จวนชิงผิงโหวสูญเสียบุรุษในสนามรบไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ห้ามบุตรหลานผู้ชายรับอนุภรรยา บางครั้งถึงกับส่งเสริมให้บุตรหลานผู้ชายรับอนุภรรยาด้วยซ้ำ ความต่างระหว่างภรรยาเอกกับอนุภรรยาในบ้านของพวกเขาจึงมีไม่มากนัก
คุณหนูรองอู๋กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าให้ความสำคัญกับข้อนี้ด้วย?”
“แน่นอน!” หวังซีกล่าวอย่างโอ้อวดใหญ่โตว่า “ข้าหาได้ด้อยไปกว่าบุรุษ เหตุใดต้องหาบุรุษที่ข้างกายรายล้อมไปด้วยสตรีหนึ่งกลุ่มด้วย ไม่แน่ว่านอกจากดูแลงานในบ้านแล้วข้าอาจต้องช่วยเขาเลี้ยงอนุและบุตรของอนุอีกด้วยก็เป็นได้ ข้าไม่ยอมทำงานหนักเช่นนั้นเป็นอันขาด!”
“นี่ก็จริง” คุณหนูรองอู๋ตรึกตรองครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็แต่งเข้าตระกูลเหยียน? บุรุษของพวกเขาล้วนไม่รับอนุภรรยา”
แม้นกล่าวว่าบัดนี้ตระกูลเหยียนมีชื่อเสียงโดดเด่นในหมู่ทหาร แต่ครอบครัวพวกเขาเป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมา สืบสาแหรกมาจากขุนนางฝ่ายบุ๋น ต่อให้ไปกรำศึกก็จริง แต่ก็ไปเป็นขุนนาง สั่งการผู้อื่นไปออกรบ ไม่เหมือนตระกูลชิงผิงโหวที่ต้องลงสนามรบไปสังหารศัตรูด้วยตัวเอง
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่แต่งทั้งนั้น ข้าจะอยู่สู่จง เป็นหัวงูของข้าต่อไปดีกว่า ไม่รู้ว่าดีกว่าตั้งกี่เท่า!”
ทุกคนพูดคุยหลอกล้อเล่นกันอีกครั้งกว่าครึ่งค่อนวัน จากนั้นถึงได้ไปนั่งในงานเลี้ยง
แต่สุดท้ายแล้วก็มีคนได้ยินคำพูดดังกล่าวของคุณหนูรองอู๋ และเก็บเอาเรื่องงานแต่งของนางไปขบคิดอย่างมีเจตนาซ่อนเร้น
คนที่มาทาบทามหวังซีเป็นลำดับแรกสุดคือภรรยาของนายทะเบียนท่านหนึ่งในหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า มารดาของนายหญิงท่านนี้เป็นบุตรสาวของอนุภรรยาจากจวนเว่ยกั๋วกง ด้วยเหตุนี้จึงพอจะกล่าวได้ว่าผูกมิตรกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวได้ ครอบครัวที่นางช่วยเป็นแม่สื่อให้คือหัวหน้าของสามีนาง เป็นหัวหน้าหน่วยท่านหนึ่งของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า บอกว่าคุณหนูต่างสกุลของตระกูลนั้นเคยเจอหวังซีที่ตระกูลถาน จึงอยากเป็นแม่สื่อให้หวังซีสักครั้ง “เป็นบุตรชายคนเดียว ครอบครัวได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบยศขั้นสี่บน ตัวคนหน้าตาหล่อเหลา กิริยามารยาทก็ดี พลาดจากหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว”
ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสนใจอยู่บ้างจริงๆ แต่ถูกโหวฮูหยินที่ยืนอยู่ด้านข้างตัดบทไปอย่างไม่ต้องคิดว่า “นางเป็นคุณหนูต่างสกุลของพวกข้า หาใช่คุณหนูของพวกข้า เรื่องงานแต่งของนาง จึงต้องแจ้งบิดามารดาของนางด้วย พวกข้าคงไม่อาจจับลูกของผู้อื่นที่มาเป็นแขกอยู่ในบ้านพวกข้าแต่งงานออกไปหรอกกระมัง” ยังกลัวว่าคนผู้นั้นจะไม่ยอมรามือ จึงอธิบายสถานการณ์ให้ฟังอย่างกระจ่าง “ลำบากท่านแล้ว ช่วยนำความไปบอกแทนพวกข้าด้วยเถิด! เรื่องงานแต่งของคุณหนูต่างสกุลของพวกข้าท่านนี้ พวกข้าตัดสินใจให้ไม่ได้จริงๆ”
นายหญิงท่านนั้นไม่ยอมถอดใจอย่างที่คาดไว้จริงๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นส่งข่าวไปแจ้งที่สู่จงสักครั้งก็ได้แล้วกระมัง”
“สิ่งสำคัญคือคุณหนูต่างสกุลของพวกข้าท่านนี้ได้รับความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวประหนึ่งอมไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองไว้ในมือก็กลัวหล่น ถ้อยคำนี้ของพวกเราหากกระจายออกไปด้วยดีก็เป็นสิ่งสมควร แต่ถ้าไม่ดี…” โหวฮูหยินตอบไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว ยิ้มตาหยีกล่าวต่อว่า “ท่านเองก็ทราบ ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าเมื่อแต่งงานกันแล้ว จะให้กำเนิดบุตรชายได้!”
นายหญิงท่านนั้นตะลึงงัน เมื่อออกมาจากจวนหย่งเฉิงโหวแล้วอดกล่าวกับหมัวมัวคนสนิทไม่ได้ว่า “เคยได้ยินแต่ว่าคุณหนูหวังท่านนี้ครอบครัวร่ำรวย สินเจ้าสาวคงมีไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะจัดการยากขนาดนี้ ไม่แปลกที่เหล่าคุณหนูของจวนหย่งเฉิงโหวต่างหมั้นหมายกันหมดแล้ว เหลือเพียงคุณหนูต่างสกุลท่านนี้เพียงคนเดียวที่ยังไร้วี่แวว”
สถานะในแวดวงสังคมของนางค่อนข้างต่ำ จึงไม่รู้เรื่องที่เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าเคยเป็นแม่สื่อให้หวังซีมาก่อน
หลังจากที่นายหญิงท่านนั้นออกไปแล้วโหวฮูหยินก็หันไปพูดกับซือหมัวมัวอย่างมีอารมณ์ว่า “ต่อไปหากมีเช่นนี้ก็อย่าพามาหาฮูหยินผู้เฒ่าอีก ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวเคยถูกใจคุณหนูหวังมาก่อน บัดนี้คุณชายเจ็ดจวนชิ่งอวิ๋นโหวยังไม่ได้หมั้นหมาย หากคุณหนูหวังหมั้นหมายก่อน ทั้งยังหมั้นหมายกับตระกูลเช่นนี้อีก มิเท่ากับกลายเป็นเรื่องขบขันให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะหรอกหรือ”
คนในห้องต่างทราบดีว่าโหวฮูหยินกำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นตั๊กแตน กล่าวกระทบกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่โกรธ แต่กลับไปกระตุ้นต่อมโกรธของซือจูแทน นางแสยะยิ้มเย็นกล่าวขึ้นว่า “อย่าพูดถึงจวนชิ่งอวิ๋นโหวเลย แม้แต่ราชวงศ์ หากพวกเขาไม่แต่ง ผู้อื่นก็ต้องไม่แต่งด้วยอย่างนั้นหรือ! หวังซีแต่งกับตระกูลผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบยศขั้นสี่บนแล้วจะเป็นการอยุติธรรมต่อนางได้อย่างไร คุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงก็แต่งกับตระกูลผู้สืบทอดตำแหน่งผู้บังคับบัญชายศขั้นสี่บนผู้หนึ่งเช่นกันมิใช่หรือ หรือว่าสถานะของนางสูงส่งกว่าคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง?”
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดตามแล้วก็เห็นว่าจริงด้วย! ถึงการเกี่ยวดองนี้จะไม่นับว่าดีมากมาย แต่ก็ไม่ถือว่าไม่คู่ควรกับหวังซี เหตุใดพอไปถึงโหวฮูหยินแล้ว ถึงกลายเป็นไม่สมควรเอ่ยถึงไปได้
เพียงแต่ว่านางยังไม่ทันไปเอ่ยปาก โหวฮูหยินก็ยิ้มเย็นกล่าวขึ้นก่อนว่า “คุณหนูต่างสกุลช่างกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาได้ คุณหนูหวังมาที่ตระกูลของพวกข้าเพื่อเยี่ยมญาติ พวกข้าจึงยิ่งไม่อาจปล่อยให้มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นกับนาง บัดนี้เมืองหลวงวุ่นวาย ตระกูลใดบ้างยามพูดอะไรไม่เบิกดวงตาให้กว้างเข้าไว้ ยื้อเวลาได้ก็ควรยื้อเอาไว้ระยะหนึ่ง พวกข้าหาได้มีตาวิเศษที่จะรู้ว่าภายภาคหน้าตระกูลใดจะรุ่งโรจน์หรือมั่งคั่ง จึงทำได้แต่นิ่งเอาไว้ดีกว่าขยับเขยื้อนตัวทำอะไร รอเรื่องราวในจิงเฉิงสงบกว่านี้แล้วค่อยว่ากันอีกที…
…นอกจากนี้เจ้าก็ใกล้จะออกเรือนแล้ว ญาติผู้พี่ผู้น้องของเจ้าต่างก็ทยอยกันแต่งงานแล้วเช่นกัน ตอนนี้ไหนเลยจะมีเวลาและเรี่ยวแรงไปสนใจเรื่องงานแต่งของคุณหนูหวังได้อีก มิสู้รอสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าที่โหวฮูหยินกล่าวมาก็มีเหตุผล
ครอบครัวนางทำผิดต่อมารดาของหวังซีมาครั้งหนึ่งแล้ว มาถึงคราวของหวังซีควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนสักหน่อยถึงจะถูก
และแล้วเรื่องดังกล่าวก็จบลงแต่เพียงเท่านี้
เมื่อกลับถึงห้องซือจูกลับเขวี้ยงหวีลงพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว เป็นตานหมัวมัวที่เก็บหวีขึ้นมาด้วยน้ำตาคลอ กล่าวปลอบโยนนางว่า “ข้ารู้ว่าท่านโกรธที่จวนหย่งเฉิงโหวยกยอเบื้องบนเหยียบย่ำเบื้องล่าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ผู้ใดทำให้สถานการณ์ของพวกเราสู้ผู้อื่นไม่ได้เล่า ท่านอดทนไประยะหนึ่งก่อน รอแต่งออกไปก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“แต่งออกไปจะดีขึ้นอย่างนั้นหรือ” ซือจูกล่าวแย้งด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าว่าข้าไม่แต่งยังจะดีกว่า”
ตานหมัวมัวไม่รู้จะพูดอะไรดี
เห็นว่าวันแต่งใกล้เข้ามาทุกวันแล้ว แต่คนที่ออกหน้ามาจัดการแทนจวนเจิ้นกั๋วกงยังคงเป็นชิงกูกับชุ่ยกูคนข้างกายจ่างกงจู่โดยตลอด เฉินเจวี๋ยในฐานะพี่สาวยังโผล่หน้ามาดูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เฉินลั่วยิ่งแล้วใหญ่ไม่เห็นแม้แต่เงา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้
ตรงกันข้าม สถานการณ์ของคนที่มาจากชนบทเล็กๆ อย่างหวังซีผู้นี้กลับดีวันดีคืน
กล่าวไปกล่าวมาล้วนเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวเคยถูกใจหวังซีมาก่อน
เวลามีใครมาเป็นแม่สื่อให้หวังซีต่างหยิบยกปั๋วหมิงเย่ว์ออกมาเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มักรู้สึกไม่กล้าเอ่ยปากหากคุณสมบัติห่างไกลจากปั๋วหมิงเย่ว์มากเกินไป
แต่ทั่วทั้งจิงเฉิงแห่งนี้ จะมีคนที่เทียบปั๋วหมิงเย่ว์ได้สักกี่คนกัน!
โชคดีที่เฉินอิงพอจะฝืนนับได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น ทว่าบัดนี้เขากลายเป็นว่าที่สามีของคุณหนูพวกนางไปแล้ว
ตานหมัวมัวกล่าวอย่างคนมีใจแต่ไร้กำลังว่า “ชีวิตนี้อยู่ที่คนจะเลือกใช้ ท่านก็อย่าสนใจเรื่องของคุณหนูหวังเลย พวกเราใช้ชีวิตของพวกเราให้ดีก็พอแล้ว”
เมื่อก่อนซือจูดูแคลนที่คนจวนหย่งเฉิงโหวประจบประแจงหวังซีเพื่อเงินเพียงเล็กน้อย และนางมักคิดเสมอว่าอนาคตตนจะได้เป็นพระชายาองค์ชาย ควรใจกว้าง ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับคนอย่างหวังซี ทว่าบัดนี้นางต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง แต่งกับคนไร้ค่าอย่างเฉินอิงผู้นั้น นางรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตกลงมาจากแท่นบูชา ไม่ได้เป็นคนที่มองลงมาจากข้างบนด้วยจิตใจที่สงบอีกแล้ว จึงบังเกิดความรู้สึกริษยาหวังซีขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นางอดไม่ได้จ้องสตรีใบหน้าดุร้ายในกระจกคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวว่า “นางอยากแต่งกับคนเช่นไรหรือ ข้าว่าคนที่นายหญิงผู้นั้นกล่าวถึงในวันนี้ก็ไม่เลวนี่นา!”
ตานหมัวมัวได้ยินแล้วกระวนกระวายใจ รีบกล่าวว่า “ท่านอย่าสร้างความวุ่นวายเชียวนะเจ้าคะ”
ซือจูปรายตามองตานหมัวมัวครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าหาได้โง่งมขนาดนั้น หากอยากจัดการนาง ก็ต้องรอข้าออกเรือนไปก่อน”
หลังจากออกเรือนนางก็ไม่ใช่บุตรสาวของขุนนางต้องโทษอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสะใภ้ใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกง นางจะทำอะไรก็มีอิสระขึ้นมาก
ตานหมัวมัวกังวลใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่พยายามจับตาดูซือจูเอาไว้ไม่ให้คาดสายตา
ส่วนเฉินอิงและเฉินเจวี๋ยสองพี่น้องกลับจับตาดูเฉินลั่ว แต่จับตาดูอย่างไร พวกเขาก็ไม่เจออะไรเป็นพิเศษ
เฉินเจวี๋ยเป็นกังวลเล็กน้อย กล่าวว่า “เฉินลั่วเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว เขามักไม่อยู่บ้าน เวลาอื่นพวกเราก็มีกำลังคนไม่พอ”
พอเวลาผ่านไป เฉินอิงเริ่มไม่ค่อยเชื่อถือแผนการของพี่สาวแล้ว เขากล่าว “ต่อให้พวกเรามีคน หากพี่เขยไม่เห็นด้วย พวกเราก็ลงมือไม่ได้อยู่ดี!”
พูดถึงเรื่องนี้แล้วเฉินเจวี๋ยหงุดหงิดยิ่งนัก
นางรู้สึกว่าสามีของนางจุ้นจ้านเกินไป ทั้งยังขลาดกลัวอีกด้วย นางกล่าว “ช่วงนี้ทุกคนต่างจับตาดูวังหลวงเพื่อคาดเดาพระทัยฮ่องเต้ เป็นโอกาสอันดีที่สุดที่พวกเราจะลงมือ หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกจนถึงเมื่อไร!”
เฉินอิงเองก็กังวลเหมือนกัน
พอดีว่าชิงกูมาหาเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตามหลัก กลางเดือนสิบตระกูลซือควรจะส่งคนมาที่นี่เพื่อวัดเรือนหอสำหรับสั่งทำเครื่องเรือนแล้ว แต่เนื่องจากงานแต่งของคุณชายใหญ่กับคุณหนูซือค่อนข้างเร่งด่วน คาดว่าคงไม่ทันการแล้ว จ่างกงจู่จึงให้ข้าเลือกสมุดภาพเครื่องเรือนบางส่วนมาให้คุณชายใหญ่ดูว่าท่านชอบแบบใด จ่างกงจู่จะได้จัดคนไปทำมาให้แต่เนิ่นๆ”
ขณะที่กล่าวก็ยื่นสมุดภาพเล่มหนึ่งมาให้
เฉินอิงตอบคำไปสองสามประโยคด้วยอาการใจลอย เสร็จแล้วไล่ชิงกูออกไป
เฉินเจวี๋ยเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดหัวใจ กล่าวว่า “นางช่างกล่าวได้น่าฟัง แต่นี่คือการรังเกียจที่ตระกูลซือไร้ความสามารถจัดหาเครื่องเรือน จึงมาดูเรื่องขบขันของพวกเรามากกว่ากระมัง!” แล้วก็ต่อว่าเฉินอิงอีกครั้งหนึ่งว่า “ตอนนั้นเจ้าคิดอะไรอยู่ ถึงแต่งกับครอบครัวตกต่ำเช่นนี้ ตกลงว่าเจ้าชอบนางจริงๆ หรือแค่พลั้งปากพูดไปเท่านั้นกันแน่”
แน่นอนว่าเขาแค่พลั้งปากพูดไปเท่านั้น
แต่เขาไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าเฉินเจวี๋ย จึงกล่าวอย่างดื้อดึงว่า “เรื่องของข้าท่านอย่าสนใจไปเลย”
เฉินเจวี๋ยโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ นึกถึงเฉินลั่วขึ้นมา “หากเป็นงานแต่งของเขา จ่างกงจู่ไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่นอน”
กล่าวถึงตรงนี้ ในหัวของนางก็เหมือนมีแสงสว่างหนึ่งวาบผ่าน
จนถึงบัดนี้จ่างกงจู่ก็ยังไม่จัดการเรื่องหมั้นหมายให้เฉินลั่ว ต้องเป็นเพราะต้องการทาบทามคู่หมายที่ส่งเสริมเขาได้เป็นแน่
เด็กสาวที่วัยเหมาะสมในจิงเฉิงมีมากมาย ให้หาจากตระกูลชั้นสูงคงไม่ง่าย เช่นนั้นก็คงต้องไปหาจากตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นแล้ว หากจ่างกงจู่หาได้สักคนจริงๆ การมีซือจูเป็นฉากหลังให้เช่นนี้ มิเท่ากับว่าเฉินลั่วจะยิ่งโดดเด่นมากขึ้นหรอกหรือ
นางไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้
เฉินเจวี๋ยบิดผ้าเช็ดหน้า พึมพำกล่าวกับตัวเองว่า “ยังมีใครแต่งกับเฉินลั่วได้อีกนะ?”
เฉินอิงไม่รู้ว่าพี่สาวต้องการทำอะไร มองนางด้วยความสงสัย
ดวงตาของเฉินเจวี๋ยกลับเป็นประกาย พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
นางกล่าว “ข้าจำได้ว่าคราวก่อนตอนงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่นั้น พวกเฉินลั่วเคยบังเอิญเจอเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่ต่อมาปั๋วหมิงเย่ว์บอกว่านางแอบตามเฉินลั่วไปที่สวนป่า เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเด็กสาวคนนั้นคือผู้ใด”
เฉินอิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เหมือนจะเป็นคุณหนูต่างสกุลท่านหนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหว”
“อย่างนั้นหรือ” นางเม้มปากยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าสืบที่มาของคุณหนูต่างสกุลท่านนี้ได้หรือไม่”
“ข้าจะช่วยสอบถามดู” เฉินอิงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
เฉินเจวี๋ยยิ้มแต่ไม่กล่าวอะไร
ถึงแม้ตอนนั้นทุกคนต่างไม่ได้นำเรื่องในสวนป่าไปป่าวประกาศ แต่คนที่ใคร่รู้ยอมสืบความกระจ่างได้
หลังจากรู้ว่าหวังซีคือใครแล้ว เฉินเจวี๋ยก็ขบคิดเรื่องนี้อยู่ในในใจ
เด็กสาวอย่างหวังซี จับคู่กับเฉินลั่วก็นับว่าเหมาะสมกับเฉินลั่วดี
หน้าตางดงาม ที่บ้านก็ร่ำรวย
คาดว่าจ่างกงจู่เองก็คงว่าอะไรไม่ได้เช่นกัน
เฉินเจวี๋ยยิ้มร้ายออกมา
……………………………………………………………..