บทที่ 196 ครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเทพ

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 196 ครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเทพ

บทที่ 196 ครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเทพ

แม้ตอนนี้ไป๋ชิวเอ๋อร์ผู้นอนอยู่บนเตียงจะถูกห้อมล้อมด้วยพลังวิญญาณ แต่นางกลับไร้ซึ่งการบ่มเพาะ

ฉินอี่หานที่ได้ยินถึงกับตื่นตกใจ จากนั้นอีกฝ่ายจึงเอ่ยคำ “ตอนนี้นางครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว การบ่มเพาะตลอดสิบปีก่อนหน้านี้จึงไม่ต่างอะไรกับกองโอสถที่สั่งสม หากว่ายังใช้พื้นฐานการฝึกนี้ต่อไปเกรงว่าจะมีปัญหาได้”

“ระงับไว้ก่อนจึงดีกว่า เริ่มฝึกฝนเสียตั้งแต่ต้น มุ่งเน้นไปที่เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน เพื่อทำการทะลวงขั้นที่สูงขึ้น และมุ่งสู่จุดสูงสุด!”

สิ้นเสียงไม่ทันไร ลำแสงสีแดงพลันปรากฏขึ้นจากนอกตำหนัก มันสาดส่องทั่วท้องนภา เจตจำนงหอกพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ทั่วทั้งยอดเขาหอกถูกปกคลุมด้วยเจตจำนงหอกนี้ ทำให้ค่ายกลทั้งหมดที่อยู่นอกยอดเขาหอกกะพริบไปมา พวกมันส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวกับกำลังขัดขืนกลิ่นอายที่กำลังพุ่งขึ้นมา

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ แสงสว่างสีแดงค่อย ๆ สลายหาย เจตจำนงหอกหายไปเช่นกัน

ภายหลังเลือนหาย พลังสูงสุดกระจายออกในชั่วพริบตา พร้อมกับปกคลุมทั่วทั้งยอดเขาหอก

แม้กระทั่งลู่หยวนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแข็งแกร่งที่กำลังกดทับร่างกาย ส่วนวั่งไฉที่พันอยู่รอบตัวเขาถึงกับขดตัวเพื่อทำการขัดขืนด้วยพลังมังกร

“เรื่องแบบนี้มาไม่หยุดไม่หย่อนเลยจริง ๆ!”

ชายหนุ่มมองออกไปด้านนอก ก่อนจะกล่าวกับฉินอี่หานว่า “เจ้าดูแลไป๋ชิวเอ๋อร์อยู่ที่นี่”

ฉินอี่หานพยักหน้าตอบ ส่วนร่างของลู่หยวนวูบไหว ก่อนมุ่งหน้าสู่ต้นตอที่พลังถูกปลดปล่อยออกมา

เขาก้าวทะยานออกไป เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เขาจึงมาถึงสถานที่ลับบนยอดเขาหอก

มีก้อนหินแปลกประหลาดอยู่ที่นี่ทั่วทุกหนแห่ง สายลมและหมู่เมฆกำลังพัดพาอย่างบ้าคลั่ง ค่ายกลกำลังโคจรในอากาศธาตุ

เจตจำนงหอกไร้เทียมทานกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าปรากฏขึ้นจากอักขระของค่ายกล อักขระหมุนวนไปมารวดเร็วบ้างเชื่องช้าบ้าง ราวกับพวกมันได้รับผลจากเจตจำนงหอกทรงพลังที่อยู่ข้างใน

“วิถีไร้ใจหรือ?”

ลู่หยวนกระซิบแผ่วเบา

ชายหนุ่มคุ้นเคยกับเจตจำนงหอกนี้เป็นอย่างดี มันเป็นของหลิงอวิ๋นไม่ใช่หรือ?!

คล้ายว่านางจะเข้ามาที่นี่เพื่อทำการเก็บตัวฝึกฝน เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ นางน่าจะก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญแล้ว!

ยิ่งกว่านั้น ในจุดที่กลิ่นอายสลายไป หลิงอวิ๋นคล้ายกับอยากก้าวเข้าสู่วิถีไร้ใจในอึดใจเดียวเพื่อจะใช้โอกาสนี้ในการทะลวง!

วิถีไร้ใจ…

อดีตบุตรแห่งชะตาเช่นหยางอวิ๋นก็เคยเป็นเหมือนดังหลิงอวิ๋นใช่หรือไม่?

หากเป็นเช่นนั้น ตามสถานการณ์ปกติแล้ว หลิงอวิ๋นที่เป็นยอดหญิงคนหนึ่งก็ไม่ควรที่จะใช้วิถีไร้ใจ!

ด้วยเหตุนั้น เป้าหมายการบ่มเพาะสูงสุดของหลิงอวิ๋นควรเป็นวิถีสรรพสิ่ง!

นับตั้งแต่โบราณกาล วิถีสรรพสิ่งกับวิถีไร้ใจเป็นสองกลุ่มที่ขัดแย้งกัน บางคนยึดมั่นในสิ่งเดียว ขณะที่บางคนสลับไปมาระหว่างทั้งสอง

ทั้งสองวิถีจึงมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน และต่างมีความโดดเด่นยอดเยี่ยม

แต่ว่า…

สิ่งที่เรียกว่ามหาวิถีนั้นเหี้ยมโหด ในเมื่ออาจารย์อยากก้าวเข้าสู่วิถีไร้ใจมากนัก ข้าก็จะช่วยสงเคราะห์แล้วกัน!

มุมปากของลู่หยวนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อปลายนิ้วของเขาเหยียดตรง กระแสพลังมารได้แผ่ออกไป ก่อนมุ่งตรงเข้าสู่ค่ายกล

พลังมารสีดำหลบหนีจากวงล้อมพร้อมทำการกำราบค่ายกลอักขระ ก่อนจะเคลื่อนไปตามเจตจำนงหอก

เจตจำนงหอกไร้ที่สิ้นสุดแน่นิ่งสักพัก จากนั้นจึงกลับสู่ความปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยืนเอามือไพล่หลัง กลุ่มพลังมารที่เขาเพิ่งส่งไปมีขนาดเล็ก ย่อมไม่ส่งผลลบต่อหลิงอวิ๋นแต่อย่างใด อีกทั้งยังช่วยให้นางตัดขาดจากราคะในใจได้อีกด้วย

ตอนนี้ถึงเวลาที่หลิงอวิ๋นจะทำการทะลวงแล้ว หากนางถูกปลูกถ่ายพลังมารเข้าไปจนกลายเป็นหุ่นเชิดมารขึ้นมา ไม่เพียงแค่การทะลวงของนางจะหยุดทันทีเท่านั้น แต่การฝึกหอกของหลิงอวิ๋นจะถึงจุดสิ้นสุดด้วยเช่นกัน

หลิงอวิ๋นคือคนที่กุมโชคชะตาแห่งหอกในแผ่นดินหยวนหงเอาไว้ หากกลายเป็นหุ่นเชิดมารทั้งอย่างนี้ มันจะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ?

กลุ่มพลังมารนี้ไม่เพียงแค่ช่วยหลิงอวิ๋นตัดขาดราคะเท่านั้น แต่ยังทำให้กลิ่นอายของลู่หยวนหลงเหลืออยู่ในใจของหลิงอวิ๋นอีกด้วย

ต่อให้หลิงอวิ๋นบรรลุมหาวิถีจนกลายเป็นผู้เหี้ยมโหดไร้ใจได้ในอนาคต แต่นางจะยืนหยัดเพื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเพื่อต่อสู้กับโลก!

จุ๊ ๆๆ

เขายังไม่เคยมีผู้ติดตามวิถีหอกเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?!

ลู่หยวนไม่สนใจความผันผวนของกลิ่นอายในค่ายกลอีกต่อไป เขาหันหลังก่อนมุ่งหน้าเข้าสู่ห้องโถงหลัก

“ระบบ สรุปสถานการณ์ในช่วงไม่กี่วันนี้!”

[ระบบรับคำสั่ง!]

[ระบบแจ้งเตือน ท่านแบกรับเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์เอาไว้ เสิ่นฉงยังไม่ทำการกลืนกินส่วนย่อยของพลังเข้าไป การบ่มเพาะของเขาทะลวงไปครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเทพ!]

[มังกรเจินหลงดูดกลืนพลังของโอสถมังกรศิลาเข้าไปแล้ว! ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 6,000 แต้ม!]

[เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์ที่เป็นผู้ติดตามของท่านได้รับการซ่อมแซมแล้ว ค่าชะตาจึงเพิ่มขึ้น! ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 6,000 แต้ม!]

[ค่าชะตาวายร้ายของท่านในปัจจุบันคือ 23,000 แต้ม! (ค่าชะตาวายร้ายถูกใช้แลกเปลี่ยนตอนสลับตัว!)]

“ตรวจสอบข้อมูล”

[ นาม : ลู่หยวน

สถานะ : บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ แห่งเผ่าธารสุญญะแดนเหนือ และ นายน้อยแห่งสำนักอักขระสวรรค์

ฐานการบ่มเพาะ : ขั้นเทียมเทพ ระดับครึ่งก้าว

พลัง : เบิกเนตรเทวะ เพลงกระบี่ขั้วสวรรค์ พลังสวรรค์มังกรเจินหลง

วิชา : ยันต์สวรรค์บรรพกาล

สายเลือด : มาร

สมบัติศักดิ์สิทธิ์ : หอคอยอสูรสวรรค์

ผู้ติดตาม : ไป๋ชิวเอ๋อร์ ฉินอี่หาน วั่งไฉและอื่น ๆ]

ลู่หยวนปิดกระดานข้อมูล ในใจของเขารู้สึกโล่งยิ่งนัก เพียงแค่ไม่กี่วัน เขาก็ได้ผลประโยชน์มากมายนัก!

ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่การแข่งขันภายในจะเริ่มขึ้น

เขาควรเก็บตัวสักพักเพื่อตรวจสอบผลประโยชน์ล่าสุดที่ได้รับมา!

บุตรศักดิ์สิทธิ์กลับสู่ห้องโถงหลัก ก่อนส่งไป๋ชิวเอ๋อร์และฉินอี่หานกลับยอดเขาสูงสุด

เมื่อเฉิงไท่เห็นว่าไป๋ชิวเอ๋อร์ฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ได้แล้ว เขาบังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา แต่การบ่มเพาะของไป๋ชิวเอ๋อร์ถูกระงับไว้ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้

แต่ถ้ามีเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในร่างกาย อย่าว่าแต่การบ่มเพาะเลย ต่อให้การบ่มเพาะขั้นปรมาจารย์ยุทธ์จะถูกระงับ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง!

ลู่หยวนส่งทั้งสองคนไปหาเฉิงไท่แล้วจึงกลับยอดเขาหอก เขาหาถ้ำแห่งหนึ่งเก็บตัวฝึกฝน

นอกแดนมัชฌิมในตอนนี้ ชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนพร้อมดาบสีทองขนาดใหญ่บนแผ่นหลัง เคล็ดวิชาเต๋าเลือนรางโคจรรอบตัวเขา ทำให้ผู้คนจำนวนมากส่งสายตาด้วยความเคารพยำเกรง

ชายหนุ่มส่งเสียงฮัมเพลง ท่าทีสุขสำราญ…

เขายืนอยู่นอกเมืองแดนมัชฌิมในท่วงท่ายืดเอว สายตากวาดมองผู้คนที่เดินผ่านไปมากับบรรยากาศรอบข้างที่คุ้นเคย ในใจพลอยรู้สึกยินดี

“นับตั้งแต่ข้าไปฝึกฝนก็ผ่านมาสองปีแล้ว! ในที่สุดก็ได้กลับมาเสียที! ไม่รู้ว่าอาจารย์จะทราบเรื่องที่ทำงานเสร็จก่อนกำหนดหรือไม่ แต่ก็คงไม่ประหลาดใจอะไร”

“นี่ ๆ เจ้าหนู ที่เจ้าออกมาจากเขตแดนลับของหุบเขาเมฆาไวขนาดนี้ เป็นเพราะข้าไม่ใช่หรือ?”

เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจชายหนุ่ม ไม่มีใครที่ผ่านไปมาได้ยินเสียงกระซิบนี้

ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่แล้ว ถ้าข้าไม่ได้พบท่านหู่ เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถทำความเข้าใจพลังวิถีดาบสุดท้ายนั่นได้!”

“ท่านหู่ไม่ต้องห่วง เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ ข้าจะต้องพาท่านหู่ไปหาเผ่าพยัคฆ์โลหิตแห่งหุบเขาบูรพาเพื่อนำร่างของท่านหู่กลับมาให้ได้อย่างแน่นอน!”

“ดี ข้าเชื่อว่าเจ้ารักษาสัญญา!”

เมื่อเสียงแหบพร่าจางหายไป ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินตรงไปในเมือง

ทันทีที่ก้าวเข้าเมือง เขาก็ได้ยินเสียงบางส่วนจากด้านข้าง

“พวกเจ้าทราบข่าวหรือไม่ ในตอนนี้มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”

ความสนใจของหลายคนถูกดึงดูดด้วยประโยคนี้ ฝีเท้าของชายหนุ่มช้าลงเมื่อมีการกล่าวถึงสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์

เขากวาดสายตา พบว่ามีผู้คนมากมายรวมตัวกันเพื่อเอ่ยถามคนที่เปิดประเด็น “เกิดอะไรขึ้นกับสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หรือ?!”

ชายคนนั้นถอนหายใจ เขาแสร้งทำเป็นครุ่นคิดเพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของทุกคน ก่อนจะตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่าซุนอวิ๋นถิงผู้เป็นบรรพชนดาบของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ตายแล้ว!”