บทที่ 194 เพลิงม่วงคราม
บทที่ 194 เพลิงม่วงคราม
ทุกคนเงยหน้าขึ้น พบว่าเปลวเพลิงสีม่วงที่ปกคลุมท้องนภาและดวงอาทิตย์ได้กลายเป็นสีดำอันคลุ้มคลั่งอย่างรวดเร็ว
มวลอากาศสีดำเคลื่อนที่ไปมา ชวนให้ความรู้สึกคลื่นไส้
ไม่ว่าใครก็มองออกว่ามันคือพลังมาร!
ทุกคนตกตะลึง ซุนอวิ๋นถิงผู้นี้ก้าวเข้าสู่ขั้นจ้าวยุทธ์แล้ว ถึงแม้จะยังมีความยินดี เศร้าโศก รัก และเกลียดชัง แต่สภาพจิตใจของเขาสงบนิ่งดั่งหินผา หากไม่พลาดพลั้งจริง ๆ ย่อมไม่มีทางกลายเป็นมารไปได้!
เท้าของลู่หยวนมุ่งไปสู่ความว่างเปล่า เพียงชั่วอึดใจ เขาลอยตัวลงไปเหนือยอดเขาหอก และบินลงไปที่ข้างกายฉินอี่หาน
ชายหนุ่มกวาดสายตามองผู้คนที่ยังคงตกตะลึง ก่อนกล่าวว่า “พวกเจ้ายืนนิ่งทำอะไร กำจัดมารนั่นเสีย!”
ทุกคนได้สติจากเสียงของลู่หยวน ตั้งแต่อาจารย์จนถึงศิษย์อีกจำนวนมาก สายตาของพวกเขาที่มองซุนอวิ๋นถิงพลันเปลี่ยนไป
มันไม่ใช่ความยำเกรงด้วยความหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แต่เป็นความละโมบจากก้นบึ้งของวิญญาณ!
ผู้ที่กำลังกลายเป็นมาร!
หากฆ่าเขาได้ ชื่อเสียงก็จะคงอยู่ตราบชั่วอายุคนไม่ใช่หรือ?!
ฉายา ‘ผู้ปราบมาร’ จะดังก้องไปทั่วทั้งแผ่นดินในวันรุ่งขึ้น!
ไม่ว่าจะทรัพยากร ไม่ว่าจะอาวุธวิเศษ พวกเขาสามารถดื่มด่ำกับพวกมันได้!
“ตาย!”
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ตะโกนประโยคดังกล่าวออกมา แต่ศิษย์นับไม่ถ้วนต่างพุ่งออกจากค่ายกลป้องกันเพื่อมุ่งหน้าไปหาซุนอวิ๋นถิง
อาวุธวิเศษ ค่ายกล ยันต์ รวมถึงของต่าง ๆ นับไม่ถ้วนถูกใช้งาน พวกมันพุ่งเข้าหาซุนอวิ๋นถิงหมายจะสังหาร
ลู่หยวนควบคุมหอคอยอสูรสวรรค์เพื่อสั่งให้ซุนอวิ๋นถิงผู้อยู่ในท้องนภาทำการสู้กลับ
ผ่านไปสักพัก การสังหารอย่างดุเดือดเกิดขึ้นเหนือความว่างเปล่า
ชายหนุ่มอาศัยเวลาดังกล่าวเพื่อหยิบโอสถออกมาสองสามเม็ดป้อนให้ฉินอี่หาน ก่อนถ่ายเทพลังวิญญาณบางส่วนเข้าไป ทำให้ฉินอี่หานอาการดีขึ้น
หลังจากได้รับยา ฉินอี่หานจึงนั่งขัดสมาธิในความว่างเปล่า และปรับลมหายใจเพื่อทำการรักษา
ลู่หยวนมีท่าทีผ่อนคลาย เขากำลังพยายามควบคุมหุ่นเชิดมาร แต่กลิ่นอายเบาบางกลับปรากฏขึ้นด้านหลัง
กลิ่นอายดังกล่าวเหมือนกับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้า ชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือก
บุตรศักดิ์สิทธิ์ชำเลืองมองไปด้วยสายตาเปี่ยมจิตสังหาร ไพ่ตายทั้งหมดถูกกำไว้ในมือ ก่อนพบว่ามีร่างมายาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
ร่างมายานี้ถูกปกคลุมด้วยชุดคลุมสีขาว ทั่วร่างถูกปกคลุมอยู่ในนั้น ทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน
“สหายตัวน้อย เจ้าได้มังกรเจินหลงมาจากไหนหรือ?”
ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดปาก เสียงชราภาพก็ดังขึ้น มันไม่มีร่องรอยของอารมณ์อยู่ในนั้น ราวกับกำลังถามลู่หยวนว่าสุราอาหารของภัตตาคารร้านใดเลิศรสบ้าง
“อะไร? ท่านต้องการเหมือนกันงั้นหรือ?”
ลู่หยวนหันหลัง พลังมังกรรอบข้างกดทับลงมา มังกรเจินหลงขนาดเล็กพันรอบแขนชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง ดวงตาของมันกลายเป็นแนวตั้งหรี่เกร็ง
“เปล่า ตาแก่คนนี้ก็แค่สงสัยเท่านั้น อีกอย่าง มังกรเจินหลงตัวนี้มีชะตาร่วมกับสหายตัวน้อยแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่สัญญาเป็นตายร่วมชีวิต แต่มันก็ดีกว่าสัญญาทั่วไป”
ชายชราในชุดคลุมสีขาวนิ่งไปสักพัก “เมื่อครู่ทุกคนเรียกเจ้าว่าลู่หยวนใช่หรือไม่?”
“คุณชายตระกูลลู่แห่งตำหนักธารสุญญะแดนเหนือ? บุตรชายของลู่เทียนเหอกับอู่หมิงเสวี่ย?”
ลู่หยวนรับรู้ได้เช่นกันว่าชายชราในชุดคลุมสีขาวซ่อนพลังอันมหาศาลเอาไว้ เป็นพลังในระดับที่เกินกว่าผู้คนในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้จะเทียบเคียงได้!
ต่อให้อวี๋ฉู่และเฉิงไท่ร่วมมือกัน พวกเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะร่างมายาของชายชราตรงหน้าได้
หากร่างจริงอยู่ที่นี่ เกรงว่ามันคงทรงพลังมหาศาลจนทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนตาย
หากคนเช่นนี้ต้องการพรากชีวิตลู่หยวน ย่อมไม่ต่างจากการดีดนิ้ว
เคล็ดวิชามากมายของลู่หยวนในตอนนี้นับว่าไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย เขาจึงคลายพลังทั้งหมด ก่อนตอบว่า “ใช่ ข้าคือคนที่ท่านพูดถึง”
ชายชราพยักหน้าก่อนแนะนำตัวเอง “ข้ามีชื่อว่ามู่พ่านซาน มาจากแดนมัชฌิม”
ลู่หยวนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ผู้อาวุโสมาตามหาข้ามีอะไรหรือ?”
อีกฝ่ายครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดตอนนี้ สหายตัวน้อยจะเข้าร่วมการแข่งขันภายในของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่? หากสหายตัวน้อยเอาชนะการแข่งขันภายในได้ ข้าจะรอสหายตัวน้อยอยู่ในแดนมัชฌิม!”
เมื่อกล่าวจบ มู่พ่านซานหันหลังก่อนหายไปในทันที
ลู่หยวนเอียงศีรษะราวกับไม่เข้าใจว่าที่ผู้ชายคนนี้กล่าวมีความหมายว่าอะไร
เพียงแต่ ช่วงที่เสียเวลาไปนี้ ซุนอวิ๋นถิงก็ถูกฉีกทึ้งเป็นแปดท่อนเก้าท่อนเรียบร้อยแล้ว
เมื่อลู่หยวนกลับมามีสติ เขาขมวดคิ้วขณะมองร่างที่ถูกฉีกทึ้งโดยเหล่าศิษย์ในสำนักทั้งหลาย
ตายไวขนาดนี้เชียวหรือ?!
ทำไมไร้ประโยชน์เพียงนี้?!
ยามที่สนทนากับมู่พ่านซานเมื่อครู่ ลู่หยวนได้เปิดใช้งานรูปแบบโจมตีเตรียมไว้แล้ว!
ชิ! ดูท่าว่ารูปแบบโจมตีเองจะยังไม่ดีพอ ครั้งหน้าข้าคงต้องควบคุมเองเสียแล้ว!
อวี๋ฉู่ทะยานมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลู่หยวนพร้อมเพลิงม่วงครามในมือ ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่ม
“เจ้าหนู ของที่เจ้าต้องการ!”
มือของอวี๋ฉู่เต็มไปด้วยโลหิต ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอันแจ่มใส
เขาคือคนที่สังหารซุนอวิ๋นถิงด้วยการโจมตีเมื่อครู่!
ในฐานะผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สังหารผู้กลายเป็นมารได้ด้วยมือตัวเอง เขาจะไม่ตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร?!
พรุ่งนี้ ชื่อเสียงของเขาจะขจรไปไกลในแผ่นดินหยวนหงอีกครั้ง!
ศิษย์ทั้งหลายผู้อยู่ด้านข้างมองเพลิงม่วงครามที่ตกไปอยู่ในมือของลู่หยวน แต่ละคนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา!
ซุนอวิ๋นถิงสร้างตระกูลของตนขึ้นด้วยเพลิงม่วงคราม!
ต่อมาเขาไต่เต้ามาสู่ตำแหน่งบรรพชนดาบก่อนเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในฐานะอาจารย์!
วาสนาที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้กลับตกไปอยู่ในมือของลู่หยวน!
ลู่หยวนหยิบเพลิงม่วงครามขึ้น เปลวเพลิงในมือกระสับกระส่ายรุนแรง เสียงฉ่ายังคงดังไม่หยุด เปลวเพลิงนี้คล้ายกับอยากหลบหนีจากฝ่ามือของลู่หยวน
บุตรศักดิ์สิทธิ์หลุบสายตา พลังมังกรยิ่งใหญ่พลันเคลื่อนลงมา เมื่อเพลิงม่วงครามสัมผัสถึงแรงกดดันนี้จึงสงบลงทันที
“เพลิงม่วงครามอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในรายชื่อเพลิงวิญญาณ?”
อวี๋ฉู่ตอบว่า “ประมาณอันดับห้าสิบ ข้าเองก็ลืมไปแล้ว”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว “เพลิงวิญญาณในรายชื่อทั้งหมดมีจำนวนเท่าใด?”
“หนึ่งร้อยรายชื่อ”
ลู่หยวนพลันรู้สึกรังเกียจขึ้นมา “ขยะ!”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็โยนเพลิงม่วงครามเข้าไปในจิตเทวะก่อนปล่อยให้หอคอยอสูรสวรรค์กลืนกินมันเข้าไป
เดิมทีชายหนุ่มคิดว่าเพลิงม่วงครามนี้จะต้องติดสิบอันดับแรกของรายชื่อเพลิงวิญญาณ แต่กลายเป็นว่ามันอยู่ที่อันดับประมาณห้าสิบ
จากทั้งเพลิงวิญญาณหนึ่งร้อยรายชื่อ จึงถือว่าระดับของมันต่ำเตี้ยนัก!
สิ่งนี้ไม่มีค่าพอให้หลอมรวม มันจึงถูกปันส่วนให้กับหอคอยอสูรสวรรค์!
เมื่อศิษย์ทั้งหลายได้ยินดังนี้ หน้าอกของพวกเขาบีบรัดราวกับถูกหินก้อนใหญ่กดทับตรงหัวใจ
ใบหน้าของพวกเขาร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวด ในสายตาของลู่หยวน สิ่งที่พวกเขาไม่อาจใฝ่ฝันที่จะได้มาครองกลับเป็นแค่ขยะอย่างนั้นหรือ?!
“เขาบอกว่าเพลิงม่วงครามเป็นขยะงั้นหรือ?! มันติดรายชื่อเพลิงวิญญาณนะ! หากมีมัน ย่อมนับว่ามีวาสนาเพิ่มอีกหนึ่ง!”
“ถ้าเพลิงม่วงครามเป็นขยะแล้วข้าเป็นอะไร?! แย่ยิ่งกว่าขยะงั้นหรือ?!”
“ถ้าไม่ต้องการเพลิงม่วงครามก็เอามาให้ข้า! ข้าต้องการขยะชิ้นนั้น!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ อวี๋ฉู่แค่เพียงกลอกตา เขาไม่เก็บมาคิดจริงจัง
ลู่หยวนพลันถามว่า “จะว่าไป เหล่าอวี๋รู้จักมู่พ่านซานหรือไม่?”
ดวงตาที่กลอกไปมาของอวี๋ฉู่ไม่ได้หันกลับมา แต่เมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว เขากลับตกตะลึงโดยทันที “เมื่อครู่เจ้าพูดชื่อใครนะ?!”
“มู่พ่านซาน เขาเป็นใครหรือ?”
ดวงตาของผู้ฟังหลุบต่ำ “เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องของเขา?”