หลงจู๊ใหญ่เป็นคนที่ไว้ใจได้เป็นอย่างยิ่ง ช่างฝีมือทักษะสูงส่งเหล่านั้นทำมงกุฎลายดอกเหมย ตรงกลางเป็นดอกเหมยขนาดใหญ่หนึ่งดอกที่ประกอบขึ้นมาจากเพชร แสงอัญมณีสุกสว่างแวววาว ภายใต้แสงตะวันทำให้คนตาพร่าจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อทำมงกุฎชิ้นนี้แล้ว ตระกูลหวังยังเพิ่มเพชรเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าเม็ดข้าวสารเข้าไปด้วย
โชคดีที่ทำออกมาแล้วทุกคนต่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก
คนที่เป็นหัวหน้าช่างฝีมือผู้นั้นยังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “สามสหายแห่งเหมันต์นั้น ดอกเหมยหอมหวานเมื่อความขมแห่งเหมันต์มาทักทาย ทั้งหนักแน่นและเข้มแข็งเป็นที่สุด”
เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียวว่านี่จะกลายเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลชิ้นหนึ่ง
หวังซีเองก็ชอบมากเช่นกัน พลันบังเกิดความสนใจต่อการทำมงกุฎขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับหัวหน้าช่างฝีมือผู้นั้นว่า “เจ้ายังมีแบบอะไรดีๆ อีกบ้าง ลองวาดมาให้ข้า ข้าว่างแล้วจะไปดู”
เนื่องจากเมื่อยี่สิบปีก่อนหัวหน้าช่างฝีมือผู้นั้นไม่ได้รับคัดเลือกเข้าสำนักกิจการภายใน รู้สึกว่าชีวิตนี้คงไร้วาสนาได้ฝากชื่อเสียงเอาไว้แล้ว ทว่าจู่ๆ ก็มีโอกาสเช่นนี้เข้ามา ย่อมรู้สึกลิงโลดยินดีเป็นเรื่องธรรมดา จึงขานรับซ้ำๆ ว่า ได้ หลังจากล่ำลาหวังซีและคนอื่นๆ แล้วก็พาลูกศิษย์สองสามคนขะมักเขม้นทำงานอยู่ในบ้าน ต่อมาทำมงกุฎให้หวังซีได้อีกหลายชิ้น จนเกือบจะกลายเป็นอาจารย์ทำเครื่องประดับเฉพาะของหวังซีไปแล้ว และด้วยเหตุนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วใต้หล้า
นี่ล้วนเป็นเรื่องในอนาคต
เพื่อให้เหมาะกับการสวมมงกุฎชิ้นนี้แล้ว หวังซีเกล้าผมเป็นมวยสูง สวมชุดเพ่ยจื่อสีขาวพระจันทร์ลายขุมทรัพย์ เมื่อไปถึงตระกูลถานก็กลายเป็นที่ชื่นชมของคนทั้งห้องจริงๆ
แม้นสถานะของตระกูลถานไม่สูงไม่ต่ำ แต่ความสัมพันธ์กับตระกูลชั้นสูงอื่นๆ ในจิงเฉิงล้วนไม่เลวนัก นอกจากมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลชั้นสูงลำดับต้นๆ อย่างจวนชิงผิงโหวแล้ว กับตระกูลขุนนางทั่วไปก็มีสัมพันธ์ที่ดีไม่แพ้กัน วันนี้จึงมีเด็กสาวจากตระกูลสามัญที่มีสัมพันธ์กับจวนชิงผิงโหวมาร่วมงานด้วยหลายท่าน
พวกนางรวมตัวกันกระซิบกระซาบคุยเรื่องหวังซี
“เป็นคุณหนูจากตระกูลใด? หน้าตางดงามยิ่ง!”
“ไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูของตระกูลใด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน มงกุฎบนศีรษะนางชิ้นนั้นน่าจะเป็นเพชรกระมัง ครอบครัวนางต้องร่ำรวยและรักนางมากเป็นแน่”
“หรือว่าจะเป็นคุณหนูจากตระกูลเหยียน? บัดนี้มีเพียงตระกูลเหยียนเท่านั้นที่ยังกรำศึกอยู่ข้างนอก”
เด็กสาวจากตระกูลขุนนางมียศตำแหน่งอย่างพวกนางเหล่านี้ล้วนทราบดีว่า มีเพียงการทำศึกสงครามเท่านั้นครอบครัวถึงร่ำรวยและมั่งคั่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้
“ไม่น่าใช่” มีคนกล่าวแย้ง “หลายปีมานี้ตระกูลเหยียนอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว นอกจากนี้สายสกุลของใต้เท้าเหยียนยังมีแต่บุตรชายไม่มีบุตรสาว ส่วนบ้านสายอื่นๆ ก็มิได้ร่ำรวยเท่าตระกูลเหยียน”
“ถึงมีเงินก็ไม่มีทางปล่อยให้นางเที่ยวโอ้อวดเช่นนี้”
“เช่นนั้นคุณหนูที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงชาดข้างๆ นางคนนั้นเล่าเป็นผู้ใด? ทั้งสองคนมาด้วยกัน หากมิใช่คนครอบครัวเดียวกันก็ต้องเป็นญาติกัน พวกเจ้ามีใครรู้จักหรือไม่”
เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ข้างกายนางเป็นใคร บางครั้งก็ช่วยให้คาดเดาได้ว่านางเป็นใคร
ทุกคนต่างส่ายศีรษะ
คนที่กระตือรือร้นหน่อยจึงลุกขึ้น กล่าวว่า “ข้าจะไปถามคุณหนูสี่ถาน ได้ยินว่านางใกล้จะได้เป็นชายาขององค์ชายสี่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นญาติของฝั่งนั้นก็เป็นได้”
เด็กสาวคนอื่นๆ ก็อยากรู้เช่นกัน นอกจากไม่ห้ามแล้ว ยังมีคนใจกล้าอีกสองคนไปเป็นเพื่อนเด็กสาวผู้นั้นอีกด้วย
คุณหนูสี่ถานกำลังคุยกับหวังซีอยู่ด้วยอาการใจลอย
นางรู้ว่าตระกูลหวังเป็นคหบดีร่ำรวยของสู่จง แต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลหวังจะรักบุตรสาวขนาดนี้ แม้แต่ของล้ำค่าอย่างเพชรก็ยังเอามาทำมงกุฎให้หวังซี
ตระกูลหวังลงเงินไปก้อนใหญ่ขนาดนี้ ต้องอยากหาบุตรเขยร่ำรวยให้หวังซีเป็นแน่
นางขบคิดถึงบุรุษของตระกูลถานเหล่านั้นอยู่ในใจ ดวงตาอดชำเลืองมองไปบนศีรษะของหวังซีไม่ได้ ตอนที่หวังซีพูดว่านางนำขนมมาร่วมงานเลี้ยงของตระกูลถานด้วยนั้น คุณหนูสี่ถานยังได้ยินไม่ชัดด้วยซ้ำว่านางพูดอะไรบ้าง
ทำให้หวังซีสงสัยอยู่ในใจว่า หรือตอนนี้ในเมืองหลวงจะไม่นิยมส่งขนมให้กันแล้ว? นี่เกิดอะไรขึ้น?
คุณหนูสี่ถานเห็นหวังซีมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถึงได้สติคืนกลับมา กล่าวยิ้มๆ อย่างขออภัยว่า “ได้แต่สนใจดูมงกุฎของเจ้าแล้ว”
หวังซีรู้ว่าวันนี้นางแต่งกายโดดเด่นเกินหน้าเจ้าภาพไปสักหน่อย แต่นางรับปากเฉินลั่วแล้ว รู้สึกว่าแทนที่จะไปทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนในโอกาสอื่น มิสู้สวมใส่มาวันนี้แล้วค่อยเก็บขึ้นมา
นางได้แต่กล่าวเป็นนัยว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่ามันสวย เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ก็เลยใส่มาอวดโฉมที่บ้านของน้องสาว หากเป็นบ้านของผู้อื่น ข้าคงไม่กล้าจริงๆ”
คุณหนูสี่ถานถามอย่างแปลกใจว่า “เพราะเหตุใดหรือ”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลถานซื่อสัตย์เที่ยงธรรม บุตรหลานก็องอาจกล้าหาญ ข้าทั้งไม่กลัวทำหายและไม่กลัวถูกขโมย”
คุณหนูสี่ถานหัวเราะฮ่าเสียงดัง รู้สึกว่าหวังซีมีวาจาขบขัน ชวนให้คนบังเกิดความรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนคุยกันสองสามประโยค ก็มีแขกมาถึงอีกแล้ว คุณหนูสี่ถานจัดให้นางกับฉังเคอไปนั่งที่โถงรับรองเสร็จแล้ว ถึงได้ออกไปต้อนรับแขก
เพียงแต่ว่านางเพิ่งออกจากโถงรับรอง คุณหนูสามคนก็ล้อมนางเอาไว้ ทยอยกันสืบข่าวว่าหวังซีเป็นใคร ยังกล่าวชมว่ามงกุฎของหวังซีสวยอีกด้วย
คุณหนูสี่ถานหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ บอกกล่าวสถานะของหวังซีให้พวกนางรู้ ยังกล่าวด้วยว่า “นางเป็นคนไม่เลวเลย หากพวกเจ้าอยากคุยกับนางก็ช่วยข้าไปอยู่เป็นเพื่อนแขกได้ ด้านนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่!”
เด็กสาวทั้งสามไม่ขวางทางคุณหนูสี่ถานเอาไว้อีก ถอยออกไปกระซิบกระซาบกันอยู่ใต้ต้นไม้ข้างๆ
“บอกว่าเป็นญาติห่างๆ มิใช่หรือ ร่ำรวยปานนี้ เหตุใดถึงมาเยี่ยมญาติอย่างจวนหย่งเฉิงโหว? ครอบครัวพวกเขาได้ชื่อว่าพึ่งพาไม่ได้มิใช่หรือ”
“บางทีอาจไม่ทราบเรื่องก็เป็นได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หย่งเฉิงโหวก็เป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชาทหารทั้งห้า ได้ผูกสัมพันธ์กับครอบครัวพวกเขา ยามออกเรือนตระกูลสามีก็น่าจะให้เกียรติเพิ่มขึ้นบ้างกระมัง”
“น่าเสียดาย จวนหย่งเฉิงโหวนั้นอย่างมากก็พอดูได้เท่านั้น ยามเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด พึ่งพาอะไรไม่ได้แม้แต่ครึ่งเดียว”
“ถูกต้อง ถูกต้อง” เด็กสาวทั้งหลายคุยกันไปคุยกันมา ต่างรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าดูตระกูลซือ แม้นว่าซือจูจะน่ารังเกียจ แต่ปีนั้นจวนหย่งเฉิงโหวก็ได้รับประโยชน์จากตระกูลซือเป็นจำนวนมาก พอเกิดเรื่องกับตระกูลซือ การที่เจ้ากลัวติดร่างแหไปด้วย จึงไม่กล้าช่วยพูดให้ก็ถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เนื่องจากผู้ใดบ้างไม่มีหนึ่งครอบครัวใหญ่ให้ต้องดูแล แต่บัดนี้คดีความถูกตัดสินลงมาเรียบร้อยแล้ว ทว่ากลับไม่มีใครส่งผ้าห่มเครื่องใช้ไปให้ในเรือนจำแม้แต่คนเดียว ตอนที่คนตระกูลซือถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงก็ไม่มีใครช่วยติดสินบนเจ้าหน้าที่คุ้มกันคนแม้แต่คนเดียว นี่ออกจะเกินไปแล้ว”
“นี่ก็น่าจะมีเหตุผลกระมัง เจ้าดูแม้แต่ซือจูผู้นั้นยังไม่โผล่หน้าออกมาเลย เหตุใดคนจวนหย่งเฉิงโหวต้องเสนอหน้าออกมาด้วย?”
“คุณชายใหญ่ตระกูลเฉินทราบเรื่องหรือไม่ หากทราบ คงไม่ชอบซือจูเหมือนเมื่อก่อนแล้วกระมัง!”
เนื่องจากเฉินอิงมาจากครอบครัวร่ำรวยทรงอิทธิพล เป็นบุรุษรูปงามที่วางตัวสง่า สำหรับคนที่ไม่รู้จักเขา ยังมีเด็กสาวรอออกเรือนอีกเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะหลงใหลเขา
ซือจูพลันกลายเป็นหัวข้อสนทนาของเด็กสาวเหล่านี้ไปในบัดดล
ฉังเคอที่บังเอิญผ่านทางมาได้ยินแล้ว อดทอดถอนใจอย่างหนักหน่วงไม่ได้ กล่าวกับหวังซีว่า “คิดถึงปีนั้น ข้าเองก็ชอบเฉินอิงเช่นนี้เหมือนกัน”
หวังซีเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าไม่ชอบเฉินอิงแล้วหรือ เพราะเหตุใดเล่า ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ฉังเคอตรึกตรองอย่างละเอียด กล่าวว่า “น่าจะเป็นตอนที่เขาบอกว่าชอบซือจูกระมัง! เมื่อก่อนข้าแค่รู้สึกว่าเขาโชคร้ายที่ถูกเฉินลั่วยกตนข่มท่านเพราะมีชาติกำเนิดดีกว่า บัดนี้มาคิดๆ ดูแล้ว คนที่น่าสงสารก็มีจุดที่น่ารังเกียจเช่นกัน”
นางถึงกับลอบดีใจ โชคดีที่ตอนนั้นนางรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่คู่ควรกับเฉินอิง จึงไม่มีความคิดเป็นอื่น
ไม่อย่างนั้นคงได้รอวันขายหน้าแล้วกระมัง!
นางนึกถึงฉังเหยียนขึ้นมา กระซิบที่ข้างหูหวังซีว่า “คนข้างกายข้าได้ยินคนจวนเซียงหยางโหวบอกมาว่า งานแต่งของคุณชายสี่ของพวกเขากำหนดให้จัดขึ้นในเดือนสี่ปีหน้า เหมือนจะเป็นช่วงเวลาใกล้ๆ กับงานของพี่สาวสาม”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ถือเป็นการตัดจบเส้นวาสนานี้แล้วเริ่มต้นใหม่ก็แล้วกัน!”
แต่หวังว่าฉังเหยียนจะปล่อยวางได้
ฉังเคอถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง
การมาถึงของคุณหนูรองอู๋ทำให้งานเลี้ยงคึกคักขึ้นมา
ทุกคนต่างห้อมล้อมนางเอ่ยถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ มองออกว่านางเด่นดังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้คนยิ่งนัก
ลู่หลิงร่วมทางมาพร้อมกับคุณหนูรองอู๋ ตอนที่คุณหนูรองอู๋ถูกคนอื่นๆ ห้อมล้อมนั้น นางก็ทิ้งคุณหนูรองอู๋วิ่งมาหาหวังซี
พอทั้งสองคนพบหน้ากันลู่หลิงก็กล่าวชมมงกุฎของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ยังมองสำรวจอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบอีกด้วย กล่าวว่า “ข้าเองก็อยากทำมงกุฎเช่นนี้สักชิ้นหนึ่งเหมือนกัน”
นอกจากจะเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของจิงเฉิงแล้ว จวนเจียงชวนป๋อยังสร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแผ่นดินอีกด้วย ครอบครัวมีทรัพย์สมบัติเท่าไรกันแน่นั้น คาดว่าคงไม่มีใครบอกให้กระจ่างได้
แน่นอนหวังซีย่อมไม่คิดว่าลู่หลิงไม่มีกำลังจ่าย
นางแนะนำอาจารย์คนทำมงกุฎของตนให้ลู่หลิง ในงานเลี้ยงทั้งสองเอาแต่คุยเรื่องนี้โดยตลอด กระทั่งคุณหนูรองอู๋มาถึง นางแกล้งบิดหูลู่หลิงพลางกล่าว “ดียิ่ง! พวกเจ้ามาแอบคุยกันอยู่ที่นี่ ยังไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าอีก”
ผู้คนโดยรอบต่างพากันหัวเราะขบขัน
หวังซีกับลู่หลิงรีบกล่าวขอโทษขอโพยคุณหนูรองอู๋ คุณหนูรองอู๋กับหวังซีต่างคนต่างแลกเปลี่ยนที่อยู่กันเรียบร้อยแล้ว คุณหนูรองอู๋ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ถึงเวลาพวกเจ้าอย่าลืมเขียนจดหมายไปหาข้าด้วย หากมีโอกาสผ่านทางไปเจียงซี ต้องแวะไปเล่นกับข้าให้ได้ ข้าจากไปครานี้ คงไม่ได้กลับจิงเฉิงอีกแปดถึงสิบปี”
ขณะที่กล่าว สีหน้าของนางดูสลดหดหู่ลงมา
หวังซีรีบกล่าว “เช่นนั้นหากเจ้ามีเวลาว่างก็ไปหาข้าที่สู่จงได้ จะว่าไปแล้ว ครอบครัวของข้าเคยรับงานจัดหาเสบียงให้ครอบครัวของเจ้ามาก่อน ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสได้เจอกันจริงๆ ก็เป็นได้”
คุณหนูรองอู๋ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
ทุกคนคุยกันไปคุยกันมา กระทั่งพูดถึงเรื่องงานแต่งของคุณหนูสี่ถานขึ้นมา
คุณหนูรองอู๋เห็นว่าข้างกายพวกนางไม่มีใครอื่น จึงหันไปส่งสายตาให้หวังซีกับฉังเคอครั้งหนึ่ง กระซิบกล่าวว่า “ถานที่สี่อาจไม่ได้แต่งกับองค์ชายสี่ ได้ยินว่าฮ่องเต้ยังไม่ยอมมีรับสั่งลงมา ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายสี่อยากออกไปปกครองต่างเมืองอีก ประเดี๋ยวตอนพวกเจ้าคุยกับถานที่สี่ ก็อย่าเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งของนางเชียว”
หวังซีอดมองคุณหนูสี่ถานที่รับรองแขกอยู่ไกลๆ ไม่ได้ เอ่ยถามว่า “รู้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ทรงหมายความว่าอย่างไร”
เสียงของคุณหนูรองอู๋ยิ่งเบาลงกว่าเดิม กล่าวว่า “ได้ยินว่าหนิงผินเองก็ถูกใจถานที่สี่ อยากให้ถานที่สี่แต่งกับองค์ชายเจ็ด พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน ไม่รู้ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงคิดอย่างไร ได้ยินว่าพระนางเองก็เห็นด้วย สุดท้ายก็ต้องรอดูว่าวังหลวงจะตัดสินใจอย่างไร”
ในหัวของหวังซีมีภาพขององค์ชายเจ็ดลอยเด่นออกมา
สองคนนี้มีหน้าตาที่เหมาะสมกันจริงๆ ในทางตรงกันข้ามคุณหนูสี่ถานกับองค์ชายสี่นั้น ผู้หนึ่งดูหวานเกินไปอีกผู้หนึ่งดูเย็นชาเกินไป ดูไม่ค่อยเหมือนสามีภรรยากันเท่าไรนัก
นางถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ชีวิตที่กำหนดเองไม่ได้ อย่างไรก็ไม่มีความแน่นอน
โชคดีที่นางมาจากครอบครัวคนธรรมดา ก็เลยไม่ต้องกลายเป็นเป้าหมายของผู้ใด
หวังซีเพิ่งจะคิดเช่นนี้ไป คุณหนูรองอู๋ก็ใช้ศอกกระทุ้งนางเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มซุกซนว่า “เจ้าเล่า? พวกนางล้วนมีวี่แววกันหมดแล้ว เจ้ามีแผนการอย่างไร ไม่อย่างนั้น แต่งเข้าบ้านข้าดีหรือไม่! ครอบครัวเจ้าเคยรับงานจัดหาเสบียงให้ครอบครัวข้ามาก่อนมิใช่หรือ ก็น่าจะรู้จักครอบครัวข้ามาบ้างแล้วกระมัง! แทนที่จะแต่งกับคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า มิสู้แต่งเข้าตระกูลข้าดีกว่า พวกข้าเองก็นับว่าเป็นตระกูลซื่อสัตย์เที่ยงธรรม มีบุตรชายและหลานชายมากมาย”
เห็นได้ชัดว่าคงรู้ประโยคที่ว่า ‘ทั้งไม่กลัวทำหายและไม่กลัวถูกขโมย’ ประโยคนั้นของนางแล้ว
หวังซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวว่า “หากข้าจะแต่งกับใคร เขาต้องเชื่อฟังข้า บุรุษตระกูลเจ้าล้วนชอบมีอนุภรรยากันทั้งนั้น”
………………………………………………………