ตอนที่ 143 เขวี้ยงดาบสังหาร
“เจ้าเข้ามา!”
คำพูดนี้ดังกึกก้องในตำหนักใหญ่บนฟ้าของสุสานภูเขาแดง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
สวีชิงเยี่ยนมองไปในฝุ่นด้วยความเห็นใจ ตอนที่หนิงอี้เอ่ย ยอดปีศาจกิเลนที่ถือดักหักสองข้างลงเหมือนจะพุ่งออกมาแล้ว ทั้งตัวสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
เจียงหลินหน้าเขียวอมแดง
คำพูดของหนิงอี้เสียดสีและร้ายกาจอย่างยิ่ง
‘เจ้าเจียงหลินคือขยะ คือความอัปยศและพวกขี้แพ้ของใต้ฟ้าต้าสุย…เจ้าคือตัวตลกของเผ่ากิเลน เด็กกำพร้าของแดนอุดร…’
เขาเจียงหลินผู้ยิ่งใหญ่ไหนเลยจะเคยโดนดูถูกเช่นนี้ แต่ที่นี่ดันผนึกแสงดารา ปราณกระบี่พินิจเหมันต์ในกายเขา เดิมทีต้องถูกกำราบไว้ คำพูดพวกนี้เหนี่ยวนำกดดันให้จิตใจเขาสั่นไหว ปราณกระบี่พวกนั้นจึงโต้กลับมาอีกครั้ง
ดวงตาเจียงหลินเย็นชาสุดขีด เขาจ้องหนิงอี้
“ยังมีแรงเหลือหรือไม่”
คำพูดนี้เพิ่งเอ่ยจบ
“มีได้ แต่ไม่จำเป็น” หนิงอี้พิงผนังหิน เปลี่ยนเป็นท่าทางสบายๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ด่าคนเดิมทีเป็นเรื่องที่น่าสนุกอยู่แล้ว แต่เจ้าไม่ใช่คน เจ้าเป็นปีศาจ ดังนั้นเรื่องนี้เหมือนจะไม่ได้สนุกอย่างที่ข้าคิด”
เจียงหลินก้มหน้าลง แรงกำด้ามดาบเพิ่มขึ้นทีละนิด เส้นเลือดปูดขึ้นมาแล้วก็สงบลง
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกได้ถึงพลังไร้รูป พัดฝุ่นควัน ระยะห่างระหว่างสองคนแค่สิบกว่าจั้ง อยู่ใกล้แค่เอื้อม พริบตาเดียวก็ไปถึง นางกังวลมากว่าปีศาจนี่จะพุ่งเข้ามาได้ตลอดเวลา
ทว่าเจียงหลินไม่ได้พุ่งเข้ามา คำพูดสาดเสียเทเสียมากขนาดนี้เข้าถึงหูเขา อาจจะเพราะชินกับหนิงอี้แล้วเขาเลยไม่โกรธอีก แต่เอ่ยเสียงเบาๆ
“เจ้าไม่มีแรงแล้ว”
หลังจากเงียบไปนานมาก
“ดังนั้นถึงได้บอกว่าเป็นสายเลือดสูงส่ง ไม่ธรรมดาจริงๆ” หนิงอี้ปลงจากใจจริง “เหตุใดเจ้าถึงไม่เหมือนกับคนอื่น เหตุใดถึงอยากโดนด่าขนาดนี้ คนคือคนออกจากท้องแม่เขา ปีศาจคือปีศาจออกจากท้องแม่เขา…หากบุพการีที่ตายไปของเจ้ารู้ว่าวันนี้เจ้าขอร้องให้ข้าหยามเหยียดพวกเขา จะโกรธจนโดดออกมาจากสุสานโบราณกิเลน มาตบลูกไม่รักดีอย่างเจ้าตายหรือไม่”
หน้าอกเจียงหลินขยับขึ้นลง กัดฟัน สุดท้ายเพียงแค่เงียบ จ้องหนิงอี้เขม็ง
เดิมทีเจียงหลินจะอดทน
เขาจะรอให้หนิงอี้พูดจบ ใช้แรงที่เหลือนั่นให้หมด มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีแรงเหลือจริงๆ แล้ว…ในมือเขายังมีดาบหักแหลมคมอยู่ คมของดาบล่าวารี ด้วยแรงของหนิงอี้ตอนนี้ไม่มีทางต้านไว้ได้ เขาไม่มีทางกางร่มกระดาษมันนั้นได้อีก และไม่มีสิ่งใดต้านดาบนี้ได้
จากนั้นเจียงหลินพบว่าตนคิดผิด
คำหยามเหยียดชุดใหม่เริ่มแล้ว
นี่เป็นอาวุธสังหารที่หนิงอี้ใช้รับมือกับเจียงหลิน
ทุกคำพูดของหนิงอี้แฝงความชั่วร้ายเกินกว่าจินตนาการของเจียงหลิน…ยอดปีศาจกิเลนยากจะเข้าใจได้ว่าเด็กหนุ่มต้องออกมาจากภูเขายากจนสายน้ำชั่วช้าเพียงใดถึงได้ชำนาญวิชาการด่าที่ไม่ซ้ำกันได้หลากหลายเช่นนี้ ตั้งแต่สายเลือดเผ่ากิเลนไปจนถึงข่าวอื้อฉาวของบุพการีตน เอาตำรับตำรามาอ้างอิง ไม่มีคำหยาบ แต่ทุกคำไม่ซ้ำกัน ไม่มีเค้าโครงในใจ แต่คิดได้ก็พูดออกมา
เต็มไปด้วยความชั่วร้ายบริสุทธิ์
ความรู้สึกที่เรียกว่าโกรธผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ เจียงหลินทำได้แค่อดทน แต่เมื่อความอดทนไม่อาจหยุดยั้งความโกรธนี้ได้ สติปัญญาเขายังอยู่ จิตสำนึกสุดท้ายบอกเจียงหลินว่า
ต้องรอให้หนิงอี้พูดจบ แต่เขาทำไม่ได้
“พอแล้ว!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธหุ้มด้วยพายุคลั่งรุนแรงยิ่ง ดังมาจากหน้าอกของเจียงหลิน
ยอดปีศาจหนุ่มคนนี้ไม่ได้รอโอกาสที่ดีที่สุดก็ออกมือ
เขายกแขนขึ้นและฟาดลง เร็วจนเหมือนเงาร่างหนึ่ง ดาบล่าวารีครึ่งหนึ่งพลันพุ่งเข้าที่หน้าอกของหนิงอี้
ฝุ่นควันเต็มฟ้าอยู่ระหว่างเส้นเดียว
ทั้งโลกพลันเงียบลง
เสียงของหนิงอี้เงียบลง
เพราะวิชาดาบของเจียงหลินดีมาก เล็งที่หัวใจตรงหน้าอกหนิงอี้อย่างแม่นยำ
ชุดคลุมดำฉีกขาด
…..
สวีชิงเยี่ยนหน้าซีดขาว ตรงแก้มนางมีเลือดหยดสองหยดกระเด็นมา
ชุดคลุมดำขาด แตกกระจายตรงหน้าอกหนิงอี้
เลือดหยดสองหยดนั้นที่กระจายมาเป็นสีทองดำ เป็นตอนที่เจียงหลินถือล่าวารี เพราะความโกรธจึงออกแรงมากเกินไป ทำให้ฝ่ามือถูกบาด ติดอยู่ที่หน้าดาบนี้
ตอนนี้หน้าดาบปักเข้าหน้าอกหนิงอี้
ทั้งสุสานภูเขาแดงเงียบสงัด
เสียงปลงของหนิงอี้ ลมหายใจเหมือนเส้นสายไหลเวียน มีความแหบสิบส่วน รวมถึงความเจ็บปวดร้อยส่วน ดังขึ้นอย่างยากลำบาก
“ที่แท้เจ้าก็ยังมีแรง…”
หนิงอี้ที่พิงผนังหิน ข้างหลังแตกเป็นใยแมงมุมคดเคี้ยว ล่าวารีนั้นพุ่งเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม ปราณดาบลากผ่าน ผนังหินแตกกระจาย
สีแดงอมเขียวบนหน้าเจียงหลินถอยไปช้าๆ หอบหายใจแรง จ้องเด็กหนุ่มที่ชิดผนังหิน ตรงหน้าอกแตกเป็นดอกไม้สีดำ
อาภรณ์แตกสีดำคือดอกไม้
ตัวดาบเรียบทองเงินที่ปักเข้าไปแค่ตรงปลายนั้นเหมือนผึ้งมาเก็บน้ำหวาน
และใต้อาภรณ์ดำแตกของหนิงอี้ สิ่งที่ปกป้องหัวใจไว้คือเกราะเกล็ดเล็กสีเงินอมดำที่เปื้อนฝุ่น หลังอาภรณ์ดำขาด สิ่งที่หนีบคมดาบล่าวารีไว้ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นเกราะเกล็ดตัวนี้
ก่อนมาแดนอุดร เด็กสาวเคยให้เกราะอ่อนเบาหลังปรับปรุงมา ตอนนี้อาภรณ์สีดำเหมือนกลีบดอกไม้ กระจายออกไปรอบๆ หลังแตกก็เผยเกราะอ่อนแนบกาย ‘เกล็ด’ เล็กและยาวแกว่งไกวกลางสายลม ปราณดาบตัดสลับ หนิงอี้เหมือนคลุมด้วยน้ำตกแสงเกล็ดปลา แสงอ่อนส่องสว่าง เสียงปะทะกับตัวดาบล่าวารีครึ่งส่วนดังก้องกังวาน
เจียงหลินหน้ามืดทะมึนอย่างยิ่ง
เขาจ้องเกราะอ่อนนั้นบนตัวหนิงอี้เขม็ง เหมือนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยมากที่เห็นเมื่อครู่
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก คาดเดาเบื้องหลัง
พลังของตัวดาบไม่ได้ถูกเกราะอ่อนกันไว้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยชีวิตหนิงอี้ไว้
หนิงอี้มีเลือดไหลมาจากมุมปาก แต่เขาก็ยังยิ้มหยีตาพลางถาม “นี่ เซียนกระบี่หญิงคนนั้นที่เจ้าพูดถึงให้นี่กับข้ามา พอดีตัวหรือไม่”
เจียงหลินจับล่าวารีอีกส่วนแน่น
ไม่พูดไม่จา
…….
หนิงอี้พิงผนังหิน สองมือยกขึ้นจากพื้นช้าๆ และยากลำบาก เขาจับล่าวารี ปลายดาบส่วนนี้ปักลงลึกมาก ใบหลิ่วของเกราะเกล็ดขัดคมดาบไว้ แต่การจะดึงขึ้นก็ยังต้องใช้แรงค่อนข้างมาก
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก จับด้วยสองมือแน่น
‘ฉึก’
เป็นเสียงที่เบาและสั้น
สองมือที่หนิงอี้จับดาบอาบไปด้วยเลือด ดึงปลายดาบล่าวารีออกมาช้าๆ
ความเป็นเทพเติมเต็มบาดแผลของเขา แต่ไม่อาจลบล้างความเจ็บปวดจากกายเนื้อเช่นนี้ได้
สวีชิงเยี่ยนยืนอยู่ข้างกายเขา ตอนนี้นางต้องทำอะไร ดูไร้เรี่ยวแรงไปหมด นางไม่มีพลังบำเพ็ญ พาหนิงอี้ไปจากที่นี่ไม่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงฟันอีกดาบใส่ยอดปีศาจกิเลนที่หมดแรงนั่น
หนิงอี้โบกมือ สื่อให้นางไม่ต้องรีบร้อน
เขาหรี่ตาลง ยิ้ม
ความเงียบในสุสานถูกทำลายลง
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะสังหารข้า…ความคิดดีมาก”
เขาเอ่ยเสียงอ่อนแรง พูดจบก็ชำเลืองตามองล่าวารีที่เปื้อนเลือดของตนกับเจียงหลิน ยิ้มเล็กน้อย “น่าเสียดายเจ้าพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว หากเจ้าใจเย็นอีกหน่อย รอข้าหมดแรงจริงๆ ตอนที่เขวี้ยงดาบนั่น เล็งที่หัวของข้า…เช่นนั้นเจ้าก็จะทำสำเร็จ”
ตอนหนิงอี้พูดประโยคนี้ น้ำเสียงมีความลำพองใจเล็กน้อย
เขาพิงผนังหิน เงยหน้ามองเจียงหลิน แต่กลับเหนื่อยจนพูดไม่ออก แต่ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความนิ่ง เหมือนกำลังพูดว่า…ข้าเดาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะทำเช่นนี้
สวีชิงเยี่ยนพลันเข้าใจแล้ว ในเวลาที่สั้นแต่ก็นานเมื่อครู่นี้ คำพูดพวกนั้นที่เกิดขึ้นหมายถึงอะไร
นี่หมายความว่ายอดปีศาจหนุ่มเจียงหลินคนนี้ที่เตรียมกระบวนท่าสังหารไว้ให้หนิงอี้ในช่วงสุดท้าย ถูกแก้ได้เช่นนี้
หากหนิงอี้ไม่ยั่วโมโหเจียงหลิน ไม่กดดันจนเกิดดาบบินที่ใช้กำลังทั้งหมดนั่น…
และหากหนิงอี้ดวงแย่กว่านี้หน่อย ดาบนี้ของเจียงหลินไม่มีจิตสังหารเลย เป็นเพียงแค่อยากตัดแขนหนิงอี้หรือขา หรือเล็งศีรษะหนิงอี้ ผลที่ตามมาก็จะต่างออกไป
แต่ใบหน้าหนิงอี้เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง
เพราะเจียงหลินพลาดแล้ว
ดังนั้นแดนผนึกแสงดาราสุสานภูเขาแดงนี้จึงกลายเป็นสถานที่คุมเชิงที่ยากมาก
เจียงหลินกับหนิงอี้ต่างเสียกำลังทั้งหมด
คนหนึ่งยังพอฝืนลุกขึ้นยืนได้ ยังคงยืนหยัดศักดิ์ศรีของยอดปีศาจกิเลน แต่เดินไม่ได้สักก้าวแล้ว ดาบยาวครึ่งเล่มที่เหลือในมือ…หากเจียงหลินฟื้นกำลังกลับมา เช่นนั้นจิตสังหารเขาจะหนักหน่วงขึ้น อีกทั้งจะไม่ทำพลาดอีก
อีกคนเปลี่ยนเป็นท่าทีซุ่มซ่าม นั่งจ้ำกับพื้น ไม่สงวนภาพลักษณ์ของตนเลย แอ่นท้องเล็กน้อย เพราะแบบนี้ประหยัดแรงมากที่สุด สบายที่สุด…หนิงอี้มีสีหน้าราบเรียบ เหมือนไม่กังวลความเป็นตายของตน และไม่กังวลว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ความจริง สวีชิงเยี่ยนก็เห็นแล้วว่าจอนผมของหนิงอี้รวมเป็นเม็ดเหงื่อเล็กๆ
ต่อให้ชินกับความเป็นตาย ผ่านอันตรายมามากพอ ตอนนี้ก็ยังตึงเครียดกระมัง…สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก มาถึงช่วงเวลาสำคัญนี้ นางเหมือนกลายเป็นคนสำคัญที่สุด แต่ความจริงนางทำอะไรไม่ได้เลย
มีเสียงถอนหายใจเบาดังขึ้น
เสียงถอนหายใจนี้มาจากร่างกำยำที่ยืนตระหง่านไม่ล้มลง
เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง
นิ้วมือของเจียงหลินวางบนนอกถุงสีสันสวยงามข้างเอว คำพูดของหนิงอี้ กดดันให้เขาใช้ถุงสวยงามหลายต่อหลายครั้ง หากปล่อยดวงจิตของผู้เฒ่าเมืองธารน้ำ ก็จะส่งผลไปทั้งสุสานภูเขาแดง…เขามองไปที่แท่นบวงสรวง ดาบยาวที่ปักกลางแท่นบวงสรวงนั้นห่อหุ้มอยู่กลางแสงอ่อน เหมือนลิขิตไว้ในชะตา
ตนมาที่นี่เพื่อดึงราชสีห์ขาว
ตอนนี้ขาดเพียงก้าวสุดท้าย
แต่ล่าวารีของตนดันถูกฟันหัก เสียดาบไปเล่มหนึ่ง
เจียงหลินถอนหายใจเบา เขาอยากใช้ถุงสวยงามมาตลอด ตอนนี้เลิกคิดไปแล้ว
เขาไม่ได้อยากประหยัดถุงสวยงาม เพียงแค่ใช้มันสังหารหนิงอี้ดูไม่คุ้มค่าเกินไป
เขาจะดึงราชสีห์ขาวจากนั้นใช้ถุงสวยงาม ไปจากภูเขาแดง กลับใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ