ตอนที่ 49-2 หญิงสาวท่ามกลางหิมะ

จากนั้นทัวเป่าเจิ้นมิได้กล่าวอันใดออกมา เขาทำเพียงแค่จ้องมองผ่านหน้าของหลี่หมินเฟิงออกไปยังด้านนอกศาลา

เมื่อเห็นดังนั้น หลี่หมินเฟิงจึงผงะและหันไปมองยังทิศทางที่เขามองออกไป

และได้เห็นหญิงสาวสามคนกำลังเดินผ่านทางโค้งของถนนมาหาพวกเขา

หญิงสาวที่เดินนำหน้านั้น นางสวมชุดสีแดงสด ที่มีการปักดอกโบตั๋นอย่างวิจิตรงดงาม และทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา …

ด้านข้างของทางเดินปกคลุมไปด้วยดอกบ๊วยสายพันธุ์แปลกใหม่ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง

ทิวทัศน์ของดอกบ๊วยเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล แต่ต้องหมดความหมายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเผชิญกับความงามของหลี่จางเล่อ

หลี่หมินเฟิงรีบหันกลับมามองทัวเป่าเจิ้น และรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังแอบชอบหลี่จางเล่อ

หลี่หมินเฟิงยิ้มในใจ ขณะที่คิดว่าในชีวิตนี้มิมีชายผู้ใดที่มิเกิดความหลงใหลในความงามของน้องสาวตนเอง เมื่อได้พบเห็นใบหน้านาง

แม้ว่าทัวเป่าเจิ้นจะมีบุคลิกที่เย็นชาและเข้าถึงยาก แต่เขาก็มิได้มีความแตกต่างจากชายหนุ่มผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย

หลี่หมินเฟิงเลิกคิ้ว:

“จางเล่อ เจ้ามาได้ถูกที่ถูกเวลาเสียเหลือเกิน

เจ้าเลือกที่จะมาในช่วงเวลานี้ ทำให้องค์ชายสามมิได้ใส่ใจกระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้าเลย!”

หลี่จางเล่อจ้องมองไปยังทัวเป่าเจิ้นด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เย้ายวน:

“มีเรื่องที่ทำให้ข้าต้องล่าช้าดังนั้นจึงมาถึงที่นี่สาย ดังนั้นจึงขอยกน้ำชาเพื่อเป็นการขอโทษองค์ชายสาม”

ทัวเป่าเจิ้นหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และยืนขึ้น:

“จะปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?

คุณหนูใหญ่มีความงดงามถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะต้องรอไปตลอดชีวิต แต่ข้าก็ยังเต็มใจ”

คำกล่าวเหล่านั้นมีความหมายในตัวเอง ทำให้ใบหน้าของหลี่จางเล่อแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จากนั้นนางจึงนึกได้ ในสิ่งที่ท่านแม่ของนางเคยกล่าวเอาไว้ว่า

ต้องรอจนกว่าจะแน่ใจว่า เขาสามารถยึดบัลลังก์ได้ นางจึงจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการใด ๆ

นางเรียบเรียงคำกล่าวของตนเองในทันทีและกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า:

“นี่คือน้องสาวอีกสองคนของจางเล่อ ซึ่งก็คือฉางซีและฉางเซียว ซึ่งองค์ชายสามเคยพบเจอกับพวกนางเมื่อครั้งก่อน”

ทัวเป่าเจิ้นจ้องมองไปที่หลี่ฉางเซียวด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

และได้เห็นว่า บนใบหน้าของคุณหนูทั้งสองมีดวงตาที่สดใส ซึ่งส่องประกายความชื่นชมในตัวของเขาออกมา

เขาทำเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า

เพราะคิดว่า พวกนางเป็นเพียงบุตรสาวของหยินเหนียงเท่านั้น มิจำเป็นต้องให้ความสนใจอันใดมากมาย

หลี่ฉางเซียวก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ

นางเดินมาที่นี่เพราะฉางซีได้ชวนให้นางเดินมาเป็นเพื่อนเท่านั้น

นางจึงมิจำเป็นต้องกล่าวหรือมีส่วนร่วมใด ๆ และนางก็มิควรเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อื่นที่มีต่อพี่ใหญ่ของนาง

หลี่ฉางซีมิสามารถซ่อนความเขินอายที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตนเองได้

นางเคยมีความกังวลใจว่า รอยแผลเป็นของนางจะส่งผลต่อโอกาสในการแต่งงานของนาง

แต่เมื่อวานนี้ฮูหยินใหญ่ได้มาหานางด้วยตนเอง และกล่าวกับนางว่า นางต้องปฏิบัติต่อองค์ชายสามอย่างสุภาพและนอบน้อมที่สุด

ในคำกล่าวนั้น ดูเหมือนจะมีข้อเสนอแนะบางอย่างเกี่ยวกับการจัดการแต่งงาน ทำให้ฉางซีมีความสุขเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าองค์ชายสามจะมิได้เกิดมาอย่างมีเกียรติมากนัก แต่เขาก็ยังมีมารดาบุญธรรม ซึ่งก็คืออู๋เซียนเฟยผู้ทรงเกียรติ

แม้ว่าในภายภาคหน้าเขาจะมิสามารถเป็นจักรพรรดิได้

แต่อย่างน้อยเขาก็จะเป็นองค์ชายที่มีเกียรติและมีอำนาจเป็นอย่างมาก!

ด้วยการแต่งงานที่ดีเช่นนี้ นางมิเคยคาดคิดเลยว่า ฮูหยินใหญ่จะนึกถึงนาง และความขุ่นเคืองในตอนแรกของนางก็ได้บรรเทาลงทันที

ในบริเวณศาลาแห่งนี้มีหลุมก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่น

จึงทำให้มองเห็นขนตายาวของหลี่จางเล่อถูกประดับด้วยเกล็ดหิมะอย่างชัดเจน

ดวงตาที่งดงามของนางมีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ และการปรากฏตัวของนางนั้น ดูช่างสูงส่งยิ่งขึ้นและเต็มไปด้วยความน่าประทับใจ

ซึ่งสิ่งนี้สามารถกระตุ้นให้ชายที่ได้พบเห็นต้องการพี่จะปกป้อง และใกล้ชิดกับนางมากยิ่งขึ้น

“ก่อนหน้านี้คุณชายสามกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องของพายุหิมะหรือ?”

ทัวเป่าเจิ้นพยักหน้า ขณะที่มองตามเกล็ดหิมะขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากศาลาด้วยแววตาเป็นกังวล

หลี่จางเล่อยิ้มเล็กน้อย และตั้งใจที่จะร่วมสนทนาด้วย แต่แล้วนางก็เห็นหญิงสาวถือร่มไม้ไผ่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางหิมะ

ภายใต้ร่มนั้นคือเด็กสาวผู้หนึ่ง ซึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดง ที่ดูแล้วมีลักษณะเหมือนตุ๊กตาหยก ที่ถูกแกะสลักด้วยความประณีต

เมื่อเห็นคนผู้นั้นเพียงชั่วพริบตา ริมฝีปากของหลี่จางเล่อก็สั่นสะท้าน จากนั้นในที่สุดนางจึงตั้งสติได้

และแสงแห่งความเคียดแค้นได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง

และในช่วงเวลาอันรวดเร็ว การแสดงออกที่รุนแรงนี้ก็ได้จางหายไป ราวกับว่ามันมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน

หลี่ฉางซีขมวดคิ้วขึ้นขณะที่กล่าวว่า:

“พี่สาม ท่านกำลังทำอันใดอยู่ตรงนั้น”

หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่ในศาลาทันที

ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม และจงใจเดินเข้ามาหาอย่างใจเย็น :

“เว่ยหยางคารวะองค์ชายสาม,พีพี่ชายใหญ่, พี่ใหญ่”

หลี่ฉางซีจ้องมองอย่างดูถูก ขณะที่กำลังถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือ และกล่าวว่า:

“ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ผู้คนกำลังทุกข์ทรมานจากพายุหิมะ

แต่ท่านก็ยังมีใจที่จะมาเก็บหิมะบนดอกบ๊วย เจ้ามิได้ใส่ใจในความทุกข์ยากของผู้อื่นหรืออย่างไร?”

หลี่เหว่ยหยางยิ้มเล็กน้อยขณะที่กล่าวว่า:

“อาจมีหลักการหลายพันข้อ แต่ความกตัญญูกตเวทีนั้นข้าคิดว่า สิ่งนี้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด

ข้ากำลังเก็บหิมะบนดอกบ๊วยเพื่อนำไปมอบให้ท่านย่าใหญ่ เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเจ้ามีอันใดที่จะต่อว่าข้าอีกหรือไม่?”

หลี่ฉางซีเยาะเย้ยด้วยสายตาอย่างเย็นชา และหันหน้าหนีทันที

หลี่จางเล่อจ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยางและกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า

“น้องสาม อากาศหนาวจัดเช่นนี้ เจ้าควรดูแลสุขภาพของตนเองด้วย”