ตอนที่ 144 ราชวงศ์ในภูเขาแดง (1)
หนิงอี้สังเกตเห็นท่าทางมือเจียงหลิน
ความจริง ตั้งแต่แรกมาก็ระวังถุงสวยงามนี้แล้ว ลางสังหรณ์ที่ฝึกมาจากเขาสู่ซานบอกตนว่า ในถุงสวยงามนั้นแฝงพลังมหาศาลไว้ หากปล่อยออกมา ตนจะไม่อาจต้านได้แน่นอน
ดีที่ตอนนี้เจียงหลินไม่ได้คิดจะใช้มัน
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาเดาว่ายอดปีศาจนี่กล้ามาแดนต้องห้ามภูเขาแดงเพียงลำพัง ไพ่ตายเอาตัวรอดนั่นที่มีน่าจะเป็นถุงสวยงามนี่ แต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่าเทียบกับการสังหารตนแล้ว ถุงสวยงามนี่มีประโยชน์ที่มากกว่า
อย่างเช่นช่วยเจียงหลินที่กำลังหมดแรงไปจากที่นี่
เจียงหลินยืนอยู่กับที่ เขาจ้องหนิงอี้ มองเด็กหนุ่มที่พิงผนังหินอย่างห่อเหี่ยว ตัวคลุมด้วยเกราะอ่อนแสงเกล็ดนั้น หลังจากตนปาดาบไปก็แตกออกแล้ว น่าเสียดายตนไม่มีแรงปาดาบที่สอง
เจียงหลินเลิกคิดจะใช้ถุงสวยงาม
ในเมื่อสองคนเสียกำลังสุดท้ายไป เขาไม่มีทางสังหารหนิงอี้ หนิงอี้ก็ไม่มีทางสังหารตน เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ไม่ถือสาที่จะปล่อยเด็กหนุ่มนี่ไปก่อน พรสวรรค์การต่อสู้ของเผ่ากิเลนทำให้เขาฟื้นฟูได้เร็วขึ้น หลังขับไล่เจตจำนงกระบี่ในกายออกไป อย่างน้อยเขาก็ยังมีแรงสามส่วน
เจียงหลินจ้องหนิงอี้ แววตาเฉยชาและไร้ความรู้สึก
เด็กหนุ่มที่พิงผนังหัวเราะไม่ใส่ใจ เขาเห็นแววตาเช่นนี้มาเยอะ มีความแค้น ความโกรธ ต่ำช้า เหยียดหยาม หนิงอี้เห็นมาจนชินแล้ว เขาไม่ได้เหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ แต่ผ่อนคลาย น้ำเสียงเกียจคร้าน
“เจ้าฆ่าหานเยวียแล้วรึ”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ เจียงหลินไม่ได้หน้าเปลี่ยนสีไปเท่าไร
สวีชิงเยี่ยนกลับม่านตาแคบลง นางก้มหน้ามองหนิงอี้ นามของคุณชายน้ำค้างหานเยวีย…ต่อให้เป็นนางก็เคยได้ยินมาก่อน คนที่ออกกระบี่นั้นบนที่ราบภูเขาแดงก็คือมารร้ายที่ปกครองแดนบูรพาหรือ
เอ่ยถึงนามหานเยวีย หนิงอี้ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เขาเอ่ยเสียงเบา “ผู้บำเพ็ญภูตผีเป็นพวกอาฆาตแค้น หากจับจ้องเป้าหมายแล้ว จะไม่ยอมเลิกราเป็นอันขาด”
เจียงหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “แล้วอย่างไร”
หนิงอี้ยิ้ม “ดังนั้นเขาจับจ้องเจ้าแล้วก็จะไม่ยอมวางมือเด็ดขาด ต่อให้ข้าหนีเข้าภูเขาแดง เขาจะต้องหาทางตามมาอย่างแน่นอน”
เจียงหลินหรี่ตาลง
หนิงอี้พูดพึมพำต่อ “แต่ตอนนี้ความรู้สึกถึงอันตรายหายไป…ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมล้มเลิกง่ายๆ เช่นนี้”
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น ยิ้มตาหยี “เจ้าน่าจะรู้ ภายนอกหานเยวียเป็นอันดับหนึ่งแดนบูรพา เป็นผู้ครอบครองวิชาภูตผีทั้งหมดในภูเขาใหญ่แสนลี้แดนทักษิณ ต้าสุยสี่หมื่นลี้ เขาเป็นพวกที่อาฆาตพยาบาทที่สุด ล่วงเกินเขา แม้จะแค่สังหารร่างแยกเดียว เขาก็จะจำเจ้าไว้ทั้งชีวิต”
เจียงหลินแค่นยิ้ม “หากหานเยวียกล้ามาใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ข้าขอรับรองกับเจ้าเลยว่า ต่อให้เขามีหมื่นชีวิตในหลอดแก้ว ก็ไม่พอให้ตายหรอก”
“เจ้าเถอะ หากข้าเดาไม่ผิด หานเยวียจำเจ้าไว้ขึ้นใจเลย…ไม่ใช่ข้าเจียงหลิน แต่เป็นกายเนื้อของเจ้าหนิงอี้” ยอดปีศาจหนุ่มยิ้ม “เจ้ามีชีวิตกลับต้าสุย ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตหนีรอดสามเคราะห์สี่หายนะของเขาหรือไม่”
“สามเคราะห์สี่หายนะ…” หนิงอี้พูดเบาๆ เขาก้มหน้าลงพูดปลง “ข้าพูดมากกับเจ้าขนาดนี้ เพราะอยากฟื้นกำลังขึ้นมาหน่อย ลุกขึ้นได้เร็วกว่าเจ้าก้าวหนึ่ง แบบนี้ข้าก็จะแทงกระบี่ฆ่าเจ้าได้ ดูท่าเจ้าเองก็เช่นกัน…”
เจียงหลินไม่ปฏิเสธ
“แต่ดาบเจ้าหักแล้ว”
หนิงอี้พูดมาเช่นนี้ “ดังนั้นข้าจึงไม่ถือสายื้อกับเจ้าไว้เช่นนี้”
เสียงที่พูดคำพูดพวกนี้ แววตาหนิงอี้เหมือนมีและไม่มี ชำเลืองตามองแท่นบวงสรวงไกลๆ ทีหนึ่ง ยันต์ที่ปลิวขึ้นลงแปะอยู่นอกแท่นบวงสรวง ตอนนี้สลายเป็นเถ้าถ่านทั้งหมด
ความจริงเขาก็คาดเดาความคิดในใจเจียงหลินได้
“เจ้าเดินทางไกลมาเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ข้ามที่ราบสูงเทพสวรรค์ที่มีสามกรมเฝ้าอยู่ มาภูเขาแดง…” หนิงอี้เอ่ยเสียงเบา “เพราะดึงราชสีห์ขาวรึ”
ยอดปีศาจที่มีชื่อเสียงเลื่องลือใต้ฟ้าเผ่าปีศาจพวกนั้น ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณคือหนึ่งในนั้น
ส่วนราชสีห์ขาวเล่มนั้นของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ต่อให้วางในใต้ฟ้าต้าสุยก็เป็นอาวุธเทพที่ทุกคนรู้
หนิงอี้กระแอมไอน่าอึดอัดใจ เขาเงยหน้าถามด้วยรอยยิ้ม “เจียงหลิน…หรือเจ้าไม่แปลกใจเลยสักนิดรึ องค์ชายต้าสุยที่อยู่ดีกินดีทั้งชีวิตสองคนนั่น มาภูเขาแดงด้วยตนเองเพื่ออะไรกัน”
เจียงหลินเพ่งสายตา
คำพูดนี้ของหนิงอี้เอ่ยโดนจุด ก่อนที่เจียงหลินจะเข้าประตูทองสัมฤทธิ์ตำหนักใหญ่สุสานภูเขาแดง ก็เคยยืนยิ่งอยู่กลางน้ำทะเลหมื่นชั่ง คิดถึงคำถามนี้…สุสานของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณแยกกับสุสานนี้ องค์ชายต้าสุยสองคนนั้นรู้ตัวตนของเจ้าของภูเขาแดงที่แท้จริงหรือไม่
จักรพรรดิต้าสุยให้ทายาททั้งสองเข้าภูเขาแดงเพื่ออะไร
เพื่อให้พวกเขาชิงบางสิ่งหรือ
หรือเพื่อให้พวกเขานำบางอย่างมา
เจียงหลินไม่แน่ใจเล็กน้อย จักรพรรดิต้าสุยจะทำอะไรกันแน่ แผนการเล็กใหญ่ การวางหมากอย่างพิถีพิถัน หน้าหลัง หกร้อยปีมานี้ ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจไม่อาจคาดเดาได้มาตลอด ต่อให้เป็นผู้เฒ่าท่านนั้นแห่งเมืองธารน้ำก็ไม่เคยใช้แรงกายแรงใจไปพยากรณ์ เมืองหลวงมีกฎเหล็กปกคลุม ความลับสวรรค์ไม่เผยไปแม้แต่นิด
หกร้อยปีมานี้ สองใต้ฟ้า…ทุกคนต่างรู้จักจักรพรรดิท่านนี้ตรงกันอย่างน่าประหลาด
โลกนี้ไม่มีคนที่สมบูรณ์แบบ
แต่ไท่จงเป็นคนที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
เจียงหลินจ้องหนิงอี้ พบว่าใบหน้าซีดขาวและเปื้อนคราบเลือดนั้นเหมือนจะมีรอยยิ้มนิดๆ พลันนึกได้ว่าตอนนี้หนิงอี้เป็นอันดับหนึ่งรายนามดาราต้าสุยปัจจุบัน ช่วงก่อนหน้านี้ก็ได้รับการแต่งตั้งจากวังต้าสุย เด็กหนุ่มคนนี้มาเมืองหลวง ได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิ บางที…หนิงอี้อาจจะรู้อะไรบางอย่าง
เจียงหลินจึงพูดเสียงแหบ “เจ้ารู้รึ”
หนิงอี้มองผนังหินโดยรอบ ความจริงความคิดเขาปั่นป่วนเล็กน้อย
ยันต์ที่ลอยในสุสานภูเขาแดง เถ้าถ่านยันต์ที่กระจายออกไปรวมถึงความลับสวรรค์เสี้ยวหนึ่งที่ใช้คัมภีร์แสวงมังกรคาดการณ์ออกมาตัดสลับเข้าด้วยกัน…ทำให้หนิงอี้เกิดภาพลวงตาบางอย่าง เขาโคจรวิชาลับที่เวินเทาชี้แนะตน ในดวงตาเหมือนจะเห็นไข่มุกพวกนั้นบนฟ้า แสงสว่างไหลเวียนตามกฎเกณฑ์ไร้รูปบางอย่าง
เหมือนมีดวงตายักษ์ข้างหนึ่ง พร้อมจะลืมตาขึ้นตลอดเวลา
คิดไปเองหรือ…
เสียงของเจียงหลินปลุกตื่นเขา หนิงอี้หรี่ตาลง เขาเรียกสติกลับมา มองใบหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งของเจียงหลิน รู้สึกขำนิดๆ “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นอันดับหนึ่งรายนามดาราของต้าสุย”
เจียงหลินยังคงสงสัยในตัวหนิงอี้สูงมาก
เขาไม่เชื่อเจ้าหนูเผ่ามนุษย์คนนี้ ความจริงเขาก็ไม่เชื่อเผ่ามนุษย์คนใดเลย เว้นแต่จะเป็นเซียนกระบี่หญิงนั้นที่เขียนยันต์ ทุกคนในมุมมองเจียงหลินไม่มีค่าให้เชื่อใจเลยสักนิด
“เจ้าก็น่าจะรู้ ว่ามีไม่กี่คนที่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท” หนิงอี้หัวเราะเสียงเบา “หากเจ้าเป็นตระกูลสูงส่งใต้ฟ้าเผ่าปีศาจจริงๆ ข่าวมากมายของต้าสุยคงปิดหูตาเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าต้องได้ยินนามของข้าไม่น้อยแน่ ข่าวล่าสุดคือข้าได้รับการแต่งตั้งฉายาจากฝ่าบาท ได้รับฉายาขุนนางรองท่องกระบี่”
สวีชิงเยี่ยนฟังหนิงอี้ด้วยความงุนงงเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่นางถูกหลี่ไป๋หลินกักขัง อำนาจในลานบ้านตรอกฝนพรำก่อนหน้านี้ถูกริบรอน นางไม่ได้ข่าวโลกภายนอกเลย ส่วนเรื่องพวกนั้นที่เกิดขึ้นต่อในเมืองหลวง นางยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
สวีชิงเยี่ยนคิดเย้ยเยาะตัวเอง…ก่อนหน้านี้นางพูดกับหนิงอี้ว่าหนิงอี้จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงแน่นอน ตอนนี้ดูแล้วน่าขำนิดๆ ที่แท้หนิงอี้ก็เป็นแล้ว แม้ฉายาขุนนางรองท่องกระบี่จะไม่ยิ่งใหญ่ แต่ได้รับการยอมรับจากฝ่าบาท นี่เป็นโชคลิขิตที่พบเจอได้แต่ร้องขอไม่ได้
ตอนหนิงอี้พูดเรื่องพวกนี้ ใบหน้าไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เลย ในน้ำเสียงเขาไม่มีความภูมิใจหรือลำพองใจใดๆ
แต่เจียงหลินรู้ว่าหนิงอี้พูดความจริง
เจียงหลินฟังหนิงอี้พูดพลางกำหมัดแน่น
ดีมาก…อีกเดี๋ยวก็จะขยับได้แล้ว
เขาไม่ถือสาจะให้หนิงอี้พูดต่อ
ไม่ว่าหนิงอี้จะพูดความจริงหรือไม่ เจียงหลินก็จะรอให้หนิงอี้พูดจบแล้วค่อยสังหารเขาอย่างฉับพลัน
การกระทำเล็กๆ นี้ไม่พ้นสายตาหนิงอี้ เขาดึงหนังตาเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็นได้ง่ายๆ กวาดสายตามอง แสร้งทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะเอ่ยช้าๆ และมั่นคง
“ฝ่าบาทเรียกคนอื่นเข้าวังน้อยมาก แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น…เหตุใดหานเยวียถึงไม่กล้าแตะต้องข้าในเมืองหลวง เพราะข้ามีที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง…เหตุใดข้าถึงอยู่รอดปลอดภัยในศึกของสำนักศึกษา เพราะข้ามีต้นขาที่ใหญ่ที่สุดของทั้งใต้ฟ้าต้าสุย”
พูดถึงตรงนี้ก็กลายเป็นเรื่องเหลวไหลแล้ว
เจียงหลินหรี่ตาลงตลอด
แต่สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้ด้วยความมึนงง นางรู้สึกผิดปกตินิดๆ…
นิ้วหนึ่งที่หนิงอี้งอในแขนเสื้อ ขยับเบาๆ
เขากำลังใช้คัมภีร์แสวงมังกรคาดการณ์บางอย่าง
เช่นโครงสร้างของสุสานนี้…
และอย่างเช่น
จุดแปลก
แผนการที่ดีที่สุดในใจหนิงอี้คือตนถือพินิจเหมันต์ ฟันหัวยอดปีศาจกิเลนลงมา แบบนี้เขาจะทำในสิ่งที่แม้แต่เฉาหลันยังทำไม่ได้ แต่เมื่อนึกดูดีๆ แล้ว ความคิดนี้ไม่ค่อยเป็นจริงเท่าไร ราชวงศ์โบราณของเผ่ากิเลน มีกำลังรบเทียบเท่าความเป็นอมตะ วิชาลับมากมายที่สืบทอดกันมา แค่สำแดงวิชาเดียวก็มากพอจะฝ่าวิกฤติ หนิงอี้เคยเห็นกระบี่ซ่อนในความคิดเด็กสาว รู้ว่าในช่วงวิกฤติ ยอดปีศาจนี่อาจจะสำแดงพลังคล้ายๆ กับกระบี่ซ่อนได้
อีกทั้งยังมีถุงสวยงามที่ตนยังมองไม่ออกด้วย
ดังนั้นหนิงอี้จึงไม่คิดถึงพวกนั้นอีก
ตนฟันล่าวารีหักก็พอแล้ว
คัมภีร์แสวงมังกรต้องการเวลาคาดการณ์สักเล็กน้อย ต้องให้หนิงอี้คุมสถานการณ์ไว้ให้มั่นคง ในความคิดเขาผ่านการปะทุของความเป็นเทพมาแล้ว ตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผลลัพธ์โดยตรงที่สุดคือทำให้ทะเลจิตปั่นป่วน ได้แต่โยนปัญหานี้ทิ้งไปก่อน
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองแสงอ่อนเต็มฟ้าแกว่งไกว
เขาหรี่ตาลง พูดไม่ช้าไม่เร็วด้วยรอยยิ้ม “เจียงหลิน อยากรู้ว่าสององค์ชายต้าสุยนั่นทำอะไรในภูเขาแดงหรือไม่”