เนื่องจากโหวฮูหยินเป็นนายหญิงดูแลเรื่องในบ้าน ต่อให้ในใจเริงร่า ทว่าก็ไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้ ส่วนนายหญิงสามโดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนซื่อ หากมิใช่สถานการณ์บีบบังคับ ย่อมกระทำเรื่องตบหน้าผู้คนโดยตรงไม่ได้ มีเพียงนายหญิงรอง ที่ปากหวานก้นเปรี้ยวมาโดยตลอด ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็รีบกระโดดออกมา กล่าวว่า “คุณหนูหวังกล่าวได้ถูกต้อง” ยังกล่าวโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่าด้วยว่า “พวกเราทำตามที่คุณหนูหวังว่ามาเถิดเจ้าค่ะ เช่นนี้พวกเราก็ได้หน้า คุณหนูซือเองก็ผ่านช่วงเวลายากลำบากไปได้ด้วย มีแต่ได้กันทั้งสองฝ่าย ดียิ่งนักเจ้าค่ะ!”
นายหญิงรองคิดว่าตัวเองมีบุตรชายบุตรสาวหลายคน ต่อไปยังต้องเติมหีบให้หลานชายหลานสาวหลานย่าหลานยายอีก อย่างไรก็ไม่มีทางเสียเปรียบ
ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่เห็นด้วย!
ของหมั้นที่จวนเจิ้นกั๋วกงนำมาให้เป็นไปตามธรรมเนียมทุกกระเบียด นอกจากนี้เจิ้นกั๋วกงยังไม่ออกหน้ามาสอบถามแม้แต่ประโยคเดียว เห็นได้ชัดถึงท่าทีที่เขามีต่อการเกี่ยวดองในครั้งนี้ เฉินอิงผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่เป็นคนขี้ขลาดไร้ความสามารถ ก่อนหน้านี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่าชอบซือจู บัดนี้ตระกูลซือตกต่ำแล้ว เขาไม่เคยให้เงินซือจูเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่ตำลึงเดียว เมื่อซือจูแต่งเข้าไป คิดๆ ดูแล้วคงไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก ถึงเวลาหากเฉินอิงไม่ยอมรับน้ำใจครั้งนี้ มิเท่ากับว่าซือจูต้องเป็นคนหาวิธีตอบแทนน้ำใจนี้ด้วยตัวเองหรอกหรือ!
“นี่คงไม่ค่อยดีนักกระมัง!” ฮูหยินผู้เฒ่ามองทุกคนที่ต่างมีท่าทีเห็นด้วย กล่าวด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อยว่า “การเติมหีบก็คือการเติมหีบ สินเจ้าสาวก็คือสินเจ้าสาว จวนเจิ้นกั๋วกงเองก็เป็นตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น…”
เพียงแต่ว่านางยังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงม่านกั้นห้องดังขึ้น ซือจูเดินออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา ตวาดเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “พอแล้ว” จ้องหวังซีด้วยดวงตาแดงก่ำพลางแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า “พวกท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้ตัวเองดูลำบากใจขนาดนี้ ข้ารู้ตัวเองดีว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อะไร ถึงแม้บัดนี้ตัวข้าซือจูจะเหมือนเด็กสาวกำพร้า แต่ก็มิได้เป็นคนหน้าหนาไร้ศักดิ์ศรี ข้าขอพูดเอาไว้ตรงนี้ เงินเติมหีบนั้นข้าไม่ต้องการ เรื่องสินเจ้าสาวก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกท่านกังวลใจ ข้ามีเท่าไรก็ใช้ของเท่านั้นเป็นสินเจ้าสาว ในจิงเฉิงผู้ใดไม่รู้บ้างว่าข้าเป็นคนถังแตก ยังต้องการหน้าตาไปเพื่ออันใดอีก หากข้ามีสินเจ้าสาวเพิ่มอีกสักหน่อย ยามออกเรือนคนที่รอดูเรื่องสนุกเหล่านั้นจะไม่ชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ข้าแล้วอย่างนั้นหรือ!”
นางไม่รับเงินเติมหีบ ก็เท่ากับว่าต้องการตัดสัมพันธ์กับจวนหย่งเฉิงโหว ไม่ต้องการไปมาหาสู่กันอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างเจ็บปวดใจ
โหวฮูหยินและคนอื่นๆ รีบก้าวออกไปปลอบโยน ยังพากันกล่าวว่า “คุณหนูซืออย่าได้พูดเพราะอารมณ์โกรธ จะขาดเงินเติมหีบได้ที่ไหนกัน”
คาดว่าซือจูคงนึกถึงความทุกข์ระทมที่ครอบครัวแตกสลายขึ้นมา จึงกอดคอร้องไห้กับฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยอีกคน
หวังซียืนอยู่ด้านข้างไม่ขยับเขยื้อน พลางคิดว่าในเมื่อซือจูอย่างเจ้ารู้ดี เช่นนั้นก่อนนี้มัวทำอะไรอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการยกอัญมณีที่เคยสัญญาว่าจะมอบให้สะใภ้ใหญ่ให้เจ้า หวังซีไม่เชื่อว่าซือจูไม่รู้เรื่อง บัดนี้ทุกคนต่างคัดค้าน เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่ไม่หนักแน่นพออาจจะเปลี่ยนใจ นางก็กระโดดออกมาแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร
ปากว่าตาขยิบ ผู้ใดทำไม่เป็นบ้าง
เพียงแต่น่ารังเกียจก็เท่านั้น
นายหญิงรองกลับกลอกดวงตาไปมาอย่างใช้ความคิด รู้สึกว่าความคิดของหวังซีดียิ่ง
สินเจ้าสาวของซือจูนั้น อย่าได้คิดว่านางจะออกให้แม้แต่ตำลึงเดียว หากต้องออกให้ ก็ต้องใส่ไว้ในส่วนของการเติมหีบเจ้าสาว หากซือจูผู้นั้นยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ต้องการให้ทุกคนเติมหีบให้นาง เช่นนั้นก็ยิ่งดี ใครจะรู้ว่าเมื่อซือจูแต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ถึงกระนั้นก็ตาม ต่อให้ถึงเวลาซือจูสลัดตัวหนีไป แต่จวนหย่งเฉิงโหวกับจวนเจิ้นกั๋วกงก็ยังต้องไปมาหาสู่กันอยู่ นางอยากมองข้ามจวนหย่งเฉิงโหวก็ทำไม่ได้อยู่ดี
ทุกคนต่างคิดคำนวณลูกคิดของตัวเอง ทว่าแต่ละคนล้วนคิดถึงคำพูดของหวังซี ไม่ยอมนำเงินไปรวมเป็นสินเจ้าสาวให้ซือจูอีก ยังนำเรื่องนี้ไปบอกต่อหย่งเฉิงโหวด้วย หย่งเฉิงโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าจึงโกรธกันอย่างลับๆ อีกครั้งหนึ่ง
หวังซีไม่สนใจเรื่องพวกนี้
นางสนแค่เรื่องวางเพลิงไม่สนใจเรื่องดับเพลิง
ตัวเองยินดีมีความสุขก็พอ
แต่นางยังคงเล่าเรื่องนี้ให้เฉินลั่วฟัง กล่าวว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าเฉินอิงมิใช่คนประเภทที่คอยจับจ้องสินเจ้าสาวของภรรยา เกรงว่านี่คงเป็นเรื่องที่ซือจูกับฮูหยินผู้เฒ่าคิดขึ้นมาเอง”
เฉินลั่วฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด กล่าวว่า “เจ้าช่างเข้าอกเข้าใจเฉินอิงดียิ่งนัก!”
ในน้ำเสียงเจือความไม่พอใจจางๆ เอาไว้
หวังซีคิดว่าอาจเป็นเพราะเฉินลั่วอยากเอาชนะเรื่องเฉินอิงมากเกินไป ต้องการแยกดำขาวให้ชัดเจน รู้สึกว่าในเมื่อนางมีสัมพันธ์อันดีกับเขา ก็ไม่ควรช่วยพูดให้เฉินอิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ไม่อยากได้ยินทั้งนั้น
จุดนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนาง
นางรีบกล่าว “เข้าอกเข้าใจเขาที่ไหนกัน ข้าก็แค่คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเฉินอิงก็เติบโตมาอย่างพูนพร้อมมีอาหารอาภรณ์อย่างดี ไม่รู้จักความสำคัญของคนที่ดูแลเรื่องจิปาถะในบ้าน นอกจากไม่ให้ความสนใจกับเรื่องที่ภรรยาจะมีสินเจ้าสาวเท่าไรแล้ว เกรงว่าอาจรู้สึกด้วยว่าการสอบถามถึงสินเจ้าสาวของภรรยายังดูเป็นคนละโมบโลภมาก อาจจะยิ่งหลีกเลี่ยงมากขึ้นด้วยซ้ำ นี่เป็นข้อผิดพลาดโดยทั่วไปของบุรุษชาติตระกูลดีจำนวนมาก”
นอกจากนี้เพื่อปลอบโยนเฉินลั่วแล้ว นางยังกล่าวโจมตีเฉินอิงอย่างขัดต่อมโนสำนึกเล็กน้อยว่า “อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาถึงวัยกลางคน รู้จักความสำคัญของเงินทอง ก็คงไม่คิดเช่นนี้แล้ว”
อารมณ์ของเฉินลั่วสงบขึ้นมากอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ เขาพยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่ปิดบัง กล่าวว่า “เจ้ากล่าวได้มีเหตุผล”
เพราะฉะนั้นไม่อาจปล่อยให้เฉินอิงมีชีวิตที่สะดวกสบายมากเกินไป เขาจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้
หวังซีถึงได้ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “วันนี้เจ้ามีเวลาว่างแล้ว?”
หลายวันก่อนเฉินลั่วยุ่งมาก ไม่ได้มาขอกินข้าวกับนางที่นี่ แต่ให้คนนำจดหมายมาบอกให้นางช่วยทำอาหารแห้งไปให้เขาหลายห่อ
เฉินลั่วพยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “ข้ากับปั๋วหมิงเย่ว์คิดเหมือนกัน ต่างกำลังสืบเรื่องญาติผู้พี่คนนั้นของหนิงผินอยู่ จึงแอบเดินทางไปเมืองเป่าติ้งมาครั้งหนึ่ง”
หวังซีถามอย่างเป็นห่วงว่า “สืบได้เรื่องอย่างไรบ้าง”
“พอได้!” เฉินลั่วกล่าว ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้หวังซีฟัง แต่เอ่ยถามแทนว่า “เจ้าเตรียมตัวไปบ้านตระกูลถานถึงไหนแล้ว มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”
หวังซียิ้มตอบ “ก็แค่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับเท่านั้น เจ้าไปช่วยเลือกผ้าเลือกเครื่องประดับให้ข้าได้หรืออย่างไร”
เฉินลั่วจึงขยับตัวอย่างไม่สบายตัวเล็กน้อย กระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าไม่ถนัดเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่ตอนข้าเดินทางไปเมืองเป่าติ้งมีคนมอบเพชรให้ข้าเม็ดหนึ่ง ภายหลังข้าสืบทราบมาว่าเขาได้มาจากโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง จึงให้คนไปหาดู แล้วก็ซื้อมาอีกหลายเม็ด พอดีเลยได้มอบมันให้เจ้าเอาไปทำเครื่องประดับ”
กล่าวจบ ก็ล้วงถุงเนื้อนิ่มสีน้ำเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยท่วงท่าสบายๆ ถุงหนึ่งวางลงตรงหน้าหวังซี กล่าวว่า “เจ้าลองดู!”
น่าเสียดายที่หวังซีผู้นี้เชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าผู้คนเป็นที่สุด จึงสังเกตเห็นในทันทีว่าใบหูของเฉินลั่วแดงเล็กน้อย
นางคิดว่าสุดท้ายแล้วเฉินลั่วก็ยังอายุน้อย ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่มอบของขวัญให้ผู้อื่นต่อหน้า จะเขินอายบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
กระทั่งตอนที่นางเปิดถุงออก เห็นเพชรกองเล็กๆ กองหนึ่งที่แต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้ง ภายใต้แสงสลัวในห้องมันกลับเปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้นางหลงใหลแล้วจริงๆ
“นี่ นี่บ้านไหนเอาสมบัติของบรรพบุรุษออกมาขายกัน”
ขณะที่นางกล่าว ก็ใช้มือลูบเพชรเหล่านั้นอย่างอดใจไม่อยู่
นิ้วมือขาวผ่องไล้ไปกับอัญมณีแวววาว ยิ่งขับเน้นให้ดูขาวเนียนมากยิ่งขึ้น
เฉินลั่วรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง
เขารีบย้ายสายตาไปที่อื่น พึมพำกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “สมบัติในใต้หล้ามีความสามารถถึงได้ครอบครอง นี่อาจเป็นความโชคดีอย่างที่เจ้ากล่าวเอาไว้”
หวังซีรู้ว่าอัญมณีนี้เป็นของล้ำค่า แต่นางไม่เคยปฏิเสธน้ำใจและความปรารถนาดีของผู้อื่นอยู่แล้ว อนาคตเมื่อมีโอกาสย่อมได้ตอบแทนเฉินลั่ว และเนื่องจากนางตัดสินใจจะรับของขวัญจากเฉินลั่วแล้ว จึงยินดีทำให้ผู้ให้มีความสุข
นางกล่าว “ข้าจะให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยแนะนำช่างฝีมือมาให้ข้าสักสองสามคน หวังว่าตอนไปเป็นแขกที่บ้านตระกูลถานจะทันได้สวมเครื่องประดับชุดใหม่ไปด้วย”
เฉินลั่วร้อง “อืม” เสียงหนึ่งโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด
ในความคิดของเขานั้น เมื่อให้ไปแล้วก็เท่ากับว่าเป็นของของผู้อื่นแล้ว ผู้อื่นจะเอาไปทำอะไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขาอีก
แต่เขากลับปฏิเสธไม่ได้ว่า การมอบของให้หวังซีเป็นประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขมาก กล่าวคือ ผู้อื่นมักจะปฏิเสธอ้อมๆ อย่างเกรงใจ หนำซ้ำยังเก็บเอาไว้เป็นเวลานาน หากไม่ชอบก็ส่งต่อให้ผู้อื่น แต่ถ้าชอบ ก็ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะหยิบออกมาใช้
ใช่ว่าเช่นนั้นไม่ดี แต่มันลดทอนความยินดีของผู้ให้ไปมากโข
หวังซีแตกต่างออกไป นอกจากนางจะเอามาใช้ในทันทีแล้ว ยังกล่าวชมต่อหน้า ทำให้คนอารมณ์เบิกบานมีความสุข
ผลของการมีอารมณ์เบิกบานทำให้เขาตัดสินใจยกคฤหาสน์น้ำพุร้อนหลังหนึ่งที่หุบเขาเสี่ยวทังให้หวังซี
หวังซีปฏิเสธไปอย่างอ้อมๆ แต่ยังคงแสดงท่าทีแสนเสียดาย กล่าวว่า “อนาคตเวลาข้ามาจิงเฉิง เจ้าต้องอนุญาตให้ข้าไปเล่นที่คฤหาสน์น้ำพุร้อนของเจ้าด้วย”
เฉินลั่วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
เขารู้ว่าที่หวังซีเป็นเช่นนี้เป็นเพราะนางเตรียมตัวเดินทางกลับสู่จงอยู่ตลอดเวลา
เฉินลั่วครุ่นคิดแล้วถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้พี่ชายใหญ่ของเจ้าอยู่ที่ไหนแล้ว”
หวังซีถาม “เจ้าถามหาเขามีธุระอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า!” เฉินลั่วกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ข้าก็แค่ลองถามดู ดูว่าเขาจะมาถึงจิงเฉิงตอนใดก็เท่านั้น”
หวังซีไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวว่า “เขาน่าจะผ่านไหวอันใกล้จะถึงซู่เชียนแล้ว”
เฉินลั่วกล่าวประโยคหนึ่งว่า “เช่นนั้นก็อีกประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะถึงจิงเฉิงแล้ว” จากนั้นพูดถึงอาหารเย็นที่กำลังจะมาถึงขึ้นมา “ทำน้ำแกงเต้าหู้ฝอยสักถ้วยหนึ่งได้หรือไม่ ช่วงนี้ข้ารู้สึกระคายเคืองที่ลำคอ อยากกินอะไรน้ำๆ สักหน่อย”
“เช่นนั้นจะกินน้ำแกงเต้าหู้ฝอยอะไรกัน” หวังซีกล่าวยิ้มๆ สั่งการไป๋กั่วว่า “ทำน้ำแกงเต้าหู้ดอกเบญจมาศ เป็นช่วงที่ดอกเบญจมาศแตกดอกพอดี ลองเปลี่ยนวิธีกินสักครั้งหนึ่ง ได้ขับความร้อนออกมาด้วย ตุ๋นลูกหลีหิมะกับลูกเดือยมาสักหน่อย แล้วก็ทำเป็ดยัดไส้สามชั้นมาด้วยอีกหนึ่งอย่าง”
ไป๋กั่วขานรับคำยิ้มๆ แล้วถอยออกไป
หวังซีกับเฉินลั่วชวนกันคุยเรื่องต้นไม้ดอกไม้ของช่วงนี้ “ตามหลักแล้วควรย้ายดอกเบญจมาศนิลเข้ามาสักสองสามกระถาง ตอนคุณชายสามฉังแต่งงาน ทางด้านนี้ข้าเองก็จะได้ช่วยรับรองคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนสักสองสามคนได้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ทุกวัน โหวฮูหยินเองก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ บ้านจึงไม่มีสภาพของบ้านแล้ว”
ที่ผ่านมาเฉินลั่วไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่เพราะเรื่องเหล่านี้ออกมาจากปากของหวังซี เขาจึงรู้สึกน่าสนใจขึ้นมา เขาตั้งใจฟังไปด้วย คิดถึงหวังเฉินไปด้วย
ต้องหาเรื่องให้เขาทำสักหน่อยถึงจะใช้การได้
ยื้อเวลาจนถึงเดือนสิบเอ็ด ก็จะถึงเวลาตรวจสอบบัญชีของร้านค้า จากนั้นก็ถึงเทศกาลปีใหม่ หวังเฉินก็ไม่มีเวลาเดินทางมาจิงเฉิงแล้ว
รอให้ถึงปีหน้า สถานการณ์ก็ดีขึ้นแล้ว
เฉินลั่วคิดคำนวณอยู่ในใจ
เขาเองก็ให้เวลาตัวเองอย่างช้าที่สุดถึงประมาณเดือนสี่เดือนห้าของปีหน้าเช่นกัน
ไม่อาจช้าไปกว่านี้อีกแล้ว
ยังมีด้านองค์ชายสี่อีก ต้องหาทางทำให้เขาออกจากเมืองหลวงโดยเร็ว
รอเขาออกจากเมืองหลวงไป องค์ชายเจ็ดก็ซ่อนตัวต่อไปไม่ได้แล้ว
ทีนี้ทั้งในและนอกราชสำนักก็จะได้รู้แผนการของฮ่องเต้ ฮ่องเต้อยากคิดบัญชีพวกเขาก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว
ฟากเฉินลั่วมีการวางแผนอย่างเป็นระบบอยู่เงียบๆ ด้านหวังซีเองไม่นานก็ตามหาช่างฝีมือได้แล้วเช่นกัน
พวกเขาไม่เคยเห็นเพชรเม็ดใหญ่และมีจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน หลังจากหารือกันไปมาแล้วรู้สึกว่าควรทำเป็นมงกุฎ ทำมงกุฎที่จะเป็นมงกุฎก็ได้หรือจะเป็นที่คาดผมก็ได้ “เช่นนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่เป็นทางการและในยามปกติทั่วไปก็หยิบมาสวมใส่ได้ทั้งสิ้น”
หวังซีไม่ได้คิดมากขนาดนั้น คิดแค่ว่าเมื่อตนจากเมืองหลวงไปแล้ว อย่างมากก็เก็บเครื่องประดับชิ้นนี้ไว้เป็นของสะสมได้
ภายภาคหน้ายามส่งต่อให้บุตรหลาน ไม่แน่ว่าอาจได้เล่าประสบการณ์ของนางตอนอยู่จิงเฉิงให้พวกหลานๆ ฟังได้ด้วย
ดีร้ายเฉินลั่วก็เป็นบุรุษรูปงามที่สุดเท่าที่นางเคยเจอมา
……………………………………………………………….