บทที่ 195 วั่งไฉ

บทที่ 195 วั่งไฉ

ลู่หยวนไม่บอกความจริง เขาเพียงบอกเหตุผลว่าเคยได้ยินชื่อจากผู้อื่นมาก่อน จนบังเกิดความสงสัยขึ้นมา

อวี๋ฉู่ไม่สงสัยแต่อย่างใด ถึงอย่างไรชื่อนี้ก็เป็นที่คุ้นหูต่อผู้คนในแดนมัชฌิมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แต่ลู่หยวนมาจากแดนเหนือ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่คุ้นเคยกับผู้คนในแดนมัชฌิม

“ท่านมู่คือหนึ่งในองครักษ์ของจักรพรรดินีฉวนจง ไม่มีใครล่วงรู้ชีวิตที่มาที่ไปของเขาอย่างแท้จริง น้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัว และเขาจะปรากฏตัวพร้อมกับจักรพรรดินีเท่านั้น”

“ส่วนการบ่มเพาะของเขายังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ว่าเขาเคยฆ่าจ้าวยุทธ์ด้วยหนึ่งฝ่ามือ เจ้าน่าจะพอชั่งน้ำหนักขั้นของเขาได้ไม่มากก็น้อยจากสิ่งนี้!”

บุตรศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้ว แม้แต่อวี๋ฉู่ก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่าท่าน …มู่พ่านซานผู้นี้ทรงพลัง อีกทั้งยังมีความข้องเกี่ยวกับจักรพรรดินีฉวนจง

แต่คนเช่นนั้นมาหาเขาเพราะเรื่องอะไรกัน?

ลู่หยวนยื่นมือออกไปสัมผัสมังกรเจินหลงขนาดเล็กที่พันอยู่รอบแขน

…พอผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มจึงค่อยสะกดความสงสัยเอาไว้ได้

ท้ายที่สุดแล้วมู่พ่านซานน่าจะไม่ใช่ศัตรู ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกฆ่าไปแล้ว!

อวี๋ฉู่ชำเลืองมองที่แขนของลู่หยวน ดวงตาของเขาเผยร่องรอยความอิจฉา

นี่คือมังกรเจินหลง!

มันคือสัตว์เทวะ!

ตั้งแต่มหาสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน ร่องรอยของสัตว์เทวะยิ่งเลือนราง มีข่าวลือว่าในช่วงหนึ่งหมื่นปีก่อนสัตว์เทวะถูกกวาดล้างจนสิ้นไปแล้ว ถึงแม้อวี๋ฉู่จะนำคนออกตามหาร่องรอยของมังกรเจินหลงด้วยตัวเอง แต่ท้ายที่สุดพวกเขาต่างพบกับทางตัน

แต่ตอนนี้ สัตว์เทวะตัวนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หากบอกว่าไม่ต้องการช่วงชิงมาก็ออกจะเป็นการโกหกเกินไปหน่อย!

อวี๋ฉู่สะกดความละโมบในดวงตาเอาไว้ เขามองออกว่าถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยสัญญา แต่ดูจากรูปลักษณ์ของมังกรเจินหลงขนาดเล็กตัวนี้แล้ว …มันคงยอมรับอีกฝ่ายเป็นเจ้านายไปแล้วเป็นแน่แท้!

สัตว์เทวะที่ยอมรับเจ้านาย หากคนอื่นช่วงชิงมันไป อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวิถีโชคชะตาได้!

ช่างเถอะ เขาเองก็อายุปูนนี้แล้ว ต่อให้มีมังกรเจินหลงก็ต้องใช้เวลาในการฝึกนาน เขาอาจจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจวบจนสิ้นอายุขัย!

ยิ่งกว่านั้น หากวิถีโชคชะตาได้รับความเสียหายเพราะไปช่วงชิงมังกรเจินหลงมา มันจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสียเข้าไปใหญ่!

ทว่าถึงแม้เขาไม่คิดจะช่วงชิง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะคิดแบบเดียวกัน!

วันนี้ลู่หยวนแสดงไพ่ตายออกมาแล้ว มันอาจจะดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนให้มาหาเขาก็เป็นได้!

ตัวคนไม่ผิด… แต่ผิดที่ครอบครองหยกล้ำค่า!

เจ้าหนูที่โชคดี กลับยังทำตัวเฉยชายิ่งนัก!

“สัตว์เทวะของเจ้ามีชื่อแล้วหรือยัง?”

อวี๋ฉู่ละสายตาจากมังกรเจินหลง ก่อนเอ่ยถามเสียงราบเรียบ

ลู่หยวนตกตะลึงเล็กน้อย เขายังไม่เคยคิดเรื่องชื่อของมังกรเจินหลงตัวนี้เลย

“ยังเลย ขอข้าคิดดูสักครู่”

ชายหนุ่มหลุบตาพลางครุ่นคิด ส่วนอดีตเจ้าสำนักหยิบขวดน้ำเต้าสีม่วงทองออกมา เขาลิ้มรสสุราประมาณหนึ่งด้วยความรู้สึกสบายใจ

“เรียกมันว่าเจ้าวั่งไฉ (ร่ำรวย) ก็แล้วกัน”

“พรืด!”

อวี๋ฉู่ผู้กำลังจิบสุราถึงกับสำลักออกมา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

ตระกูลของเจ้าสอนให้ตั้งชื่อสัตว์เทวะว่าวั่งไฉหรือ?!

นี่มันสัตว์เทวะนะ!

มันคือมังกรเจินหลง!

ไม่ใช่สุนัขสีเหลืองที่นั่งอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านเสียหน่อย!

แต่ลู่หยวนกลับไม่คิดเช่นนั้น เขายื่นมือออกไปเกาคางของมังกรเจินหลงน้อย “เจ้าชอบชื่อนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?”

มันยื่นคางให้ชายหนุ่มด้วยความหลงใหล ดวงตามังกรอันน่าหวาดกลัวของมันหรี่ด้วยความพึงพอใจ หางของมันแกว่งไกวด้วยความยินดีราวกับเห็นด้วยกับชื่อที่ชายหนุ่มตั้งให้

ตอนนี้มังกรเจินหลงตัวจ้อยยังไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ดังกล่าว

ใครกันจะคาดคิดว่าในภายหน้า ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่จนสามารถฆ่าล้างคนนับล้านด้วยโทสะจะกล่าวถ่อมตัวกับผู้อื่นว่า อย่าเรียกพวกเขาด้วยชื่อมหาจักรพรรดิวั่งไฉ!

แน่นอนว่านี่คือเรื่องในอนาคต

อวี๋ฉู่เห็นท่าทีของมังกรเจินหลงขนาดเล็กแล้วก็ได้แต่รู้สึกอับอาย

ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เขาที่ต้องมาอาย

อดีตเจ้าสำนักยกมือซ้ายเพื่อวาดยันต์แปลกประหลาด ยันต์ส่องแสงสว่างสีม่วง จากนั้นขวดน้ำเต้าสีม่วงทองในมือขวาพลันหมุนไปมา พลังวิถีทะยานขึ้นสู่ท้องนภาก่อนเคลื่อนลงมาที่ด้านหลังยันต์

อวี๋ฉู่แยกยันต์ออกเป็นสองส่วน ก่อนสลักพวกมันลงบนตัวลู่หยวนและมังกรเจินหลงขนาดเล็กตามลำดับ

ยันต์สีม่วงส่องแสงก่อนจางหายไปในที่สุด พวกมันซ่อนอยู่ในร่างของทั้งสอง

“ยันต์เหล่านี้มีพลังวิถีของข้าอยู่ พวกมันสามารถเปิดใช้งานในช่วงคับขันเพื่อส่งพวกเจ้าทั้งสองไปที่ปลอดภัยได้”

อวี๋ฉู่เผยสีหน้าจริงจังออกมา “เจ้าหนู ถ้าเจ้าฝึกฝนแค่วิถีเดียว ผู้อ่อนแอจะตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง!”

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีผู้แข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ออกจากแดนเหนือมาแล้ว บางครั้งวาสนาเหล่านั้นที่อยู่บนตัวเจ้าสามารถกลายเป็นคมดาบที่พรากชีวิตได้เช่นกัน!”

อวี๋ฉู่กล่าวจากใจจริงว่า “หากเจ้าอยากยืนอยู่จุดสูงสุดของมหาวิถีอย่างไร้พ่าย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเอาตัวรอด!”

ลู่หยวนรู้ว่าอวี๋ฉู่ทำเพื่อเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับทันที “เหล่าอวี๋ ข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว”

“ผู้ใดคือเหล่าอวี๋ ไม่ต้องเติมอายุให้! พ่อของเจ้าพบเจอข้า ยังต้องใช้สรรพนามท่านอย่างนอบน้อมด้วยซ้ำ!”

อวี๋ฉู่กลอกตา จากนั้นยื่นมือไปแตะลู่หยวน กลิ่นอายหนึ่งถูกถ่ายเทออกไปหมายจะสืบค้นการบ่มเพาะพิเศษของชายหนุ่ม

แต่เมื่อกลิ่นอายเคลื่อนไปถึงร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์ เขาสัมผัสได้ถึงพลังมังกรที่พวยพุ่งขึ้นมา ไม่ช้ากลิ่นอายที่ว่าก็หายเข้าไปในร่างของเขาจนไม่เหลือร่องรอย

“ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมข้าถึงตรวจสอบไม่ได้?”

ลู่หยวนก้าวถอยหลังครึ่งก้าว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนตอบว่า “รอให้ถึงการแข่งขันภายในของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก่อน แล้วท่านจะทราบเอง!”

ภายหลัง บุตรศักดิ์สิทธิ์พาฉินอี่หานผู้เพิ่งได้สติจากการฟื้นตัวกลับยอดเขาหอก

อวี๋ฉู่มองร่างของอีกฝ่ายที่กำลังจากไป แววตาของเขาเผยความจนใจเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเพื่อตามเฉิงไท่กลับไปที่ยอดเขาหลัก

กลิ่นอายทั้งหมดในท้องนภาหายไป ค่ายกลป้องกันกับค่ายกลทั้งหลายต่างหยุดทำงาน ทุกคนแยกย้าย ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ

ส่วนยอดเขาดาบที่เหลือเพียงก้อนหินตั้งตระหง่านกับยอดหญ้าที่เคลื่อนไหวไปตามสายลมพัดพา บางครั้งจะมีก้อนหินหนึ่งถึงสองก้อนตกลงไปในหุบเหว

เมื่อกลับถึงยอดเขาหอก ลู่หยวนและฉินอี่หานยืนอยู่นอกห้องโถงหลัก แสงสว่างสีทองสาดส่องเจิดจ้า พลังวิญญาณเคลื่อนตัวเล็กน้อย พลังเซียนผันผวน ราวกับวาสนาแปลกประหลาดกำลังพลิกผัน

เหนือประตูตำหนัก มีเคล็ดวิชาจำนวนมากถูกสลักเอาไว้ อักขระสีชาดจำนวนมากสำแดงพลังของพวกมันออกมา

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือขวาออกไป สองนิ้วของเขาสัมผัสประตูตำหนัก

วิ้ง!

อักขระมากมายเกิดการผันผวนในทันที แรงกดดันที่เป็นของลู่หยวนระเบิดออกในพริบตา ทำให้พวกมันทั้งหมดสลายไป

เขาผลักประตูเข้าไป และพบว่าบนเตียงในห้องโถงใหญ่มีเซียนสาวผู้มีดวงตางดงามกำลังนอนอยู่ นางเอนกายบนเตียงนุ่มอย่างสงบ เข้าสู่ห้วงนิทรา

ผ้าไหมบางปกคลุมร่างของหญิงสาวเอาไว้ ทำให้นางดูมีเสน่ห์ ขณะที่รอบข้างเต็มไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์หาใดเปรียบ ราวกับเซียนจุติมาสู่ปฐพี

หากชายใดมาเห็นฉากนี้ พวกเขาอาจจะไม่ได้มีความคิดชั่วร้าย คงจะมีเพียงความต้องการที่จะหมอบลงกับพื้นด้วยความศรัทธา ไม่กล้าเงยหน้ามองร่างเซียน!

สตรีผู้นี้คือไป๋ชิวเอ๋อร์…

หลังจากฉินอี่หานตามเข้ามาในตำหนัก ดวงตาของนางได้เผยร่องรอยความประหลาดใจออกมาเมื่อพบเห็นนาง

คุณหนูไป๋ผู้นี้คล้ายกับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่มันก็ยากที่จะอธิบาย

แต่ว่า…

ฉินอี่หานหรี่ตา ก่อนเอ่ยถามชายหนุ่มว่า “นายท่าน เหตุใดตอนนี้นางจึงสูญเสียการบ่มเพาะไปหรือ?”

ลู่หยวนตอบอย่างเฉยชาว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงแค่ระงับมันเอาไว้”