขภาพของทัตเลยสักนิด เธอยังคงเป็นห่วงทัตอยู่เสมอแม้แต่ตอนนี้เองก็ด้วย ทั้งที่ตัวทัตไม่ค่อยจะแสดงออกว่าเป็นห่วงเธอเลยแท้ ๆ

กับทัตที่เป็นคนแคร์เรื่องพวกนี้มากกว่าปกติจึงยิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นไปอีก สีหน้าของทัตบ่งบอกแบบนั้น

“ฝ้าย… พี่ขอโทษนะ”

“เอ๊ะ? เรื่องอะไรเหรอคะ?”

พอรู้ตัวอีกที คำนั้นก็หลุดออกมาจากปากเสียแล้ว แถมดูเหมือนฝ้ายจะไม่รู้ด้วยว่าทัตทำอะไรผิดกับตน เพราะสำหรับฝ้าย เธอคิดว่าความเย็นชาเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกของทัตมากกว่าจะเป็นเพราะเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ จึงไม่เคยรู้สึกแย่เพราะเรื่องนั้น

แต่สำหรับทัต… เขาที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรออกไป ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ได้รู้ว่าฝ้ายนั้นไม่ได้โกรธเคืองกับพฤติกรรมที่ผ่านมาของตนก็รู้สึกโล่งใจไปครึ่งนึง แต่อีกครึ่งนึงก็ยังยอมรับตัวเองที่เป็นแบบนั้นไม่ได้อยู่

“เปล่าหรอก… ช่างเถอะ”

ทัตพูดพลางส่ายหน้า เพราะถ้าเจ้าตัวไม่ได้ถือโทษอะไร การไปเซ้าซี้คงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความพอใจของตัวทัตเองไม่ใช่เพื่อให้ฝ้ายสบายใจ

…ถึงการตัดบทกลางคันจะทำให้ฝ้ายรู้สึกติดใจและเป็นกังวลมากกว่าเดิมก็ตามที

“…ถ้างั้นก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”

แต่ถึงจะติดใจ ฝ้ายกลับไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอะไรทัตต่อนอกจากตอบกลับตามมารยาท โค้งหัวให้ด้วยความเคารพเหมือนเคยก่อนจะเดินจากไปเพื่อทำงานของตัวเองต่อ

ราวกับไม่ได้สนใจเรื่องของทัต ไม่สิ… ทัตรู้แล้วว่ามันไม่ใช่แบบนั้นจากปากของฝ้ายและไม่คิดว่านั่นเป็นการโกหกด้วย

เพราะงั้นถ้าจะพูดให้ถูก คือฝ้ายชินกับท่าทีกึ่งห่วงกึ่งผ่านของทัตเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกกว่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมก่อนหน้านี้ฝ้ายถึงพูดราวกับตัดพ้อทัตแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่เขาคาใจ

“ดูเหมือนน้องเขาจะไม่ได้คิดมากนะ” ในตอนที่ทัตกำลังกังวลว่ามันเป็นแบบไหนแน่ พิมก็เป็นคนที่พูดขึ้นราวอ่านใจทัตได้อีกครั้ง เธอคงคิดว่าหากได้ความเห็นจากคนนอก ทัตคงเชื่อได้สนิทใจว่าฝ้ายไม่ได้คิดมากกับพฤติกรรมอันแสนเย็นชาของเขาจริงโดยไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง

…ถึงแม้คำตอบของพิมจะมีแนวโน้มไปทางที่เข้าข้างทัตอยู่ดีก็ตาม

แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่ได้ทำให้การเมินความรู้สึกของฝ้ายที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือยอมรับได้อยู่ดี ยิ่งกับทัตที่ยึดมั่นในหลักเหตุผลและเรื่องที่ควรทำด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่

“ให้ตายสิ รู้สึกผิดหวังกับตัวเองชะมัดเลย” ทัตถึงได้บ่นกับตัวเองแบบนั้นด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะพิงหลังตัวเองเข้ากับผนังทางเดินที่อยู่ใกล้ ๆ พิมเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาตาม

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” พิมจึงเดินเข้าไปยืนใกล้ ๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากให้ทัตคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้

“…ฝ้ายออกจะเป็นเด็กดีขนาดนั้น แต่ที่ผ่านมาฉันกลับเย็นชาใส่เธอทั้งที่ไม่รู้อะไรนี่นา” ทัตพูดพลางกอดอกก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วมันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกนะ” พิมพูดปลอบใจในขณะที่ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ทัต หวังไม่ให้เขาคิดมากในเรื่องที่กำลังกังวลอยู่

“จริงอย่างที่เธอพูดนั่นแหล่ะ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันกังวลหรอก”

แต่ดูเหมือนพิมจะคาดการณ์ผิดไป อย่างน้อยก็เป็นในเรื่องประเด็นที่ทัตกำลังกลัดกลุ้มอยู่ ทว่าประเด็นอื่นที่น่าจะเป็นไปได้มันก็ไม่ได้ยากเกินที่พิมจะคาดการณ์นัก

“หืม… นายกังวลเรื่องที่อยากจะลองคุยเรื่องนี้กับฝ้ายสินะ” พิมเอ่ยถามไปอย่างนั้นด้วยความมั่นใจ ทัตที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับทันทีเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอคิดถูก พิมจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? สำหรับคนที่กลัวจะพูดใจจริงกับคนอื่นอย่างนาย ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีเลยนี่นา”

และไม่ใช่เพราะว่าพิมดีใจที่คิดถูก แต่เธอดีใจที่ทัตพยายามทำในเรื่องที่ตัวเองไม่ถนัดเพื่อก้าวไปข้างหน้าต่างหาก

ซึ่งเหตุผลของเรื่องนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพยายามก้าวข้ามบาดแผลในอดีตของตน แต่ว่า…

“ฉันน่ะอยากลองคุยเปิดใจกับฝ้ายดูสักครั้งมาตลอด เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ความรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจนี่คงไม่หายไปซักที รวมถึงความสงสัยที่ว่าเธอมีลับลมอะไรรึเปล่าถึงไม่พยายามตีสนิทฉันทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของฝ้ายเลยแท้ ๆ แต่ว่า… ตอนนี้มันเป็นจังหวะที่เหมาะรึเปล่านะ แล้วอีกอย่างที่ฉันกังวลคือฝ้ายจะยังอยากรู้ใจจริงของฉันอยู่รึเปล่านี่แหล่ะ” ทัตว่าแบบนั้นในขณะเดียวกับที่นึกย้อนไปถึงสีหน้าเรียบเฉยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนของฝ้าย

“ฝ้ายน่ะ… จะว่าไงดี… เธอดูชินกับความตายน่าดู ซึ่งถ้าคิดตามปกติ ลองผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาเกือบ 3 ปี ถ้าไม่ทำใจให้ชินก็คงจะเป็นทุกข์น่าดู แต่นั่นมันจะทำให้เธอกลายเป็นคนเย็นชาไปแล้วรึเปล่านะ”

ทัตว่าแล้วก็เผลอหงายหน้ามองเพดานเหมือนพยายามหาจุดโฟกัสอื่นเพื่อไม่ให้สมองเผลอไปนินทาฝ้าย แต่แน่นอนว่าไม่ได้ผล เพราะทัตเริ่มรู้สึกกลัวไปแล้วว่าน้องสาวของเขาอาจกลายเป็นคนไร้หัวใจ ซึ่งต่อให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก

…แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ความต้องการที่ ‘อยากจะเข้าใจกันและกันเพื่อให้เป็นครอบครัวกันจริง ๆ’ มันอาจไม่จำเป็นสำหรับฝ้ายก็ได้

นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทัตกำลังเป็นกังวลจริง ๆ และเป็นเรื่องที่พิมเองก็ไม่อาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าฝ้ายไม่ใช่อย่างนั้น เธอถึงไม่รู้จะพูดปลอบใจหรือแนะแนวทางอะไรให้ทัตได้ เพราะทั้งสองคนเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าฝ้ายที่รู้จักมาตลอดได้ใช้ชีวิตอยู่อีกด้านหนึ่งมานานหลายปี

จนพวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวจริงของฝ้ายเป็นคนแบบไหนกันแน่

“เรื่องนั้นมันจะเป็นอย่างนั้นจริงรึเปล่านะ”

ในตอนที่รู้สึกสับสนแบบนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงของใครคนนึงดังขึ้นมาจากทางที่ฝ้ายเดินหายไป ทำให้ทั้งทัตและพิมหันไปมองตามเสียงนั้น

และคนที่เดินเข้ามาหาทั้งสองคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคุณหมอนิว

เธอเดินเข้ามาใกล้จนถึงขนาดที่ทัตกับพิมรู้สึกกลัวเลยว่าเธอมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“เรื่องนั้นหมายความว่ายังไงเหรอครับ” แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องที่คุณหมอนิวพูดถึง ซึ่งอนุมานได้ว่าเธอกำลังพูดถึงฝ้าย ทัตจึงให้ความสนใจเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่น

อย่างไรก็ดี คำถามของทัตทำให้คุณหมอนิวแสดงสีหน้ากังวล แต่ก็เผยยิ้มออกมาจากความโล่งใจด้วยสาเหตุที่พวกทัตไม่เข้าใจเหมือนกัน

“เด็กคนนั้น… ถึงจะรับหน้าที่เป็นถึงคนที่คุมเซฟเวอร์ของสาขาตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุ 15 ปีหรอกนะ” คุณหมอนิวว่าในขณะที่กอดอก

“ต่อให้แบกภาระอะไรอยู่ แต่สุดท้ายเธอก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนนึง… เรื่องทุกข์ใจน่ะต้องมีอยู่แล้วล่ะจ่ะ เพียงแต่จะพูดออกมารึเปล่ามันก็เป็นอีกเรื่อง” คุณหมอนิวพูดไปพลาง มือของเธอก็กำชายเสื้อตัวเองแน่นเพราะรู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ ในเรื่องที่ฝากฝังหน้าที่นั้นให้กับเด็กสาวอายุ 15 อย่างฝ้าย

ส่วนเรื่องที่คุณหมอนิวพูดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอาจเป็นแบบนั้น เพราะถ้าฝ้ายเย็นชาถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องเป็นกังวลหรือเรื่องที่ให้ความสำคัญจริง เธอก็คงไม่มีทางแสดงความเป็นห่วงต่อทัตออกมาได้แน่

อาจเพราะแบบนั้นทัตถึงอยากจะเชื่อ… อยากจะเชื่อในรอยยิ้มของฝ้ายในตอนที่เข้าหาเขาด้วยความเป็นห่วงตลอดมา ว่ามันเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริงของเธอ หรือต่อให้มันไม่เป็นแบบนั้น เขาก็จะเป็นคนพิสูจน์เรื่องนั้นเอง

เพราะถ้าหากว่าฝ้ายกำลังเป็นทุกข์อยู่จริงแต่เขากลับไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย ตัวเขาคงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า ‘พยายามที่จะเข้าใจและเป็นครอบครัวเดียวกัน’ กับน้องสาวอย่างฝ้าย

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะหาโอกาสคุยกับฝ้าย” คิดได้ดังนั้นจึงไม่มีตัวเลือกอื่น ทัตถึงได้รับปากกับคุณหมอ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการย้ำกับตัวเองด้วยเช่นกัน

“ผมมีเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับเธอไหมครับคุณหมอ”

แต่ทัตเองก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่เหมือนกัน ซึ่งแม้การฟังเรื่องของคนอื่นจากปากของคนที่ไม่ใช่เจ้าตัวมันจะเป็นการเสียมารยาทคล้ายกับการนินทา แต่ในบางกรณีมันก็ช่วยให้การคุยกันราบรื่นกว่าปกติได้เหมือนกัน

…ยิ่งถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“นั่นสินะจ๊ะ ขอคิดก่อนนะ” คุณหมอนิวเองก็เข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงได้พยายามเค้นสมองเต็มที่ในขณะที่ใช้นิ้วชี้แตะคางอย่างน่ารักเหมือนกับเด็กสาววัยใสทั้งที่ข้างในไม่ใช่

“จะว่าไป ทัตก็ค่อนข้างจะเสียเปรียบอยู่เหมือนกันนะจ๊ะเนี่ย”

“เอ๊ะ? หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

แต่แล้วคุณหมอนิวก็กลับทำให้ทัตรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก ก่อนที่จะสาธยายเหตุผลให้ฟัง

“ก็ฝ้ายน่ะ อยู่ ‘ฝั่งนี้’ มานานแล้วใช่ไหมล่ะจ๊ะ? เพราะงั้นเธอคงมีโอกาสเข้าหาทัตหลายครั้งแล้วนี่นา… เผลอ ๆ ฝ้ายอาจจะรู้จักตัวเธอดีกว่าที่เธอรู้จักตัวเองซะด้วยซ้ำ”

คำพูดของคุณหมอนิวทำให้ทัตตระหนักเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จนเขาเผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความที่เพิ่งจะมาเฉลียวใจเอาป่านนี้

ตัวฝ้ายนั้นบอกว่าเธอเกิดการตื่นและได้รับพลังมาตั้งแต่ช่วงที่เธอเริ่มอยู่ด้วยกันกับทัต ระยะเวลาคร่าว ๆ นั้นเกือบ 3 ปีเห็นจะได้

ด้วยระยะเวลานานขนาดนั้น… ในช่วงกลางคืนแรกที่มีมอนสเตอร์ ฝ้ายย่อมมีโอกาสได้พูดคุยกับทัตอยู่บ่อยครั้งก่อนที่โลกจะถูกย้อนเวลากลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กล่าวคือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ้ายอาจจะรู้จักทัตในหลาย ๆ มุมมองมานานแล้วจึงรู้ลึกไปถึงระดับแนวคิดของทัตโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว นั่นเพราะทัตไม่มีความทรงจำในช่วงที่มอนสเตอร์บุกจนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาที่เขาเพิ่งจะเกิดการตื่น

พอมาคิดดู… สาเหตุที่ฝ้ายเคยชินกับท่าทาง บทสนทนาและอุปนิสัยที่เข้าใจยากของทัตโดยไม่ได้คิดมากหรือถือโทษโกรธเคืองอะไรก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ดี…

“เห… แบบนั้นมันน่าอิจฉาเหมือนกันนะเนี่ย”

ทั้งที่ทัตกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรู้สึกลำบากใจมากยิ่งขึ้นในการเข้าหาฝ้าย พิมก็กลับพูดแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ไม่สิ… ก็แค่ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมากกว่ากระมัง

“เธอเนี่ยนะ…” ทัตเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้ม แต่นั่นก็เป็นเพียงรอยยิ้มแห้ง ๆ เท่านั้น เพราะถ้าสถานการณ์กลับกันเป็นเขากับพิมแทน ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธออยู่

แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่พิมพูด จะไม่ได้หมายความตามที่พูดเพียงอย่างเดียว

“แต่ว่านะ… ระยะเวลาและโอกาสพวกนั้น มันมากพอจะทำให้เราตัดสินใจจะชอบหรือเกลียดใครสักคนได้เลยไม่ใช่เหรอ” พิมพูดแบบนั้นออกมาทำให้ทัตเข้าใจสิ่งที่เจ้าตัวตั้งใจจะสื่อแต่แรก

“เพราะแบบนั้นแหล่ะมั้ง ฉันเลยคิดว่ามันสายไปแล้วที่จะต้องมานั่งกังวลเรื่องนี้น่ะ”

พิมว่าแล้วก็ยิ้มแฉ่ง ดูเหมือนในท้ายที่สุดก็เป็นเธอตลอดที่คอยชี้ทางให้กับทัต

ระยะเวลาและโอกาสจำนวนมากที่ฝ้ายมีต่อทัต… สิ่งที่พิมพูดนั้นไม่ได้หมายความถึงโอกาสในการสืบเสาะหาข้อมูลของทัตเพื่อให้รู้นิสัยใจคอเพียงอย่างเดียว แต่ผลที่สืบเนื่องต่อกันมาจากการที่ได้รู้จักตัวตนจริง ๆ ของใครสักคน นั่นคือในส่วนลึกของจิตใจของเราจะตัดสินว่าเราจะเกลียดหรือชื่นชอบคน ๆ นั้นมากน้อยเพียงใด

เพราะแบบนั้น บางทีฝ้ายในตอนนี้อาจรู้เรื่องของทัตมากพอจนตัดสินใจไปแล้วว่าเกลียดหรือชอบทัต

หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าทัตเป็นครอบครัวของตนหรือไม่เองก็เช่นเดียวกัน

ดังนั้น ที่ทัตต้องทำจึงไม่ใช่แค่การพูดคุยเปิดใจเพื่อให้เข้าใจกันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการถามคำตอบที่มีอยู่แล้วของฝ้ายมากกว่า

ดับเครื่องชนไปเลยสินะ

ทัตคิดแล้วก็ได้ข้อสรุปแบบนั้นโดยไม่มีการลังเลอีก

“พิมพูดถูกแล้วล่ะจ่ะ” คุณหมอนิวเองก็เห็นพ้องด้วยจึงพยักหน้ารับอย่างสบายใจ เพราะอย่างน้อยจุดประสงค์ที่ปรากฏตัวขึ้นก็ลุล่วงแล้ว

“แล้วอีกอย่าง… คิดว่ายังไงทัตก็มีแต้มต่อเยอะอยู่เหมือนกันนะจ๊ะ”

“หืม?” คำพูดของคุณหมอนิวทำให้ทัตแปลกใจอีกครั้ง แต่หนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนั้น

“นั่นสินะ ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าน้องฝ้ายคิดยังไงกับทัตกันแน่ แต่ก็คงไม่ได้เกลียดแน่ ๆ ล่ะเนาะ”

พิมเองก็พูดแบบนั้นด้วย บางทีนี่คงเป็นสิ่งเดียวกับที่คุณหมอนิวพยายามจะบอก เธอถึงพยักหน้าในจังหวะเดียวกับที่พิมพูด

ซึ่งพอมานึกดูมันก็จริงตามที่ทั้งสองคนพูด… ที่ผ่านมาทัตก็สัมผัสได้ว่าฝ้ายไม่ได้เกลียดตนแน่ ๆ ถึงแสดงความเป็นห่วงมาตลอดในทุก ๆ สถานการณ์ที่ทำได้ อย่างน้อยเขาก็อยากจะเชื่อแบบนั้น

“ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาแล้วสินะจ๊ะ… ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ มีงานที่ต้องคุยกับฝ้ายต่อด้วย เพราะงั้นขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ยังคุยไม่ได้ตอนนี้” คุณหมอนิวพูดแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ

“ไม่หรอกครับ แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว ขอบคุณนะครับ” ทัตกล่าวพร้อมกับค้อมหัวให้ เขาไม่ลืมที่จะพนมมือให้ตามมารยาทด้วย

แล้วคุณหมอนิวก็โบกมือลาเดินออกไปในทิศทางเดิมที่เธอเดินออกมา เหลือไว้แต่ทัตกับพิมแค่สองคนเหมือนเคย

“ว่าแต่ อะไรทำให้นายคิดจะคุยกับฝ้ายเหรอ?” พอเหลือกันอยู่สองคนและเป็นจังหวะที่ความกังวลคลี่คลายลง พิมเลยถือจังหวะถามสิ่งที่สงสัย เพราะในมุมมองของเธอ แม้เรื่องนี้จะทำให้ทัตเป็นกังวล แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คิดอยากจะเอาชนะปัญหาเรื้อรังนี้

“ไม่ต้องเครียดมากก็ได้นะ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา” พิมเอ่ยแบบนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานน่าดู ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะความเป็นห่วง และคงเป็นห่วงมาตลอดด้วยตั้งแต่เริ่ม

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะพิมรู้ว่ามันเป็นปัญหาที่ทำให้ทัตลำบากใจเป็นอันดับหนึ่งมากยิ่งกว่าการเอาชีวิตรอดในคืนที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวเสียด้วยซ้ำ เธอถึงได้เป็นห่วงว่าทัตจะฝืนทำอะไรเกินตัวรึเปล่า?

แต่ทัตที่ได้รับความเป็นห่วงนั้นมากลับเบือนหน้าหลบพิมไปแวบนึง ซึ่งพิมเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นไปทำไมจนต้องกระโดดโหยง ๆ ไปอีกด้านเพื่อมองด้วยความหงุดหงิด

แล้วก็พบเข้ากับใบหน้าที่แดงก่ำไปจนถึงหูของทัต

“ก็… ถ้าไม่รู้จักพัฒนาบ้าง เดี๋ยวจะมีคนเบื่อฉันไปซะก่อนน่ะสิ”

ทัตเอ่ยแบบนั้นด้วยเสียงที่เบาเอาเรื่องแถมยังพยายามมองลงต่ำเพื่อหลบหน้าพิมที่อุตส่าห์พยายามมอง แต่การทำแบบนั้นมันกลับทำให้พิมรู้สึกอายตามไปด้วย ใบหน้าของเธอจึงถูกย้อมเป็นสีเดียวกับทัตราวกับถูกแต้มสีจากเขา

พิมที่เห็นแบบนั้นเข้าก็เผลอหลบหน้าทัตตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ

แต่พอตั้งสติได้และเริ่มจับใจความเสียใหม่ ความดีใจก็เข้ามาแทนที่ความประหม่า

เพราะอย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้พิมได้รู้… ว่าจริง ๆ แล้วทัตเองก็กลัวว่าพิมจะเลิกสนใจเขาอยู่เหมือนกัน

❖❖❖❖❖

เนื่องจากฝ้ายมีงานที่ต้องทำก็เลยไม่ได้อยากกวนใจ เรื่องที่จะคุยกันจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน

นี่ไม่ได้หาข้ออ้างที่จะไม่คุยหรือพยายามจะยืดเวลาหรอกนะ

ก็แค่สถานการณ์มันไม่เหมาะที่จะคุยเท่านั้นเอง

เพราะงั้นก็เลยไปทำงานอาสาสมัครต่อกับพิมจนกระทั่งจบวัน

แถมฝ้ายเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่าให้เราใช้เวลาพักผ่อนให้มาก ๆ

ถ้าไม่ทำตาม ฝ้ายก็อาจจะใช้เป็นข้ออ้างไม่ให้เราไปลาดตระเวนอีกก็ได้

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เลยต้องทำตามที่ฝ้ายแนะนำไว้ก่อน

เวลาส่วนใหญ่เลยเอาไปนอนพักบวกกับเรียบเรียงเรื่องที่จะคุยกับฝ้าย

กระทั่งยามเช้าซึ่งเป็นวันที่ 2 ได้เริ่มขึ้นจึงต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่

เพราะสิ่งที่รอพวกเราอยู่ก็คือ การลาดตระเวนและตามหาที่อยู่ของพวกพยัคฆ์ฟ้า

❖❖❖❖❖

เมื่อถึงเวลานัดหมายออกเดินทาง ทัตกับพิมก็ไปรวมตัวกันที่ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาลเช่นเดียวกับเมื่อวาน แต่ที่แตกต่างคือจำนวนและประเภทของผู้มีพลังที่ไม่ได้มีแค่ระดับหัวหน้าหน่วยย่อยขึ้นไป แต่มีระดับสมาชิกทั่วไปติดตามมาด้วย รวมกับทัตและพิมแล้วมีจำนวนราว 20 คนได้

จากจำนวนที่มากกว่าเมื่อวาน น่าจะสอดคล้องกับจำนวนของศัตรูด้วย นี่จึงทำให้บรรยากาศของขบวนลาดตระเวนดูตึงเครียดมากกว่าเมื่อวานจนเทียบกันไม่ติด เพราะแม้จะไม่ต้องพูด แต่ทุกคนก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าการยกพลครั้งนี้จะนำไปสู่ศึกระหว่างกลุ่มของเซฟเวอร์กับพยัคฆ์ฟ้า

หรือพูดให้ง่ายเข้าคือ… มันจะนำไปสู่สงคราม

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทุกคนตึงเครียด ไม่สิ… กังวลและหวาดกลัวกันหมด

เพราะถ้าเทียบกับการสู้กับมอนสเตอร์ ต่อให้พวกมันมาเป็นกลุ่มแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับจำนวน แถมการสู้กับผู้มีพลังด้วยกันก็ยังมีเรื่องของเลเวลและคลาสอาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้การคาดคะเนผลลัพธ์ทำได้ยากกว่า ว่าไปแล้วอาจจะยากกว่าการต้องสู้กับบอสมอนสเตอร์เสียด้วยซ้ำ

แต่จุดที่ยากที่สุดสำหรับเหล่าเซฟเวอร์อาจจะเป็นการที่อีกฝ่ายคือมนุษย์ก็ได้

อย่างที่รู้ว่ากฎขององค์กรคือการช่วยเหลือมนุษย์และห้ามสังหารมนุษย์ด้วยกันนอกเสียจากว่ามันเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ อาทิเช่นอุบัติเหตุหรือทำไปเพื่อป้องกันตัว ซึ่งในกรณีที่กำลังจะเผชิญหน้ากับสงครามเต็มรูปแบบเช่นนี้เป็นเรื่องที่เลี่ยงทำให้ถูกกฎได้ยากเสียเหลือเกิน

นอกเหนือไปจากนั้น คือเรื่องของศีลธรรมที่พวกเขายึดถือ… เพราะอย่างน้อย ๆ ผู้ที่เข้าร่วมกับเซฟเวอร์ส่วนใหญ่ก็ต้องมีคุณธรรมประจำใจอยู่ในระดับหนึ่งถึงยอมเสียประโยชน์ตัวเองแลกกับการทำอะไรตามใจตัวเองแบบที่พวกนอกคอกทำ

ก็จริงที่มันกลายเป็นสิ่งผูกมัดให้เซฟเวอร์ไม่กล้าฆ่าคนจนกลายเป็นข้อเสียเปรียบเมื่อเทียบกับพวกอันธพาลทั้งหลาย แต่พวกเขาต่างก็ชั่งน้ำหนักสิ่งนั้นกับความเป็นมนุษย์ดูแล้วคิดว่ามันคุ้มค่า ถึงได้ไม่คิดลงมือกับมนุษย์ด้วยกัน

…แม้มันจะทำให้พวกเขาอยู่ในจุดที่ยากลำบากในการเอาชีวิตรอดในโลกอันโหดร้ายก็ตามที

แต่ถึงแบบนั้น มาตรการตอบโต้ก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือมาตรการยับยั้งไม่ให้คนพวกนี้ไปทำร้ายคนธรรมดารวมถึงผู้มีพลังคนอื่นตามใจชอบ

นั่นถึงเป็นเหตุผลให้พวกทัตต้องตามหาฐานที่มั่นของพยัคฆ์ฟ้าเพื่อไปสั่งสอนพวกมันไม่ให้เหิมเกริมมากไปกว่านี้

หลังจากที่ขบวนรถเดินทางมาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งเดียวกับเมื่อวาน ทั้งกลุ่มก็ถูกแบ่งออกเป็นคู่แล้วกระจายกำลังกันค้นหาร่องรอยของพวกมันเป็นรัศมีกว้างออกไปจนกว่าจะเจอ

การจัดกลุ่มถูกแบ่งตามความสมัครใจของแต่ละคน ซึ่งโดยปกติทุกคนก็มีคู่กันอยู่แล้วจากการเข้าเวรหรือทำงานจิปาถะต่าง ๆ แต่โดยปกติแล้วจะไม่ให้เด็กใหม่จับคู่กันเองเพราะไม่รู้วิธีรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ของเซฟเวอร์ อย่างเช่นการใช้แอปพลิเคชันของเซฟเวอร์ในการมาร์คจุดให้กลุ่มอื่นรู้ในตอนลาดตระเวน หรือการใช้สัญญาณพลุสีขาวเพื่อขอความช่วยเหลือจากกลุ่มที่อยู่ในระยะ ทั้งหมดต่างก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทัตกับพิมจึงต้องแยกกลุ่มกัน

ทางด้านของพิมนั้นได้ไปอยู่กับลินดาที่เป็น Mage ส่วนทัตนั้นได้ไปจับคู่กับฝ้ายที่เป็นหัวหน้าหน่วยหลัก แล้วก็ได้ทำการใช้สกิลพรางกายก่อนที่จะแยกกันค้นหาตามแผน

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทัตกับฝ้ายกำลังเดินอยู่บนทางเท้าข้างถนนหลักในเมืองกันแค่สองคน

ตอนนี้ทั้งคู่กำลังหยุดยืนและมองไปรอบ ๆ เพื่อพยายามมองหาสิ่งที่น่าจะมีประโยชน์ ทว่าตั้งแต่เริ่มค้นหามาสองชั่วโมงก็ไม่ได้พบสิ่งของหรือร่องรอยอะไรเลย

“ไม่ค่อยมีมอนสเตอร์เท่าไหร่เลยนะ” ทัตตั้งข้อสังเกตแบบนั้นเมื่อเทียบกับเวลาเดียวกันของเมื่อวาน

“มอนสเตอร์มีแนวโน้มจะอยู่ใกล้กับจุดที่มนุษย์อยู่ค่ะ แถว ๆ นี้คนน่าจะไม่เหลือแล้ว พวกมันเลยเดินตามรอยไปหากลุ่มคนที่อยู่ใกล้ที่สุดแทนน่ะค่ะ” ฝ้ายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เองก็ได้ยินเหมือนกัน เธอถึงได้หันมาตอบทัตทั้งที่ความจริงแค่พูดออกมาก็เพียงพอ

“แบบนี้ที่ศูนย์อพยพเองก็เสี่ยงอยู่น่ะสิ” ทัตตอบแบบเกรง ๆ ในจังหวะที่ถูกฝ้ายจ้องตา

“นั่นเลยเป็นเหตุผลที่คุณมิ้นและคนอื่น ๆ ต้องอยู่ประจำศูนย์อพยพยังไงล่ะคะ”

“อย่างนี้นี่เอง”

ได้คำตอบที่ชัดเจนทีเดียวทำให้ทัตพยักหน้ารับ และเพราะได้คำตอบแล้วเขาเลยเบือนหน้าหลบฝ้ายอย่างเป็นธรรมชาติได้เสียที

แต่ดูเหมือนท่าทางที่ตัวทัตคิดว่าแนบเนียนจะไม่รอดพ้นสายตาของฝ้ายไปได้ เธอถึงได้หรี่ตาลงครึ่งนึงในขณะที่จ้องทัตไม่วางตา รวมกับท่าทางแปลก ๆ ของทัตเมื่อวานทำให้ฝ้ายพยายามเค้นความทรงจำออกมาว่าอะไรทำให้ทัตเป็นแบบนั้น

“ที่พี่หลบหน้าหนู เป็นเพราะเรื่องที่หนูพูดเมื่อวานเหรอคะ” หลังเค้นหาคำตอบเต็มที่ ฝ้ายก็คิดว่าเรื่องนี้คงเป็นสาเหตุ เพราะเป็นครั้งเดียวที่เธอเผลอพูดความในใจเกินจำเป็น และการได้รู้แบบนั้นทำให้ฝ้ายรู้สึกกังวลมากทีเดียว

“หนูพูดไปไม่ทันคิด… หนูไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่หรอกค่ะ ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะ”

เธอพูดแบบนั้นพร้อม ๆ กับที่เดินเข้ามาใกล้ จำให้ทัตต้องหันกลับมามองฝ้ายอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้

น้ำเสียงของเธอดูกังวลมาก ทั้งยังแฝงด้วยความเกรงใจทั้งที่ปกติก็มีมาตลอด แต่ครั้งนี้มันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แถมฝ้ายยังค้อมหัวให้อีกต่างหาก ไม่บ่อยนักจะได้เห็นฝ้ายแสดงความเกรงใจขนาดนี้

ซึ่งถ้าจะให้พูด… มันก็จริงที่สิ่งที่ฝ้ายพูดคือสิ่งที่ทำให้ทัตกังวล แต่สิ่งที่ทำให้ทัตกังวลไม่ได้อยู่ที่ตัวคนพูดอย่างฝ้าย แต่เป็นตัวคนที่ถูกพูดถึงอย่างตัวเขาเองต่างหาก

“อย่าขอโทษพี่เลย… เพราะคนที่ผิดคือพี่ต่างหาก ที่พี่ขอโทษฝ้ายเมื่อวานก็คือเรื่องนี้แหล่ะ พี่ขอโทษนะฝ้าย” ทัตเอ่ยแบบนั้นพร้อมกับค้อมหัวคืนให้

“มะ ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ หนูไม่ได้โกรธพี่ซะหน่อย” แต่พอถูกทำแบบนั้นฝ้ายกลับปฏิเสธทัตเสียนี่ แถมด้วยท่าทางที่กระวนกระวายเอาเรื่อง เหตุการณ์มันซ้ำซ้อนกับเมื่อวานจนทัตอดคิดไม่ได้เลยว่าน้องสาวคนนี้จะเกรงใจอะไรตนหนักหนา

“ไม่… ให้พี่ได้ขอโทษเถอะ เพราะยังไงพี่ก็เป็นคนผิด”

“พี่คะ…”

แต่เพราะเกรงใจเกินไปนี่แหล่ะถึงได้สื่อใจไม่ถึงกันเสียที… ตัวทัตที่เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้โดยไม่ได้แสดงออกมากับทั้งพ่อและแม่ใหม่จนกลายเป็นเก็บกดไปคือตัวอย่างหนึ่ง และเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับฝ้าย จึงต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างเสียที

และนั่นก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมาให้หมด

“ที่พี่ไม่ค่อยใส่ใจเวลาเราพูดด้วยหรือพยายามเข้าหา จะมองว่าเย็นชามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก… ส่วนนึงก็เป็นเพราะบุคลิกของพี่ แต่หลัก ๆ ก็เป็นเพราะพี่มีปัญหาที่ยังคาใจอยู่มากกว่า” ทัตว่าพลางยักไหล่

เขาพูดหมดเปลือกแต่ไม่ได้ชี้ชัดเรื่องปัญหา เพราะแม้จะเป็นตอนนี้เขาก็ยังกลัวจะพูดเรื่องนั้นตรง ๆ อยู่ดี ฝ้ายจึงมองเขาด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้ละความสนใจไปจากสิ่งที่ทัตพูด

“แต่ถึงพี่จะไม่ได้พูดออกมา พี่ก็ดีใจอยู่ตลอดนะที่เราเป็นห่วงพี่น่ะ… ทั้งตอนที่อุตส่าห์มาเยี่ยม หรือห้ามไม่ให้ออกไปลาดตระเวนเพราะห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บเองก็ด้วย” ทัตพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มให้ฝ้ายแบบอ่อน ๆ ดูเหมือนนั่นจะมากพอให้ฝ้ายเอียงอายได้เหมือนกัน

“นั่นแหล่ะที่พี่อยากพูด… ฝ้ายไม่เคยทำให้พี่โกรธหรือเกลียดอะไรหรอกนะ ทางพี่ต่างหากที่กังวลว่าจะทำให้ฝ้ายรู้สึกลำบากใจรึเปล่า”

“…เป็นแบบนั้นเองสินะคะ”

คำพูดของทัตทำให้เรื่องที่ฝ้ายสงสัยคลี่คลายไปได้ส่วนนึง อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าทำไมทัตถึงกังวลกับเรื่องที่ฝ้ายพูด และการได้รู้ว่าพี่ชายของเธอเองก็เห็นแก่ความรู้สึกของเธอเหมือนกัน มันก็ทำให้สาวน้อยคนนี้ดีใจอยู่ไม่น้อย

“เพราะงั้นต่อจากนี้ถ้าพี่ทำให้ฝ้ายรู้สึกลำบากใจ พี่จะดีใจมากถ้าฝ้ายยอมบอกพี่ตรง ๆ แบบไม่เกรงใจกันน่ะ”

ทัตพูดแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ออกมาอีกรอบ นั่นทำให้ฝ้ายรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แต่สีหน้าที่แสดงออกมาก็มีแค่แก้มที่แดงระเรื่อเท่านั้น

“คะ ค่ะ…” นอกเหนือจากนั้นคืออาการที่ฝ้ายพยายามหลบหน้าทัตลงไปมองพื้นแทน ด้วยส่วนสูงที่น้อยกว่าทำให้ทัตไม่เห็นใบหน้าและรอยยิ้มของเธอในตอนนี้ ซึ่งนั่นก็เป็นการจงใจของฝ้ายนั่นแหล่ะ

แต่อย่างไรก็ดี… พอตั้งสติได้เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าทัตยังไม่ได้บอกเธอทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เธออยากรู้ที่สุดและไม่เคยรู้จากทัตมาก่อนเลย

“นี่ พี่คะ” ฝ้ายเลยกลั้นใจพูด แต่ก็ยังคงใช้น้ำเสียงที่เกรงใจไม่เปลี่ยน

“ปัญหาคาใจที่พี่ว่า คือเรื่องเดียวกับที่แคลงใจหนูรึเปล่าคะ”

ฝ้ายถามแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย… แต่ดวงตาของเธอสั่นระรัวเอาเรื่อง คิดว่าในใจเธอคงหวั่นไหวไม่น้อยที่ถามเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ

แต่ว่า ที่ถามแบบนี้… แสดงว่าฝ้ายเองก็คงรู้ว่าเราไม่ค่อยไว้ใจเธออยู่สินะ

ทัตคิดแบบนั้น เพราะคิดเป็นอื่นไม่ได้

แต่พอได้ยินคำถามนั้น ทัตก็เริ่มรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องขึ้นมาอีกครั้ง ดูท่าเขาอาจจะฝืนเกินไปแบบที่พิมเป็นห่วงก็เป็นได้

ทว่า… ในตอนที่กำลังลังเล ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ้ายเห็นว่าทัตรู้สึกลำบากใจกับสิ่งที่ถาม เธอเลยเดินเข้ามาใกล้ทัตมากขึ้น

“ถ้าเป็นเรื่องที่หนูแก้ไขได้ หนูก็อยากทำให้พี่ค่ะ… เพราะงั้นพี่เองก็คุยกับหนูได้ทุกเรื่องเหมือนกันนะคะ” ฝ้ายพูดพลางยกมือขึ้นทาบอกราวกับจะบอกว่าเธอแคร์เรื่องนี้และเป็นห่วงทัตมากแค่ไหน

รู้แบบนั้นทัตเลยรู้สึกดีใจขึ้นมา อย่างน้อย ๆ ก็โล่งใจที่ฝ้ายยังไม่เกลียดเขาจากการกระทำที่ผ่านมา

“ขอบใจนะ… ถ้ามีโอกาสเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง”

ทัตพูดแล้วก็ยิ้มให้ฝ้ายอีกครั้ง นี่น่าจะเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดที่ฝ้ายเคยได้จากทัตเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเผยความรู้สึกจริง ๆ ออกมาต่อหน้าเธอ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนกับเป็นการเบี่ยงประเด็นด้วย เพราะอย่างน้อย ๆ ทัตก็ยังไม่กล้าจะพูดออกมาตอนนี้

ก็จริงที่มันน่าแปลกใจสำหรับตัวทัตเองในประเด็นที่ว่า ‘ที่ผ่านมาในตอนที่กลางคืนที่มอนสเตอร์บุก เราไม่เคยหลุดปากคุยกับฝ้ายเรื่องนี้เลย’ จึงอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนหัวแข็งขนาดไหน

แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เท่าไรนัก เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดเผยเรื่องนั้นให้ฝ้ายรู้ เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น ซึ่งฝ้ายเองก็เข้าใจถึงได้พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ว่าไปแล้วเธอก็น่ารักไม่เบาที่ทั้งว่าง่ายและเป็นห่วงทัตขนาดนี้

เพราะถ้าฝ้ายไม่ใช่คนแบบนี้ ทัตเองก็คงไม่กล้าพูดเรื่องของตัวเองให้ฟังเหมือนกัน

“ถ้างั้นเราทำงานกันต่อดีกว่านะ”

“ค่ะพี่”

พอทัตว่าแบบนั้นฝ้ายก็ตอบรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่กว้างเอาเรื่อง ดูท่าเธอจะดีใจไม่น้อยที่ทัตพูดเรื่องของตัวเองให้ฟังอย่างที่เธออยากรู้มาตลอด ซึ่งอย่างน้อยเธอก็คงจะโล่งอกที่ทัตไม่ได้โกรธอะไรเธอแถมยังเป็นห่วงความรู้สึกของเธอมากกว่าที่คิดอีก นี่คงเป็นจุดที่เหมือนกันของพี่น้องสองคนนี้

และถึงจะเล็กน้อย แต่นี่ก็ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนแคบลงไปด้วย ทั้งสองคนสัมผัสเรื่องนั้นได้โดยที่ไม่ต้องยืนยันกับอีกฝ่าย

“อ๊ะ”

นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีเสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้น ดูเหมือนจะเป็นของฝ้ายเธอถึงรีบหยิบออกมาจากกระเป๋ากระโปรงของเธอ

“ค่ะ… งั้นเหรอคะ เข้าใจแล้วค่ะ…”

สีหน้าของเธอดูจริงจังและตึงเครียดขึ้นมาราวกับเป็นคนละคน อย่างน้อยนั่นก็ทำให้ทัตเห็นว่าเรื่องที่ถูกแจ้งมาท่าจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล

ทางด้านฝ้ายนั้นพอฟังเนื้อหาจบแล้วก็เลิกการติดต่อไป ก่อนจะหันมาหาทัตด้วยสีหน้าที่จริงจังน่าดู

“เจอฐานใหญ่ของพวกพยัคฆ์ฟ้าแล้วล่ะค่ะ”

ฝ้ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือกแต่คิ้วกลับขมวดแน่น เช่นเดียวกับทัตที่ทำสีหน้าอย่างเดียวกันหลังได้ยินแบบนั้น

❖❖❖❖❖