ตอนที่ 288 ไว้อาลัยแก่ดวงวิญญาณผู้กล้า
ระหว่างทางไปเมืองหนิงโจว มีมู่ซีที่คอยส่งเสียงดังและตามไปทุกที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน ฉินหลิวซีแทบอยากจะทำเป็นแกล้งตายบนรถม้าตลอดเวลา
ในทางกลับกัน เซียวจั่นรุ่ยได้มองเห็นอีกด้านที่ชอบเกาะแกะคนของมู่ซี ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เห็นความดื้อรั้นที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขา เซียวจั่นรุ่ยถอนหายใจ ปราบสิ่งหนึ่งได้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า จอมอันธพาลเสเพลที่สุดในเมืองหลวงก็มีช่วงเวลาที่ถูกคนปราบจนยอมสยบเช่นกัน
สำหรับมู่ซี กลับรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง เมื่อมาถึง ณ จุดพักม้า ด้วยสถานะของเขาจะได้พักที่ลานเล็กที่สะอาดและเป็นส่วนตัวที่สุด ซ้ำยังเหมาข้างซ้ายขวาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ถูกรบกวน
“เห็นหรือยัง มากับข้ามีแต่ผลประโยชน์มากมาย” มู่ซีชี้ไปที่ลานเล็กๆ ที่สะอาด ซ้ำยังแขวนโคมวังหลวงไว้ด้วย มองฉินหลิวซีด้วยความภาคภูมิใจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ภูมิใจอะไรกัน เจ้าก็เพียงแค่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่บรรพบุรุษเจ้าทิ้งไว้ให้”
“ใช่แล้ว ข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่นี่เป็นโชคชะตาของข้า ชีวิตข้าดีกว่าบรรพบุรุษ มีอะไรไม่ถูกหรือ ชีวิตเกิดมาก็เป็นเช่นนี้ ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ”
ฟังดูน้ำเสียงอยากโดนต่อยนี่สิ
อย่าว่าแต่ฉินหลิวซี แม้แต่เซียวจั่นรุ่ยก็รู้สึกคันไม้คันมือ เขาน่ารำคาญมาก
ฉินหลิวซียิ้มอย่างเย็นชา “โชคดีจริงๆ ที่เจ้าเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองเดินได้ แต่หากไปทำตัวหยิ่งยโสอยู่ข้างนอก เมื่ออยู่คนเดียวเจ้าก็มีสิทธิ์จะถูกลักพาตัวไป”
“เช่นนั้นเจ้าวางใจได้ อย่าว่าแต่องครักษ์ที่มองเห็นในที่แจ้ง แม้แต่องครักษ์เงาในที่มืด ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่ามีติดตามจำนวนเท่าไหร่!” มู่ซีเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “อีกอย่าง หากรู้ตัวตนของข้าแล้วยังกล้าลักพาตัวข้า เช่นนั้นก็เท่ากับว่ารนหาที่ตาย เบื่อที่ชีวิตยืนยาวเกินไปกระมัง หากใครจะมาลักพาตัว ให้พาข้าไปอยู่ในถ้ำที่ดีๆ หน่อย ข้ายังจะพอเมตตาด้วยซ้ำ”
ฉินหลิวซี “…”
บรรดาองครักษ์เหนื่อยใจ ‘เปิดเผยไพ่ลับของตัวเองเช่นนี้ นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีก’
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในลาน เอ่ย “หากเจ้าทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเองโดยไม่ได้พึ่งครอบครัว เช่นนั้นก็นับว่าเจ้าได้ทำสิ่งดีๆ จริงๆ แล้ว”
“เรื่องอะไรหรือ เจ้าบอกมา ข้าจะทำให้เจ้าดู”
ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า เหลือบมองเขา
“ทำไม ไม่เชื่อข้าหรือ”
ฉินหลิวซีเหลือบมององครักษ์ประจำตัวสองคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เพียงแต่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเอาใบหน้าของมู่ซีเต็มไปด้วยคำถาม
วันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าแล้วก็ออกเดินทาง เพียงแต่มู่ซีกับเซียวจั่นรุ่ยมองดูเจ้าหน้าที่ที่จุดพักม้ายื่นห่อของให้ฉินหลิวซีด้วยความสงสัย
“นี่คืออะไร” มู่ซีถามด้วยความสงสัย “เจ้าให้เจ้าหน้าที่ไปเตรียมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มีตาเฒ่าจังผู้หนึ่งขายน้ำหวานอยู่ที่เชิงเขาอารามชิงผิง ปีนี้เขาอายุแปดสิบแปดปีแล้ว รู้หรือไม่ว่าทำไมเขาอายุมากขนาดนี้แล้วยังสามารถมาขายน้ำหวานได้”
มู่ซีเริ่มสนใจ “ทำไมหรือ”
เซียวจั่นรุ่ยก็เงี่ยหูฟังเช่นกัน
เคล็ดลับอายุยืนยาวเชียวนะ ใครบ้างไม่อยากรู้
ฉินหลิวซียิ้มพลางยื่นห่อของให้เหล่าโฉวที่ขับรถม้าให้ตัวเอง เอ่ย “เพราะว่าเขาไม่เคยไปยุ่งเรื่องของคนอื่น!”
มู่ซี “…”
เซียวจั่นรุ่ย “!”
นี่กำลังเอ่ยเสียดสีที่พวกเขายุ่งเรื่องคนอื่น!
ใบหน้าของมู่ซีแดงด้วยความโกรธ ขณะกำลังจะอาละวาด เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีขึ้นรถม้าไปแล้ว จึงทำได้เพียงระบายความโกรธกับผู้ติดตามของตัวเอง “ยืนโง่อยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบไปเตรียมรถม้าอีก”
ฝูงนกแตกกระจาย
ฉินหลิวซีเอนหลังพิงหมอนอิงใบใหญ่ในรถม้า ยิ้มเล็กน้อย คอตั้งบ่ามองสำรวจในรถม้าอีกครั้งดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อวี๋ชิวไฉกระทำการได้น่าเชื่อถือจริงๆ รถม้ากว้างขวางมาก ข้างในรถครบครันด้วยชุดเครื่องนอน ชาและกล่องขนมบนโต๊ะเล็ก ขณะที่รถม้ากำลังวิ่งก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีหลุมบ่อ เห็นได้ชัดว่ามีวัสดุกันกระแทกอย่างดี
ส่วนเหล่าโฉวที่กำลังขับรถม้ามีนามว่าโฉวเหล่ย เกิดในกองทัพ เมื่อก่อนตอนเป็นหน่วยสอดแนมในกองทัพ เขาแขนขวาหักตอนออกรบ หลังจากออกจากกองทัพก็ผันตัวมาทำงานอยู่ภายใต้การดูแลของอวี๋ชิวไฉ
เหล่าโฉวนั้นรูปร่างเตี้ยและผอม เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม ปีนี้เขาอายุเพียงสี่สิบหกปีเท่านั้น เคยแต่งภรรยาเมื่อตอนยังหนุ่ม ทั้งสองคนแต่งงานกันมาหลายปีไม่มีบุตร ต่อมาเหล่าโฉวไปหาหมอ ได้รับการวินิจฉัยว่าไม่สามารถมีบุตรได้ เหล่าโฉวจึงเขียนหนังสือปล่อยภรรยา ตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของอวี๋ชิวไฉ
ฉินหลิวซีดูโหงวเฮ้งของเขาแล้ว ต้นสันจมูกไม่มีเนื้อ หางคิ้วและหางตาตก ซ้ำตำแหน่งบุตรและสตรีที่ใต้ตาจมลง เป็นโหงวเฮ้งของคนไม่มีบุตรจริงๆ แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์และหัวดื้อเป็นอย่างมาก
อวี๋ชิวไฉช่างใส่ใจจริงๆ
รถม้าแล่นไปตามถนนจนกระทั่งมาถึงบริเวณใกล้เคียงที่มีการคุมตัวองครักษ์ตระกูลสีเมื่อครั้งที่แล้ว ฉินหลิวซีจึงบอกให้หยุดรถ ให้เซียวจั่นรุ่ยและคนอื่นๆ นำไปก่อน นางมีธุระต้องทำ แล้วจะตามไปในไม่ช้า
“ท่านอาจารย์ ท่านจะไปไหน พวกเราย่อมไปกับท่าน” เซียวจั่นรุ่ยมีหรือจะยอม กลัวว่าจะเป็นการละเลยฉินหลิวซี
มู่ซีก็เข้ามาแทรกด้วย “จะไปทำอะไรหรือ”
ฉินหลิวซีเหลือบมองพวกเขา เอ่ย “หากพวกเจ้าจะตามไปด้วยก็ไปเถิด อย่างไรเสียก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียว”
นางนั่งลงที่เพลารถม้า ชี้ทางบอกเหล่าโฉวให้ขับรถม้าไปข้างหน้าจนกระทั่งไม่มีทางไปต่อได้แล้ว นางจึงได้ถือห่อของใบนั้นที่ให้เจ้าหน้าที่เตรียมไว้แล้วเดินต่อไปข้างหน้า
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วจนมาถึงตอนนี้ ผ่านไปยังไม่ถึงสามเดือน แต่วัชพืชกลับขึ้นรกแล้ว
ฉินหลิวซีกลับหาป้ายที่ไร้ตัวอักษรได้อย่างแม่นยำ
มู่ซีกับเซียวจั่นรุ่ยตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อเห็นป้ายไร้ตัวอักษร ซึ่งเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่อย่างเห็นได้ชัดก็อดตกตะลึงไม่ได้
“นี่เป็นหลุมศพใครหรือ”
“ควรจะถามว่าพวกเขาเป็นใครต่างหาก” ฉินหลิวซีเห็นว่าป้ายไร้ตัวอักษรนั้นถูกน้ำฝนเซาะจนเอียง จึงกำจัดวัชพืชหน้าป้าย จากนั้นก็ยืมมีดพกที่เอวของเหล่าโฉวเพื่อตั้งป้ายไร้อักษรให้ตรงอีกครั้ง ใช้ด้ามมีดขุดให้ลึกกว่าเดิม
เมื่อฉินหลิวซีทำสิ่งนี้เสร็จจึงเอ่ย “พวกเขา ณ ที่แห่งนี้เคยเป็นทหารรับใช้ต้าเฟิง”
มู่ซีรูม่านตาสั่นเล็กน้อย
หากทหารที่ปกป้องอาณาจักรเสียชีวิตในสนามรบ ขี้เถ้าหนึ่งกำมือจะถูกส่งกลับบ้าน แต่การที่ฝังไว้เชิงเขาเช่นนี้ ซ้ำยังเป็นป้ายไร้ตัวอักษร นี่หมายความว่าอย่างไร
ป้ายไร้ตัวอักษร หากไม่ใช่ทหารหนีทัพก็ตายอย่างอยุติธรรม
ทหารที่เคยปกป้องอาณาจักรกลับถูกฝังโดยไม่มีป้ายระบุนาม เป็นความผิดของใคร
มู่ซีกับฉินหลิวซีมองหน้ากัน เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยจึงถอยหลังหนึ่งก้าว
เซียวจั่นรุ่ยกลับตกใจเป็นอย่างมาก ฉินหลิวซีไม่กลัวว่าพวกเขาจะเอาไปเปิดเผย
ฉินหลิวซีได้นำของเซ่นไหว้จัดวางไว้ เหล่าโฉวได้ช่วยจัดระเบียบ กำจัดวัชพืช ซ้ำยังส่งชนวนจุดไฟไปให้อย่างเงียบๆ ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าที่นี่เป็นหลุมศพของทหารแล้ว
จุดธูปเทียน เงินกระดาษถูกไฟเผากลายเป็นขี้เถ้า ลมพัดผ่านยอดไม้ในป่าเกิดเป็นเสียงเสียดสีเบาๆ
แต่คนที่อยู่ที่นี่กลับไม่ได้นิ่งเงียบ
“นี่เป็นคนที่เจ้ารู้จักหรือ” มู่ซีอดถามไม่ได้
ฉินหลิวซีวางเหล้าไว้บนพื้น ไม่ได้หันกลับมา เอ่ยว่า “ไม่รู้จัก สองเดือนก่อนหน้านี้ข้าผ่านมาก็เลยช่วยเก็บศพ”
ตอนนี้ผ่านมาอีกครั้งจึงมาไว้อาลัยแก่ดวงวิญญาณผู้กล้า
มู่ซีไม่ได้เอ่ยอะไร ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นมาโค้งคารวะอย่างเป็นทางการ องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขาก็ทำเช่นเดียวกัน
เพราะกระดูกที่ฝังอยู่ที่นี่เคยเป็นทหารที่บุกโจมตีในสนามรบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้ ถูกฝังโดยป้ายไร้ตัวอักษร
ไกลออกไปทางทิศตะวันตกของต้าเฟิง ที่ชายแดนมีเด็กหนุ่มพึ่งกระโดดลงจากเวทีการแข่งขันวรยุทธ์ที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร เขาค่อยๆ เดินกลับไปที่กระโจมของตัวเอง มีหิมะตกลงมา เขาหยุดฝีเท้าก่อนจะยื่นมือออกไป ปล่อยให้หิมะราวขนห่านตกลงบนฝ่ามือ
ฝ่ามือเย็นเฉียบกับรอยเลือดที่ยังไม่จางหาย กลายเป็นน้ำสีเลือด
เด็กหนุ่มดึงเชือกสีแดงออกมาจากคอของเขา กำจี้หยกสีแดงที่ห้อยอยู่กับเชือกสีแดง ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยพึมพำว่า “ข้า ฉินสี่ ตอนนี้เป็นหัวหน้ากองทัพแล้ว”