ตอนที่ 50-1 เปิดยุ้งฉางหลวง
หลี่เว่ยหยางยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะที่กล่าวว่า :
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของพี่ใหญ่”
นับตั้งแต่ประสบความพ่ายแพ้ที่ตำหนักเหอเซียงหยวน หลี่จางเล่อได้เปลี่ยนแปลงไป ราวกับว่า เป็นคนละคน
นางมิเพียงแต่จะแสดงท่าทีอ่อนโยนต่อเว่ยหยางเท่านั้น แต่ยังแสดงท่าทีสุภาพและอ่อนหวานมากขึ้นกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่า ฮูหยินใหญ่คงจะว่ากล่าวตักเตือนนาง
เมื่อเทียบกับหลี่จางเล่อแล้ว หลี่เว่ยหยางดูมีความงามที่เป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะนางมิได้แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางใด ๆ เลยบนใบหน้า
และเมื่อทัวเป่าเจิ้นได้เห็นนางในห้องโถงใหญ่เมื่อวานนี้ เขาจึงคิดว่า นางเป็นผู้ที่เอาแต่ใจ และมีความมั่นใจในตนเองมาก
ดังนั้นเขาจึงอดมิได้ที่จะให้ความสนใจนางมากขึ้น และกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า:
“คุณหนูสามได้โปรดนั่งลงก่อน”
หลี่เว่ยหยางมิได้ปฏิเสธ และทำราวกับว่า มิได้เห็นสีหน้าที่แสดงถึงความขุ่นเคืองใจของหลี่ฉางซี
นางนั่งลงอย่างใจเย็นที่ด้านข้างของหลี่ฉางเซียว และได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของคุณหนูสี่
หลี่เว่ยหยางจึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในชาติที่แล้วหลี่ฉางเซียวก็เหมือนกับตอนนี้มิมีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
นางมีความอ่อนแอ และเป็นคนดีอีกทั้งยังเป็นผู้ที่ว่านอนสอนง่าย และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ
ในที่สุดฮูหยินใหญ่ก็ได้ให้นางแต่งงานกับองค์ชายห้า
แต่เนื่องจากพระมารดาขององค์ชายห้าเป็นชนชั้นสูง นางจึงเป็นได้แค่นางบำเรอเท่านั้น
ภรรยาหลักเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ดังนั้นการใช้ชีวิตของนางจึงมิใช่เรื่องง่ายนัก
และหลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการแท้งบุตรในครรภ์ถึงสองครั้ง ความเศร้าหมองก็ได้เข้ามาปกคลุมชีวิตของนางจนมืดมน
อีกทั้งนางยังต้องกลับกลายมาเป็นบุตรสาวที่ถูกทอดทิ้งของบ้านตระกูลหลี่
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของหลี่ฉางเซียวอีกครั้ง หลี่เว่ยหยางก็อดมิได้ที่จะรู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของนาง
เว่ยหยางมิสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทุกคนบนโลกใบนี้ได้
แต่หากมีสักวัน ที่นางสามารถกำจัดฮูหยินใหญ่ได้ บางทีอาจจะทำให้ชะตากรรมของน้องสาวผู้นี้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น!
เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งของตนเองจึงได้เห็นว่า ทัวเป่าเจิ้นกำลังสนทนากับหลี่จางเล่ออย่างยิ้มแย้ม
หลี่เว่ยหยางฝืนยิ้มออกมา ขณะที่กำลังพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องขององค์รัชทายาท และองค์ชายเจ็ด
เมื่อนางได้ชั่งน้ำหนักของสองขั้วอำนาจนี้ ในที่สุดนางคิดว่า บ้านตระกูลหลี่คงจะให้น้ำหนักกับองค์ชายเจ็ดมากกว่า
แต่ผู้ใดจะรู้ว่า องค์ชายสาม ทัวเป่าเจิ้นจะกลับกลายเป็นผู้ได้ครอบครองบัลลังก์มังกร
ฮูหยินใหญ่ใช้ประโยชน์การจากไปของผู้อาวุโสหลี่เป็นข้ออ้างว่า หลี่จ่างเล่อกำลังอยู่ในความโศกเศร้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าพิธีแต่งงาน
จนกระทั่งทัวป๋าเจิ้นได้ขึ้นครองราชย์แล้ว ภายใต้คำวิงวอนของฮูหยินใหญ่ เว่ยหยางจึงตอบรับคำขอร้องนั้น เพื่อช่วยให้นางมีความรู้สึกผ่อนคลาย
ในตอนที่หลี่จางเล่อได้ถูกส่งตัวเข้ามาในวังนััน นางมีอายุยี่สิบห้าปีแล้ว
และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเย้ย ที่ตระกูลหลี่รักษาความงดงามนี้เอาไว้ จนกระทั่งนางกลายเป็นสาวแก่
ในตอนนั้นหลี่เว่ยหยางมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจนางเป็นอย่างมาก โดยที่มิเคยรู้เลยว่า ตนเองคือผู้ที่โง่เขลาที่สุด
พวกเขาตกหลุมรักกันมาตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะความไม่มั่นคงทางการเมือง
คนบ้านตระกูลหลี่จึงใช้นางเป็นเกราะกำบังให้กับหลี่จางเล่อ…
ยิ่งมองพวกเขาในตอนนี้ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ทัวเป่าเจิ้นมีความสนอกสนใจในตัวของหลี่จางเล่อตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เนื่องจากสถานะที่ยังมิมั่นคงทางการเมือง เขาจึงถูกท่านอำมาตย์หลี่ปฏิเสธ และลงเอยด้วยการแต่งงานกับนางแทน
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเขาเอง หากว่าเขาเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ
ในที่สุดก็จะได้เป็นผู้ที่ครอบครองความงดงามและกำจัดการถูกเยาะเย้ยทั้งหมดทั้งมวลได้
ทัวเป่าเจิ้นสังเกตเห็นดวงตาของหลี่เว่ยหยางที่กำลังเหม่อลอย ซึ่งเผยให้เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดทำให้เขาเกิดความรู้สึกกังวลใจ
ทันใดนั้นหลี่จางเล่อได้กล่าวออกมาว่า:
“อันที่จริงแล้ว จางเล่อมีความคิดบางอย่างที่อาจจะสามารถช่วยแก้ไขภัยพิบัติในครั้งนี้ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นทัวเป่าเจิ้นจึงเกิดอาการตกตะลึง และความสนใจทั้งหมดของเขาก็ได้พุ่งเข้ามาในดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้น
หลี่จางเล่อเปล่งเสียงอย่างมั่นใจว่า:
“ในท้ายที่สุดแล้ว ภัยพิบัติจากหิมะเป็นภัยธรรมชาติ ดังนั้นจึงมิสามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่เราสามารถใช้กำลังคนเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้
วิธีแรกคือการเปิดยุ้งฉางหลวง และตั้งสถานีขนส่งนอกเมื่อง โดยการขนส่งมันเทศเป็นหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตนี้ไปก่อน”
เปิดยุ้งฉางหลวงอีกแล้วหรือ จากนั้นความสิ้นหวังได้หลั่งไหลออกมาจากแววตาของทัวเป่าเจิ้นในทันที
แต่ใบหน้าของเขายังคงแสดงถึงสีหน้า ที่กำลังตั้งใจฟังด้วยความสุภาพ
หลี่จางเล่อกล่าวอย่างรวดเร็วต่อไปว่า:
“วิธีที่สองคือให้จักรพรรดิจัดพิธีบวงสรวงขึ้น และเชิญเจ้าหน้าที่และขุนนางทุกคนมาร่วมถวายพระพร
ซึ่งจะนำไปสู่การกุศลโดยการให้เจ้าหน้าที่ และคุณนางได้มีส่วนร่วมในการบริจาค
ด้วยราชวงศ์และเจ้าหน้าที่มีส่วนร่วม ขุนนางส่วนใหญ่จึงมิกล้าที่จะปฏิเสธ
ในเวลานั้นเราสามารถสะสมเงินทั้งหมดและแก้ไขผลพวงของความหายนะได้
ด้วยวิธีนี้ เราสามารถเผยแพร่ความเมตตากรุณาของจักรพรรดิต่อสายตาชาวโลกได้ด้วย”
คำชื่นชมฉายผ่านแววตาที่ลึกซึ้งของทัวเป่าเจิ้นขณะที่กล่าวว่า:
“กล่าวได้ดี! นับว่าความคิดของคุณหนูใหญ่มีความน่าชื่นชมเป็นอย่างมาก”
เขาคิดถึงเรื่องนี้และกล่าวว่า
“ในเวลานั้น เราคงต้องขอให้ท่านอำมาตย์หลี่ช่วยเป็นผู้นำในองค์กรการกุศล”
หลี่จางเล่อและหลี่หมินเฟิง มองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน:
“นั่นคือสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว”