ตอนที่ 289 จอมอันธพาลน้อย ‘ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังวางกับดักข้า’
เมืองฝู่ หนิงโจว ก่อนยุคต้าเฟิงเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน มีประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางเมืองของต้าเฟิง พ่อค้าที่เข้าออกมาจากทั่วทุกทิศทั้งเหนือใต้ออกตก เชื่อมต่อทุกทิศทาง ดังนั้นทำเลนี้จึงเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง
ตอนที่ขบวนของฉินหลิวซีมาถึง ตระกูลเซียวได้ส่งคนมารอนานแล้ว เป็นพ่อบ้านคนสนิทที่มีความสามารถข้างกายผู้ตรวจการเซียว เมื่อเห็นรถม้าตระกูลเซียวมาแต่ไกล ก็รีบควบม้าไปข้างหน้าทันที กระโดดลงตรงหน้ารถม้าของเซียวจั่นรุ่ย
“บ่าวคำนับนายน้อย”
เซียวจั่นรุ่ยยกม่านรถขึ้น เอ่ย “ลุงเจี่ยงมาแล้วหรือ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ในจวนจัดเตรียมไว้พร้อมหรือไม่”
“เตรียมพร้อมอย่างเหมาะสมแล้ว ตอนนี้นายท่านกำลังรออยู่ที่จวนขอรับ” พ่อบ้านเจี่ยงมองไปที่ด้านหลังขบวนรถ ก้าวไปข้างหน้า “นายน้อย ท่านผู้นั้นล่ะขอรับ”
“อยู่ข้างหลัง”
“เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปคารวะก่อนนะขอรับ”
เซียวจั่นรุ่ยพยักหน้า แม้ว่ามู่ซีจะไม่ได้อนุญาตให้เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เมื่อในจวนรู้ว่าเขามาแล้ว ก็ต้องเข้าไปคารวะ เพื่อไม่ให้จอมเสเพลบางคนมาชำระบัญชีกับเขาในภายหลัง
เมื่อพ่อบ้านเจี่ยงมาคารวะ แต่กลับไม่เห็นแม้กระทั่งเงาคน เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าบุคคลผู้สูงศักดิ์อย่างมู่ซื่อจื่อจะถ่อมตัวถึงขนาดมาพบบ่าวอย่างเขา เพียงแต่รายงานชื่อแซ่และสถานะอยู่หน้ารถม้า หลังจากก้มศีรษะโค้งคารวะแล้วก็เดินจากไป
ความจริงแล้วมู่ซีไม่ได้อยู่ในรถม้า แต่ไปยุ่งวุ่นวายอยู่ในรถของฉินหลิวซี
รถม้าเริ่มขับเข้ามาในเมือง
มู่ซีไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะมองดูบรรยากาศข้างทาง หนิงโจวมีความเจริญรุ่งเรืองก็จริง แต่จะรุ่งเรืองเท่าในเมืองหลวงหรือ
เขาสนใจเรื่องที่ไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณผู้กล้ากับฉินหลิวซีก่อนหน้านี้มากกว่า อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“ซื่อจื่อจะอยากรู้ที่มาของพวกเขาไปทำไมหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “จะช่วยนำกระดูกของพวกเขากลับคืนสู่บ้านเกิดหรือ ทหารที่เสียชีวิตอยู่บริเวณเชิงเขาโดยไร้คำอธิบายใดๆ เจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะ หากพวกเขาเป็นกบฏ เจ้าจะกล้าช่วยสลักชื่อพวกเขาบนป้ายหลุมศพของพวกเขาหรือ”
ดูจากใบหน้าก็รู้ว่ามู่ซียังเด็ก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว เงียบอยู่นานก่อนจะถามขึ้นมาว่า “หากพวกเขาเป็นกบฏมีหรือเจ้าจะช่วยเก็บศพพวกเขา”
ฉินหลิวซีลดสายตาลง ‘ก็ไม่ถึงขั้นไม่เข้าใจอะไรเลย’
“หากพวกเขาถูกใส่ร้าย แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ช่วยพลิกคดีให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หากข้าบอกที่มาของพวกเขาแก่เจ้า เจ้าจะช่วยพลิกคดีให้หรือไม่ ไม่ได้จะใช้ประโยชน์จากอำนาจในมือเจ้าให้พี่เขยที่เป็นฝ่าบาทของเจ้าช่วยอภัยโทษให้ แต่เพื่อค้นหาความจริงอย่างจริงจัง คืนความบริสุทธิ์ให้พวกเขา ให้คนในใต้หล้าได้รู้ สิ่งนี้จึงจะเรียกว่าพลิกคดี”
มู่ซีเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าอดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ทำผิดพลาดในพิธีบวงสรวงใหญ่เมื่อตอนเดือนเจ็ดปีนี้จนถูกยึดทรัพย์”
“เสนาบดีสำนักกวงลู่? ตาเฒ่าฉินหยวนซานที่ไว้เคราแพะผู้นั้นหรือ” มู่ซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ภาพชายชรารูปร่างเตี้ยที่ไว้เคราแพะปรากฏขึ้นในหัวของเขา
ฉินหลิวซี “…”
มู่ซี “เรื่องใหญ่เช่นนี้แน่นอนว่าข้ารู้อยู่แล้ว ข้าเองก็อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นงานบวงสรวงครั้งใหญ่ แต่เครื่องเซ่นไหว้กลับมีปัญหา ตาเฒ่าผู้นั้นรนหาที่ตายจริงๆ พี่เขยของข้าไม่ได้ตัดศีรษะของเขา ณ พิธีบวงสรวงเพื่อปลอบโยนบรรพบุรุษ ก็นับว่าเป็นโชคใหญ่หลวงของเขาแล้ว”
ฉินหลิวซี ‘เขายังเด็กไม่รู้ความ ข้าต้องอดทน!’
“ว่าแต่เจ้าถามถึงเรื่องนี้ทำไม ตระกูลของฉินหยวนซานถูกยึดทรัพย์และเนรเทศ ไม่ใช่สิ ดูเหมือนว่าสตรีและเด็กจะถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด ฉินหยวนซานควรจะขอบคุณที่พระสนมเหมิงกุ้ยเฟยผู้นั้นพยายามอย่างเต็มที่จนให้กำเนิดองค์ชายน้อย พี่เขยของข้าอยากสะสมบุญให้เจ้าเด็กผู้นั้นจึงไม่ได้ลงโทษประหารชีวิต มิเช่นนั้นทั้งตระกูลคงถูกตัดศีรษะเป็นเครื่องสังเวยไปแล้ว”
“ข้าก็อยากจะรู้ว่าพิธีบวงสรวงใหญ่เช่นนี้เกิดข้อผิดพลาดที่โง่เง่าขนาดนี้ได้อย่างไร หรือว่าฉินหยวนซานเลอะเลือนไปแล้ว เขาเป็นเสนาบดีสำนักกวงลู่มาแล้วไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่กลับทำผิดพลาดในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่”
“เจ้าเป็นคนในเสวียนเหมิน ไม่รู้เรื่องของทางการอย่างลึกซึ้ง ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เจ้าอยากจะบอกว่าเรื่องนี้ฉินหยวนซานถูกคนวางกับดักใส่ร้ายใช่หรือไม่” มู่ซีเอ่ยต่อ “ในใต้หล้านี้มีแซ่ฉีเพียงหนึ่งเดียว บัลลังก์กษัตริย์นั่งได้หนึ่งคน และมีพรรคพวกภายใต้บัลลังก์จำนวนนับไม่ถ้วนที่แข่งขันกัน เจ้าคิดว่าฮ่องเต้พี่เขยของข้าผู้นั้นไม่รู้หรือ เขารู้ แต่เป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายต่างๆ จะแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่มีทางที่ข้าราชบริพารผู้มีอำนาจจะได้ครองอำนาจเพียงลำพัง เรื่องของฉินหยวนซาน แม้เจ้าจะบอกว่าเขาถูกวางกับดักใส่ร้าย แต่เมื่อเขาตกลงในหลุมพรางนี้ นั่นก็เป็นความผิดของเขา เป็นเพราะเขามีความสามารถเพียงเท่านี้”
“ฮ่องเต้จะไม่สนใจว่าเขาถูกใส่ร้ายหรือไม่ หากไม่อยู่ในตำแหน่งนั้นก็ไม่ต้องพิจารณาหน้าที่ของตำแหน่ง เขาอยู่ในตำแหน่งแต่กลับไม่สังเกตเห็นความผิดพลาดโง่เง่านี้ นั่นเป็นปัญหาของเขา เป็นเขาที่โง่เขลา ฮ่องเต้จะดูเพียงบทสรุปเท่านั้น เอาผิดกับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้ แต่จะไม่สืบสวนจนกระจ่างแล้วค่อยดำเนินการ นั่นคืออำนาจของฮ่องเต้ ส่วนฉินหยวนซาน บอกได้เพียงว่าเขาเป็นคนโชคร้าย เรื่องในราชสำนักก็เช่นนี้ มีความขัดแย้งและความวุ่นวายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ใครก็ตามที่มียศสูงกว่าจะเป็นผู้ที่หัวเราะไปจนถึงตอนจบ”
ขณะที่มู่ซีกำลังเอ่ยก็เห็นว่าฉินหลิวซีมองเขาอย่างตั้งใจ อดไม่ได้ที่จะระวังตัว “สายตาของเจ้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ฉินหลิวซียิ้ม “ข้าคิดว่าอัธพาลจอมเสเพลอย่างเจ้าจะรู้จักแต่รังแกคนในตลาด กินดื่มเที่ยวเล่นสนุกสนาน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเจ้าก็มีสมองเช่นกัน!”
ฉินหลิวซียื่นนิ้วออกมา กดที่ศีรษะของเขา เอ่ย “อย่าโกรธ ครั้งนี้ข้าชมเจ้าจากใจจริง”
ดูสิ ยอมรับแล้วว่าก่อนหน้านี้เอาแต่ด่าข้า!
มู่ซีสบถเบาๆ เอ่ย “อย่างไรเสียข้าก็เติบโตมาในศูนย์กลางอำนาจของฮ่องเต้ ไหนเลยจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เพียงแค่ไม่ชอบใช้สมองก็เท่านั้น”
เขาแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่มุมปากที่ยกขึ้นกลับหักหลังเขา การได้รับคำชมช่างดีจริงๆ
เฮ้อ ก็ยังมีความเย่อหยิ่งอยู่นิดหน่อย!
ฉินหลิวซีจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องของฉินหยวนซาน แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจทหารที่ถูกฝังไว้ที่นั่น ใครจะรู้ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าพูดหรือไม่ ที่ต้องมารับกรรมจากความขัดแย้งในราชสำนัก ถือเป็นความโชคร้ายของพวกเขา ส่วนพี่เขยของเจ้าผู้นั้นก็สนใจเพียงแค่บทสรุป เป็นเพราะความขัดแย้งในแต่ละฝ่ายหรือไม่ เขาสนใจด้วยหรือ”
มู่ซีชะงักไปครู่หนึ่ง
หลังจากเงียบไปนานเขาก็เอ่ย “ทหารที่ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้ หากถูกใส่ร้ายจริง…”
“หากถูกใส่ร้ายจริงๆ เจ้าจะสามารถพลิกคดีกลับคำตัดสินเดิมได้หรือไม่ อย่างเช่นฉินหยวนซาน ตระกูลฉินถูกใส่ร้าย เจ้าสามารถจับผู้ที่วางแผนอยู่เบื้องหลังให้พวกเขา จากนั้นก็ช่วยให้พวกเขากลับคืนไปอยู่ในตำแหน่งเดิมได้หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ
ทันใดนั้นมู่ซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย เอ่ย “ข้าจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะแซ่ฉิน?”
“หืม?”
“เจ้าพูดถึงคดีนี้ ตาเฒ่าฉินหยวนซานผู้นั้นเป็นอะไรกับเจ้า หรือว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ” มู่ซีจ้องอีกฝ่าย จริงสิ บ้านเกิดของฉินหยวนซานคือที่ไหนกันนะ
ไหวพริบดีเสียจริง
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ถ้าข้าบอกแล้วเจ้าจะทำอย่างนั้นหรือ”
มู่ซีระมัดระวังเล็กน้อย เอ่ยว่า “แม้ว่าจะรื้อคดี แต่อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแค่นำกลับมาจากสถานที่เนรเทศ งานบวงสรวงใหญ่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่หลวง เขาในฐานะเสนาบดีไม่สามารถหลีกหนีความผิดได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้กลับสู่ตำแหน่งเดิม!”
มีบางคำที่เขาไม่กล้าเอ่ย คือเขาสงสัยว่านางกำลังวางกับดักเขา แต่เขาไม่มีหลักฐาน!
เนื่องจากว่าฉินหยวนซานนับว่ามีประวัติติดตัวแล้ว ใครจะกล้าปล่อยให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นอีก แม้แต่ตัวฮ่องเต้เองก็เกรงว่าจะถูกบรรพบุรุษลุกขึ้นมาด่าว่าไม่รู้จักใช้คน
“เจ้าฉลาดมากจริงๆ ” ครั้งนี้ฉินหลิวซีชื่นชมเขาอย่างจริงใจ
มู่ซีอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่รถม้าหยุดลงแล้ว มีเสียงของเซียวจั่นรุ่ยดังมาจากข้างนอก
“ท่านอาจารย์ ถึงจวนแล้ว เชิญท่านอาจารย์เข้าไปในจวนเถิด”