ตอนที่ 182 คุณแม่ยังสาว เถาจืออวิ๋น

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 182 คุณแม่ยังสาว เถาจืออวิ๋น

จู่ ๆ หญิงชราตัวแสบก็ชี้นิ้วไปที่ผู้โดยสารชายหนุ่มเพียงคนเดียวในขบวนรถนอน “มีผู้ชายอยู่ที่นี่ ฉันจะยอมให้เจ้าพนักงานตรวจสอบได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มรีบปีนลงมาจากเตียงชั้นบน “ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”

หญิงชราตัวแสบตกตะลึงในทันที เพราะไม่สามารถหาข้อแก้ตัวที่จะไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตรวจสอบได้อีกต่อไป

ผลการตรวจคือ นางไม่มีรอยแผลตามร่างกายเลย

แต่ถึงกระนั้น หญิงชราตัวแสบก็ยังยืนกรานว่าหลินม่ายและคุณแม่ยังสาวคนนั้นทุบตีตัวเอง

เจ้าพนักงานรถไฟเป็นหญิงสาวรู้สึกไม่พอใจที่หญิงชราตัวแสบยังคงเถียงข้าง ๆ คู ๆ อย่างไม่มีเหตุผล หล่อนจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่พบรอยแผลบนร่างกายคุณเลย ยังจะบอกว่าตัวเองโดยทำร้ายอยู่อีกเหรอคะ!”

หญิงชราตัวแสบตอบกลับเจ้าพนักงานสาว “คุณเจ้าพนักงานคะ ฉันถูกพวกหล่อนทุบตีจริง ๆ นะ ที่ไม่เห็นรอยแผลตามร่างกาย เพราะสิ่งนั้นล้วนเป็นบาดแผลภายในยังไงล่ะ”

เจ้าพนักงานสาวกำหมัดแน่น อยากเงื้อฝ่ามือตบไปที่หญิงชราตัวแสบหน้าด้านหน้าทนคนนี้เต็มทน

ไม่มีรอยแผลภายนอก ก็อ้างอีกว่าเป็นบาดแผลภายใน นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?

แต่ด้วยภาระงานของหล่อนที่ไม่อนุญาตให้ตัดสินใจทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่น เจ้าพนักงานสาวจึงคลายกำปั้นออกในที่สุด

หลินม่ายพูดว่า “จากตรงนี้ไปถึงสถานีถัดไป เราทุกคนจะลงจากรถไฟแล้วพาคุณไปโรงพยาบาลเพื่อประเมินอาการบาดเจ็บ ถ้าคุณได้รับบาดเจ็บภายในจริง ๆ เราสามารถชดเชยให้ได้ตามคุณที่ต้องการ แต่ถ้าตรวจไม่พบบาดแผลภายใน คุณต้องเป็นฝ่ายขอโทษเรา แล้วควักเงินจ่ายชดเชยค่าเสียหายทางจิตใจให้เราด้วย”

หลินม่ายจงใจถามต่อ “คุณรู้ไหมว่าค่าเสียหายทางจิตใจตีเป็นเงินเท่าไหร่? อย่างต่ำก็เริ่มที่หนึ่งร้อยหยวนแล้วนะ”

ความจริงแล้วเธอไม่รู้แน่ชัดว่าค่าเสียหายทางจิตใจตีมูลค่าเป็นเท่าไหร่กันแน่ เธอแค่ต้องการทำให้หญิงชราตัวแสบนึกกลัวขึ้นมาเท่านั้นเอง

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นด้วย “ทำตามที่คุณว่าเถอะ แบบนี้ถือว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว”

หญิงชราตัวแสบเงียบไป

นางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

ตราบใดที่ลงจากรถไฟเพื่อไปประเมินอาการบาดเจ็บ การกระทำที่เป็นการใส่ร้ายผู้อื่นจะถูกเปิดเผยทันที

ในเมื่อโยนความผิดให้ความคนอื่นไม่สำเร็จ เรื่องอะไรจะยกก้อนหินมาทุบขาตัวเองเล่า?

ถึงเวลานั้นจริงยังต้องจ่ายค่าเสียหายทางจิตใจให้กับผู้หญิงสองคนนี้อีกด้วย นี่ไม่ถือเป็นการเสียผลประโยชน์ครั้งใหญ่หรืออย่างไร?

คิดได้ดังนั้นแล้ว นางจึงปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อประเมินอาการบาดเจ็บ

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดจาขึงขัง “ในเมื่อคุณปฏิเสธไม่ยอมไปประเมินอาการบาดเจ็บ งั้นคุณก็มีความผิดข้อหาใส่ร้ายป้ายสีผู้โดยสารสองคนนี้ คุณต้องขอโทษพวกเธอด้วย!”

หลินม่ายพูดขึ้นมาว่า “คุณป้าคนนี้ทุบตีลูกชายเธอด้วยนะคะ ต้องลงโทษให้เธอจ่ายค่ารักษาพยาบาลมาด้วย”

“ฉันไม่ได้ทำนะ!” หญิงชราตัวแสบชี้นิ้วไปทางเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อในอ้อมแขนของคุณแม่ยังสาว “คุณเจ้าพนักงาน คุณลองถามเด็กนั่นดูสิคะว่าฉันทุบตีเขาจริงหรือเปล่า!”

เธอไม่กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะซักถามความจริงจากเด็ก เพราะถึงยังไงเด็กน้อยก็คงไม่พูดโกหกแน่ บางทีเขาอาจช่วยให้เธอหลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้ได้

หัวใจของหลินม่ายแทบตื้นขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอหอย ถ้าเธอรู้ก่อนว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ คงไม่เสนอหน้าใส่ความว่ายายป้าคนนี้ทุบตีเด็กแน่

ชักไม่ดีแล้ว หาเรื่องใส่ตัวซะงั้น

เจ้าพนักงานรถไฟหันไปจับมือเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อเอาไว้ “หนูบอกความจริงกับน้าหน่อยได้ไหม คุณยายคนนี้ทุบตีหนูจริงหรือเปล่า?”

เด็กน้อยหน้าตาใสซื่อพยักหน้าทั้งน้ำตา “คุณยายคนนี้ตีผมจริง ๆ ฮะ แม่ปกป้องผมไว้ คุณยายคนนี้ยังทำให้แม่ของผมหัวยุ่งอีกด้วย”

หลินม่ายถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กชายคนนี้จะพูดโกหกกับเขาเป็นด้วย ตอนนี้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีกันแน่

หญิงชราตัวแสบที่เพิ่งจะโล่งอกได้ไม่นานกลับต้องเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง นางเอาแต่จ้องหน้าของเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อด้วยความไม่เชื่อสายตา

นางรีบผุดลุกขึ้นจากพื้น เดินไปเขย่าแขนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ปากก็ร้องตะโกนว่า “คุณเจ้าหน้าที่คะ เด็กเปรตคนนี้โกหกทั้งเพ!”

“ทำไมคุณถึงต้องดุด่าคนอื่นด้วย? คุณว่าใครเป็นเด็กเปรตกันแน่?”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดเสียงดัง จนหญิงชราตัวสั่นถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดต่อไปด้วยความโกรธ “คุณเป็นคนร้องขอให้ฉันถามความจริงจากเด็กเอง ตอนนี้กลับบอกว่าเขาโกหก ฉันเห็นเจตนาที่แท้จริงของคุณแล้ว ตราบใดที่คนอื่นพูดไม่ตรงกับความต้องการของคุณ คุณก็จะแย้งว่าอีกฝ่ายพูดโกหกอย่างนั้นสินะ! ขอโทษผู้โดยสารสองคนนี้เดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นฉันจะจับคุณส่งโรงเรียนดัดนิสัยซะ!”

หญิงชราตัวแสบยังพยายามดิ้นรนต่อไป ก่อนจะหันไปคว้าตัวชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในขบวนรถนอนเดียวกัน “นี่คุณ คุณช่วยยืนยันให้ฉันได้ไหม ว่าฉันไม่ได้ตีเด็ก!”

ผู้โดยสารชายหนุ่มตอบว่า “ผมไม่เห็นกับตาหรอกนะว่าคุณทุบตีเด็กคนนั้นจริงหรือเปล่า แต่เด็กคนนั้นเริ่มร้องไห้ตั้งแต่ตอนที่คุณเข้าไปหาเรื่องแม่ของเขา เรื่องนี้ผมค่อนข้างแน่ใจเลยล่ะ”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจ้องเขม็งไปที่หญิงชราตัวแสบ “คุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม?”

หญิงชราตัวแสบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมขอโทษหลินม่ายกับคุณแม่ยังสาว และตามคำร้องขอของคุณแม่ยังสาว นางยังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับเธออีกห้าหยวน

หลังจากที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าพนักงานรถไฟสาวจากไป คุณแม่ยังสาวก็หันไปกล่าวขอบคุณหลินม่ายและผู้โดยสารหนุ่มอีกคนหนึ่ง

“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณสองคนช่วยฉันไว้ ต่อให้กระโดดลงไปในแม่น้ำหวงโหก็คงล้างตัวไม่เกลี้ยงอยู่ดี(1)”

หลินม่ายขยิบตาให้หล่อน “ฉันแค่พูดความจริงตามที่เห็นเท่านั้นเอง แทบไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ”

ผู้โดยสารหนุ่มโพล่งขึ้น “ผมก็ด้วย”

ทั้งสามพูดคุยกันอย่างมีความสุข คุณแม่ยังสาวหยิบขนมของลูกชายออกมาแบ่งปันให้กับทุกคน

ส่วนหญิงชราตัวแสบแยกตัวออกมานั่งคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ทำหน้าบูดบึ้งเหมือนคนอมทุกข์

จากการสนทนา หลินม่ายได้รู้ว่าคุณแม่ยังสาวมีชื่อว่าเถาจืออวิ๋น หล่อนทำงานเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าในโรงงานที่เจียงเฉิง

หล่อนไม่ต้องการทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่เดิมอีกต่อไป ทั้งยังได้ยินมาว่านักออกแบบประจำโรงงานที่ได้รับทุนสนับสนุนจากต่างประเทศในกว่างโจวนั้นได้รับเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่า จึงต้องการเดินทางมาที่กว่างโจวเพื่อหางานทำ

ไม่คาดคิดว่าลูกชายของตัวเองจะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ดังนั้นหล่อนจึงต้องกลับไปที่เจียงเฉิง แต่ต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายบนรถไฟเสียก่อน

หลังจากเถาจืออวิ๋นเล่าสถานการณ์ชีวิตของตัวเองจนจบ ก็ถามหลินม่ายว่า “แล้วคุณมาจากที่ไหนหรือคะ?”

หลินม่ายยิ้มพลางตอบว่า “ฉันก็มาจากเจียงเฉิงเหมือนกันค่ะ”

“เราสองคนเหมือนถูกฟ้าลิขิตไว้ให้มาเจอกันจริง ๆ เลย เราทั้งคู่ต่างมาจากเจียงเฉิง ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน แถมยังนั่งตู้รถนอนเหมือนกันอีกด้วย”

เถาจืออวิ๋นเงยหน้าถามผู้โดยสารชายอีกคนว่า “คุณล่ะคะ มาจากเจียงเฉิงเหมือนกันหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มคนนี้ชื่อข่งเสียง

ข่งเสียงส่ายหน้าและตอบว่า “ผมไม่ได้มาจากเจียงเฉิงครับ แต่ตั้งใจไปที่เจียงเฉิงเพื่อหางานทำ”

หลินม่ายชำเลืองมองหญิงชราตัวแสบซึ่งนอนอยู่บนที่นั่งโดยหันก้นเข้าหาพวกเขา ก่อนจะหันไปพูดกับเถาจืออวิ๋นเบา ๆ ว่า “ต้องขอบคุณความฉลาดของลูกชายคุณนะที่เขาจงใจพูดโกหกออกมา ไม่อย่างนั้นคำโกหกของฉันคงถูกเปิดโปงไปแล้ว”

เถาจืออวิ๋นขยิบตาให้เธออย่างเจ้าเล่ห์ แล้วกระซิบกับเธอว่า “ฉันแอบเตรียมกับเขาไว้ล่วงหน้าให้พูดแบบนั้นเองค่ะ เผื่อว่ายายป้าคนนั้นคิดเล่นไม่ซื่อขึ้นมา”

หลินม่ายมองเธอแล้วยิ้มกว้าง ปรากฏว่าคนที่ฉลาดกว่าคือผู้เป็นแม่นี่เอง ลูกชายของหล่อนเป็นเพียงเครื่องมือ

มีคนคุยด้วยแบบนี้ก็ดีตรงที่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงา

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินม่ายรู้สึกอึดอัดคือข่งเสียง เขาค่อนข้างกระตือรือร้นเกินไปสักหน่อย

เธอแค่บ่นว่ากระหายน้ำ เขาก็รีบไปหาน้ำดื่มมาให้เธอทันที

เธอแค่บ่นว่าร้อน เขาก็รีบไปซื้อไอศกรีมมาให้เธอทันที

เวลาดึกดื่น ทุกคนต่างนอนหลับใหล

แต่หลินม่ายกลับข่มตานอนไม่หลับเลยเมื่ออยู่บนรถไฟแบบนี้ จนกระทั่งตีห้าครึ่ง ทุกคนก็ทยอยลืมตาตื่น

ทันทีที่พวกเขามาถึงสถานีเจียงเฉิง ทั้งสามก็ลงจากรถไฟพร้อมกัน

ข่งเสียงอาสาช่วยหลินม่ายลากรถเข็นลงจากรถไฟ

การลากรถเข็นคันเล็กไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แต่การยกมันลงจากรถไฟค่อนข้างทุลักทุเลมากทีเดียว ภายในรถเข็นมีเสื้อผ้าจำนวนมากอัดกันอยู่แบบนี้ จะไม่ให้มีน้ำหนักมากได้อย่างไร!

ถ้าเป็นคนที่แข็งแรงพอ การยกรถเข็นลงจากรถไฟคงไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ข่งเสียงไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงขนาดนั้น จึงไม่สามารถยกมันลงมาด้วยตัวเองได้

ด้วยความช่วยเหลือจากหลินม่ายและเถาจืออวิ๋น รถเข็นคันเล็กก็ถูกยกลงจากรถไฟได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงบ่นจากผู้โดยสารที่ยืนรออยู่ข้างหลัง

หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ใบหน้าของข่งเสียงกลับแดงก่ำด้วยความอับอาย

ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงด่าทอดังขึ้นจากหญิงชราตัวแสบที่อยู่ข้างหลัง

ทุกคนหันหลังกลับพร้อมกัน

พวกเขาเห็นหญิงชราตัวแสบจับแขนชายอายุประมาณสามสิบปีเอาไว้พลางพูดว่า “คิดจะเดินชนฉันแล้วหนีงั้นเหรอ? จ่ายค่าเสียหายมาซะ!”

“จ่ายให้แม่แกสิ!” ชายร่างใหญ่หันกลับมาแล้ววาดขาเตะหญิงชราตัวแสบเข้าที่ท้องทันที

หญิงชราตัวแสบร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ยอมปล่อยมือจากเขา แล้วทิ้งตัวล้มลงไปกองกับพื้น ครั้งนี้เป็นการล้มที่ปราศจากการเสแสร้ง

ชายร่างใหญ่เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อหญิงชราตัวแสบเหลือบไปเห็นหลินม่ายกับคนอื่น ๆ ตาก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ราวกับได้พบเจอกับเพื่อนเก่าในต่างแดน

นางชี้ไปที่ชายร่างใหญ่แล้วพูดว่า “ช่วยจับผู้ชายคนนั้นที เขาเดินชนคนแล้วหนี!”

หลินม่ายและผู้ร่วมทางทั้งสามของเธอยืนดูอย่างเฉยเมย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

นางนิสัยแย่แบบนี้ ใครเขาจะอยากช่วยกัน!

หญิงชราตัวแสบสาปแช่งด้วยความโกรธ

หญิงวัยกลางคนหน้าตาซื่อ ๆ ท่าทางใจดีก้าวออกไปช่วยพยุงหล่อนเอาไว้ “คุณป้าคะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ฉันโดนคนเดินชน เมื่อกี้ก็ล้มก้นกระแทกจนปวดกระดูกจะตายอยู่แล้ว” หญิงชราตัวแสบพูดโดยที่ความเจ็บปวดยังเจือปนในน้ำเสียง

“เดี๋ยวฉันช่วยนวดให้นะคะ”

หญิงวัยกลางคนบีบนวดให้นางแค่สองสามครั้ง หลังจากนั้นก็เดินหายไปท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

มีความหมายว่า ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น

สารจากผู้แปล

คุณแม่ก็แสบเหมือนกันน้า แสดงว่าเดินทางบ่อย อยู่เป็นแล้ว

ม่ายจื่อมีแฟนแล้วน้า อย่าเผลอจีบเชียวล่ะ

ไหหม่า(海馬)