บทที่ 197 ศิษย์เอกของบรรพชนดาบ… ฉู่เชิ่ง!
บทที่ 197 ศิษย์เอกของบรรพชนดาบ… ฉู่เชิ่ง!
ฝีเท้าของชายคนหนึ่งพลันหยุดนิ่ง โทสะบังเกิดขึ้นในทันที เพียงหนึ่งอึดใจ เจตจำนงดาบพลันกดทับพื้นที่ดังกล่าว
คนที่สนทนาเสียงดังเมื่อครู่รู้สึกได้ว่าลำคอถูกบีบรัดอย่างรุนแรง ดาบใหญ่พาดที่คอของเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยจิตสังหารได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใครตาย?!”
ขาของคนผู้นั้นสั่นเทา เนื่องจากจิตสังหารปกคลุมอากาศประกอบดาบประชิดพาดที่คอ ทำให้เขาตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าน้อยบอกว่าบรรพชนดาบของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตายแล้ว”
คนฟังโกรธจัดจนแทบจะกัดฟัน เขากล่าวประโยคออกมาว่า “เจ้ากล้าแพร่งพรายข่าวลวงเรื่องของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ออกไปได้อย่างไร รนหาที่ตายนัก!”
จิตสังหารทั่วท้องนภากดทับลงมา คนผู้นั้นหวาดกลัวจนฉี่ราด เขาคุกเข่ากับพื้นทั้งน้ำตา ก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน ขะ ข้าน้อยไม่กล้าแพร่งพรายข่าวลวง มันเป็นเรื่องจริง มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!”
“นายท่าน ข้าน้อยไม่กล้าพูดจาเหลวไหล ทุกคนบนยอดเขาดาบตายแล้ว!”
ผู้ฟังยิ้มหยันก่อนดึงดาบในมือกลับไป คนผู้นั้นที่นั่งคุกเข่าอยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่พริบตาต่อมา ดาบแสงสว่างวูบไหว โลหิตพลันกระเซ็นไปทั่ว
ศีรษะของคนผู้นั้นที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหลุดออกจากบ่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อคนที่เหลือเห็นดังนี้ พวกเขาต่างพากันหน้าซีด ร่างกายอ่อนปวกเปียก ต่างก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ด้วยเกรงว่าเทพสังหารตรงหน้าจะเข้ามาพรากชีวิตไป
ชายหนุ่มเก็บดาบกลับไป “เหลวไหลสิ้นดี! ทุกคนในยอดเขาดาบจะตายได้อย่างไร?!”
“เพราะข้าคือศิษย์เอกของบรรพชนดาบ ฉู่เชิ่ง!”
ฉู่เชิ่งเลิ่กชุดคลุมขึ้น ก่อนทะยานไปทางสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์
สายลมและหมู่เมฆเคลื่อนตัว ชายหนุ่มบุกมาถึงประตูของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป
ฉู่เชิ่งมองประตูสำนักที่คุ้นเคย อารมณ์ของเขาปั่นป่วนรุนแรง
ช่างเป็นวันที่แย่อะไรอย่างนี้!
ทันทีที่กลับมาก็ได้ยินคนพูดจาเหลวไหล!
ฉู่เชิ่งสะกดความไม่ยินดีเอาไว้ในใจ สายตาของเขามองยอดเขาทั้งหลายของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์
หลังจากชำเลืองมอง เขาก็ขมวดคิ้ว เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างหายไป?!
ขณะมองยอดเขาบรรพชนทั้งหลายที่ตั้งตระหง่าน ศิษย์เอกของบรรพชนดาบก้าวเท้า ร่างของเขาทะยานไปข้างหน้า ก่อนมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาดาบตามสัญชาตญาณ
หลังจากผ่านประตูสำนักไปแล้ว เขาพบร่างอันคุ้นเคยกำลังขี่กระบี่ คนผู้นั้นคือชายร่างอ้วนปราดเปรียวสวมชุดลายปักดอก
ฉู่เชิ่งหยุดเดิน ก่อนตะโกนว่า “อู๋เหลียง!”
อู๋เหลียงนิ่งไป ความรู้สึกคุ้นเคยก่อเกิดขึ้นในใจราวกับเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน
เขาหยุดกระบี่ยาว เมื่อหันหลังไป เขาพบฉู่เชิ่งผู้เป็นศิษย์ของบรรพชนดาบ
ดวงตาของอู๋เหลียงหดลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนโพล่งออกมาว่า “เจ้ากลับมาได้อย่างไร?! ไม่ใช่ว่าไปเขตแดนลับหุบเขาเมฆาหรอกหรือ?!”
ฉู่เชิ่งย่อมไม่สังเกตเห็นท่าทีผิดแปลกในคำพูดของอีกฝ่าย เขายิ้มพลางเคลื่อนไปอยู่ด้านข้างของอู๋เหลียง ก่อนตบบ่าของอีกฝ่าย “ก็แค่เขตแดนลับหุบเขาเมฆาเท่านั้น จะขังข้าไว้นานได้อย่างไร? ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ มีคนโหดเหี้ยมแบบไหนมาเยือนสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
ดวงตาของศิษย์เอกบรรพชนดาบเผยร่องรอยของจิตวิญญาณต่อสู้ คนที่มีความสามารถมากที่สุดในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดทั้งสิ้น
เขาจากไปสองปี สหายเก่าจำนวนมากมีความคืบหน้าไปไม่น้อย บางคนมีศิษย์เป็นของตัวเอง บางคนสามารถต่อสู้กับเขาได้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของฉู่เชิ่งย่อมเต็มไปด้วยจิตวิญญาณต่อสู้ แม้กระทั่งอู๋เหลียงก็ไม่สังเกตเห็นว่าตอนที่เขากล่าวคำพูดนี้ออกมา มีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเลือนรางอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์…”
ชายอวบอ้วนลอบหลั่งเหงื่อออกมา
เขากับฉู่เชิ่งมีความสัมพันธ์ฉันมิตร พวกเขาเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน ตอนแรกฉู่เชิ่งเป็นเพียงศิษย์ผู้เข้าสู่ธรณีประตูของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างยากลำบาก และไม่ต่างจากขยะในสายตาของศิษย์จำนวนมาก
ศิษย์หลายคนข่มเหงเขาทั้งที่แจ้งและที่ลับ ขณะที่อู๋เหลียงให้การช่วยเหลือฉู่เชิ่งสองสามครั้งโดยไม่ตั้งใจ แต่อีกฝ่ายถึงกับจดจำไว้มั่น
เพียงแต่ไม่กี่เดือนต่อมา ฉู่เชิ่งผู้นี้พลันระเบิดพรสวรรค์ดาบอันน่าทึ่ง ระดับการบ่มเพาะทะยานอย่างรวดเร็ว เพียงอึดใจเดียวเขาต่อสู้กับศิษย์ทั้งหลายในยอดเขาดาบ จนเป็นที่ยอมรับในฐานะศิษย์เอกของของบรรพชนดาบ
นับแต่นั้นมา ใครก็ตามที่พบเห็นเขาเป็นอันต้องตะโกนว่าศิษย์เอกฉู่!
ฉู่เชิ่งไม่เคยลืมว่าอู๋เหลียงเคยให้การช่วยเหลือ เขาจึงคอยช่วยอีกฝ่ายหลายครั้ง เป็นธรรมดาที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะเป็นไปในทิศทางที่ดี
หลังจากเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มาได้หนึ่งปี ศิษย์เอกบรรพชนดาบมุ่งหน้าสู่อาณาจักรประจิมเพื่อเข้าร่วมมหาสงครามร้อยทิศตามคำสั่งของซุนอวิ๋นถิง ก่อนเข้าสู่เขตแดนลับหุบเขาเมฆาเพื่อฝึกฝน
เดิมทีศิษย์เอกฉู่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำสามปีเพื่อฝึกฝนในเขตแดนลับนี้ แต่เขาใช้เวลาเพียงสองปีก็ออกมาได้แล้วงั้นหรือ?!
เหตุใดเขาไม่กลับมาก่อนเวลาหรือกลับมาล่าช้า แต่เลือกกลับมาช่วงที่ยอดเขาดาบหายไปด้วย?!
ทำไมถึงรีบกลับมาตอนนี้!
ฉู่เชิ่งเห็นอู๋เหลียงลังเลที่จะพูด เขาจึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “อู๋เหลียง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? ทำไมข้าถามแล้วเจ้าถึงไม่ตอบ?!”
สิ้นคำถาม ศิษย์เอกฉู่กล่าวกับตัวเองว่า “จะว่าไป ข้าเจอคนพูดจาเหลวไหลตั้งแต่ตอนที่กลับมาด้วย มันบอกว่ายอดเขาดาบสูญสิ้นไปแล้ว ข้าก็เลยบันดาลโทสะด้วยการฆ่ามัน”
“เหอะ ถ้าข้าและคนอื่นในยอดเขาดาบได้ยินเข้า เกรงว่ามันคงไม่ได้ตายเพียงคนเดียว แต่คนรอบข้างของมันต้องตายตามไปด้วย!”
“ฉู่เชิ่ง”
อีกฝ่ายหันมามองทันทีที่อู๋เหลียงเอ่ยวาจา
เมื่อฉู่เชิ่งเห็นว่าสีหน้าของสหายร่วมสำนักแปลกประหลาด เขาพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ยอดเขาดาบได้ถูกทำลายจนสิ้น”
“เจ้าว่าอะไรนะ?!”
หัวใจของฉู่เชิ่งแทบหยุดเต้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ปราณดาบกระจายออกมาเกินกว่าจะหยุดยั้ง!
อู๋เหลียงถูกแรงกดดันจากปราณดาบนี้ ไม่ช้าก็มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผาก
ฉู่เชิ่งพลันหันหลัง เขาจ้องมองไปที่ยอดเขาบรรพชนทั้งหลาย ผ่านไปหลายอึดใจ ในที่สุดเขาก็พบสิ่งผิดปกติจากร่องรอยที่สัมผัสได้
ยอดเขาดาบหายไปแล้ว!
เขามองอย่างละเอียด พบว่าในตำแหน่งที่ยอดเขาดาบเคยตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ตอนนี้เหลือเพียงเศษซากขนาดเล็ก เมื่อสายลมพัดพา ทำให้ก้อนกรวดจำนวนมากตกลงไปในหุบเหว
ฉู่เชิ่งหันศีรษะกลับมาอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำ “ฝีมือผู้ใด?!”
“ยอดเขาดาบเผชิญกับหายนะเช่นนี้ เฉิงไท่หายหัวไปไหนกัน?! แล้วอาจารย์คนอื่นเล่า?! พวกเขาตายกันหมดแล้วหรือ?!”
เสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยจิตสังหารลุ่มลึก อู๋เหลียงผู้ยืนอยู่ด้านข้างไม่อาจแบกรับแรงกดดันที่กดทับลงมาได้ ทำให้เขาหายใจไม่ออกจนโลหิตไหลออกจากมุมปาก
“ฝีมือลู่หยวน!”
อู๋เหลียงพ่นคำเหล่านี้ออกมาก่อนหมดสติไป
ฉู่เชิ่งพยุงร่างของอู๋เหลียงขึ้นมา เงยหน้ามองไปที่ยอดเขาบรรพชนที่สูงที่สุด มันคือที่ที่เฉิงไท่อยู่!
เขาทิ้งร่างอู๋เหลียงไว้กับพื้นราบ กระตุ้นพลังทั่วกายและมุ่งตรงสู่ยอดเขาสูงสุด
“เฉิงไท่ ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดกระจายไปทั่วสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในทันที สร้างความสนใจให้กับผู้คนไม่น้อย
ผู้คนทั้งหลายออกจากการเก็บตัวในทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น พวกเขาพลันหันศีรษะมองไปทางต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว